พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน

พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน

ถูก​ต้อง ชัด​เจน เห็น​ภาพ สอดคล้อง​กับ​บริ​บท​ไทย ได้​มาตร­ฐาน​สา​กล ยัง​ช่วย​ให้​ผู้​อ่าน​รู้​พระ​ประ­สงค์​ของ​พระ​เจ้า ตั้ง​แต่​อดีต ปัจ­จุ­บัน และอนา­คต

ความ​เป็น​มา​และ​จุด​ประ­สงค์​ของ​การ​จัด​ทำ​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน

พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ ฉบับ​มาตร­ฐาน 2011 นี้ เป็น​การ​แก้​ไข​คำ​แปล​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ ฉบับ 1971 ซึ่ง​ได้​รับ​ความ​นิยม​อย่าง​แพร่​หลาย​เป็น​เวลา​ยาว​นาน​ใน​หมู่​คริส​เตียน​ไทย อย่าง​ไร​ก็​ตาม เมื่อ​วัน​เวลา​ผ่าน​ไป ภาษา​ไทย​ก็​เปลี่ยน​แปลง การ​ศึกษา​ค้น​คว้า​เกี่ยว​กับ​พร​ะคัมภีร์ รวม​ทั้ง​ภาษา​ที่​ใช้​บัน​ทึก​พระ​คัมภีร์ ซึ่ง​แต่​แรก​คือ ภาษา​ฮีบรู ภาษา​อารา­เมค และ​ภาษา​กรีก ได้​พัฒนา​ขึ้น​มาก อีก​ทั้ง​มี​การ​ค้น​พบ​หลัก​ฐาน​ทาง​โบ­ราณ​คดี​และ​เอก­สาร​โบ­ราณ​เพิ่ม​ขึ้น ทำ​ให้​เรา​เข้า​ใจ​สิ่ง​ที่​ไม่​ชัด​เจน​ใน​อดีต​ได้​ดี​ยิ่ง​ขึ้น การ​แก้​ไข​คำ​แปล​ใน​ครั้ง​นี้ จึง​เป็น​การ​เก็บ​รักษา​ส่วน​ที่​ดี​ของ​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ ฉบับ 1971 ไว้ และ​ใน​ขณะ​เดียว​กัน​ก็​ปรับ​ปรุง​คำ​แปล​ให้​ดี​ยิ่ง​ขึ้น​กว่า​เดิม และ​ได้​แก้​ไข​หลาย​ส่วน​ในพระ​คัมภีร์​ที่​ไม่​ชัด​เจน​ให้​ถูก​ต้อง​ชัด​เจน​ยิ่ง​ขึ้น

โครง​การ​แก้​ไข​คำ​แปล​นี้​เริ่ม​ต้น​ตั้ง​แต่​ปี ค.ศ.1997 และ​เสร็จ​สิ้น​ใน​ปี ค.ศ.2010 ซึ่ง​ใช้​เวลา​นาน​ถึง 14 ปี สา​เหตุ​ที่​ต้อง​ใช้​เวลา​นาน​ใน​การ​แก้​ไข​ก็​เนื่อง​จาก​เนื้อ​หา​ของ​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์​นี้​มี​มาก อีก​ทั้ง​มี​ผู้​เขียน​หลาย​คน ซึ่ง​ผู้เขียน​แต่​ละ​คน​นั้น​ก็​เขียน​ใน​ต่าง​ยุค​ต่าง​สมัย บาง​ยุค​ก็​ห่าง​กัน​นับ​เป็น​พันปี อนึ่ง​ใน​การ​แปล​ใน​ครั้ง​นี้​เรา​แปล​มา​จาก​ฉบับ​ภาษา​ฮีบรู​และ​ภาษา​กรีก​ที่​จัด​ทำ​ขึ้น​ตาม​มาตร­ฐาน​ของ​สห­สมาคม​พระ​คริสต​ธรรม​สากล (United Bible Societies) ซึ่ง​เป็น​หน่วย​งาน​ที่​แปล​พระ​คัมภีร์​มาก​ที่สุด​ใน​โลก และ​การ​แปล​นี้​ก็​ได้​ดำเนิน​ตาม​มาตร­ฐาน​ของ​สห­สมาคม​พระ​คริสต​ธรรม​สากล ภาษา​ที่​ใช้​เขียน​พันธ­สัญญา​เดิม​นั้น​คือ​ภาษา​ฮีบรู​และ​ภาษา​อารา­เมค​สมัย​โบ­ราณ ส่วน​ภาษา​ที่​ใช้​เขียน​พันธสัญญา​ใหม่​คือ​ภาษา​กรีก​ซึ่ง​ไม่​ได้​ใช้​แล้ว​ใน​ปัจ­จุ­บัน คำ​ศัพท์​จำ­นวน​มาก​ที่​ปรา­กฏ​อยู่​ใน​พระ​คัมภีร์​จึง​เป็น​คำ​ศัพท์​ที่​คน​ใน​สมัย​ปัจ­จุ­บัน​ไม่​เข้า​ใจ ผู้​แปล​ต้อง​บัญ­ญัติ​ศัพท์​เฉพาะ​ขึ้น และ​ได้​เพิ่ม​หน้า​ประมวล​ศัพท์​ไว้​ท้าย​เล่ม​เพื่อ​อธิบาย​ความ​หมาย​ของ​คำ​เฉพาะ​เหล่านี้ คำ​ศัพท์​คำ​เดียว​กัน​ที่​ถูก​ใช้​ต่าง​สมัย ความ​หมาย​ก็​ไม่​เหมือน​กัน ถึง​แม้​ผู้​แปล​จะ​ยึด​หลัก​การ​แปล​ที่​จะ​แปล​คำ​ใน​ภาษา​ฮีบรู​หรือ​ภาษา​กรีก​ให้​เป็น​คำ​เดียว​กัน​อย่าง​สม่ำ​เสมอ​ใน​ภาษา​ไทย แต่​ผู้​แปล​จำ​เป็น​ต้อง​พิจาร­ณา​บริบท​ของ​คำ​นั้นๆ ด้วย ดัง​นั้น​จึง​ไม่​สามารถ​แปล​คำ​เดียว​กัน​จาก​ภาษา​เดิม​ให้​เป็น​คำไทย​ที่เหมือน​กัน​ตลอด​ทั้ง​เล่ม

การ​แก้​ไข​ปัญหา​ด้าน​ความ​แตก​ต่าง​ทาง​ไวยา­กรณ์​ของ​ภาษา​เดิม​ใน​พระ​คัมภีร์​และ​ภาษา​ไทย

ภาษา​ไทย​มี​ไวยา­กรณ์​ที่​แตก​ต่าง​จาก​ภาษา​ฮีบรู​และ​ภาษา​กรีก ยก​ตัว​อย่าง​เช่น การ​เรียง​ประ​โยค​ใน​ภาษา​ไทย​จะ​เป็น ประธาน กริยา กรรม แต่​ภาษา​ฮีบรู​เรียง​ประ­โยค​ต่าง​ไป​คือ กริยา ประธาน กรรม โดย​มี​เครื่อง​หมาย​ที่​บ่ง​บอก​การ​เป็น​กรรม​ของ​คำ​นาม​นั้น​อยู่​ด้วย ส่วน​การ​เรียง​ประ​โยค​ของ​ภาษา​กรีก​นั้น​ยืด​หยุ่น​กว่า​ทั้ง​สอง​ภาษา​คือ ประธาน​จะ​อยู่​ส่วน​ไหน​ของ​ประ​โยค​ก็​ได้ แต่​การ​จะ​รู้​ว่า​คำ​ไหน​เป็น​ประธาน​หรือ​กรรม​ก็​ต้อง​อาศัย​คำ​ที่​บ่ง​บอก​ประธาน​หรือ​กรรม​กำ​กับ​ด้วย

นอก​จาก​นี้ ทั้ง​ไวยา­กรณ์​ภาษา​ฮีบรู​และ​ภาษา​กรีก​ยัง​ให้​ความ​สำคัญ​เรื่อง​พจน์​ได้​แก่ เอก­พจน์ พหูพจน์ และ​ทวิ­พจน์ ส่วน​ไวยา­กรณ์​ภาษา​ไทย​ไม่​ค่อย​ให้​ความ​สำคัญ​เรื่อง​พจน์ อย่าง​ไร​ก็​ตาม เพื่อ​ช่วย​ให้​ผู้​อ่าน​ตี​ความ​หมาย​พระ​คัมภีร์​ได้อย่าง​ถูก​ต้อง ผู้​แปล​จึง​ได้​เพิ่ม​คำ​บ่ง​บอก​พจน์​เข้า​ไป​เท่า​ที่​จำเป็น ทำ​ให้​บาง​ครั้ง​อาจ​ไม่​เป็น​ไป​ตาม​สำ­นวน​ธรรม­ชาติ​ของ​ภาษา​ไทย​บ้าง แต่​จำ​เป็น​ต้อง​ทำ​เพื่อ​ไม่​ให้​เกิด​ความ​เข้า​ใจ​ผิด มี​คำ​หนึ่ง​ที่​ปรา­กฏ​บ่อย​ใน​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ ซึ่ง​ผู้​อ่าน​หลาย​ท่าน​อาจ​จะ​เข้า​ใจ​ผิด​ว่า​เป็น​คำ​พหู­พจน์ ทั้งๆ ที่​เป็น​คำ​เอก­พจน์​คือ คำ​ว่า “ประ­ชา­ชาติ” หาก​จะ​ทำ​ให้​เป็น​พหู­พจน์​ต้อง​เพิ่ม​คำ​บ่ง​บอก​พหู­พจน์​เข้าไป​ข้าง​หน้า​หรือ​ข้าง​หลัง​เป็น “บรรดา​ประ­ชา­ชาติ” หรือ “ประ­ชา­ชาติ​ทั้ง​หลาย” คำว่า “ประ­ชา­ชาติ” หมาย​ถึง​ประ­ชา­ชน​หลาย​คน​ใน​ประ­เทศ​เดียว หรือ หมาย​ถึง ประ­เทศ​ชาติ​ใด​ประเทศ​ชาติ​หนึ่ง ใน​ขณะ​ที่ “บรรดา​ประ­ชา­ชาติ” หรือ “ประ­ชา­ชาติ​ทั้ง​หลาย” หมาย​ถึง หลาย​ชาติ ผู้​แปล​ได้​พยายาม​อย่าง​สุด​ความ​สามา­รถ​ที่​จะ​รัก­ษา​ความ​สม­ดุล​ระ­หว่าง​ความ​เป็น​สากล​และ​ความ​เป็น​ท้อง​ถิ่น​ใน​การ​แปล​ครั้ง​นี้ คือ​รัก­ษา​ความ​สม­ดุล​ระ­หว่าง​ความ​ถูก​ต้อง​ของ​ภาษา​ฮีบรู​และ​ภาษา​กรีก​กับ​ความ​ชัด​เจน​ของ​ภาษา​ไทย

การ​แปล​ตาม​รูป­แบบ​ของ​บท​ประ­พันธ์​ใน​พระ​คัมภีร์

นอก​จาก​เรื่อง​ของ​ภาษา​และ​ไวยา­กรณ์​ที่​แตก​ต่าง​กัน​แล้ว ผู้​แปล​ยัง​พบ​อุป­สรรค​และ​ปัญหา​สำ​คัญ​ที่​ยาก​ต่อ​การ​ถ่าย​ทอด​มา​ถึง​ผู้​อ่าน​คือ ปัญหา​ที่​เกิด​จาก​รูป­แบบ​ของ​บท​ประ­พันธ์ ใน​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์​นี้​มี​รูป­แบบ​ของ​บท​ประ­พันธ์​อยู่​หลาย​รูป­แบบ​ได้​แก่ เรื่อง​ราว อุปมา คำ​เปรียบ​เทียบ สุภา­ษิต บท​กลอน คำ​อธิษ­ฐาน คำ​เผย​พระ​วจนะ เรื่อง​อวสาน​ของ​โลก ฯลฯ รูป­แบบ​ของ​บท​ประ­พันธ์​แต่​ละ​รูป​แบบ​นั้น​มี​การ​ถ่าย​ทอด​ที่​แตก​ต่าง​กัน ดัง​นั้น​การ​แปล​ที่​จะ​รัก­ษา​รูป​แบบ​เดิม​ไว้​นั้น​ไม่​ใช่​เรื่อง​ง่าย ใน​การ​แปล​บท​กลอน​ภาษา​ฮีบรู​มา​เป็น​ภาษา​ไทย​นั้น สิ่ง​ที่​ผู้​แปล​สามา­รถ​รัก­ษา​ไว้​ได้​คือ ความ​หมาย แต่​ไม่​สามารถ​รัก­ษา​การ​เล่น​คำ​และ​การ​เล่น​เสียง​ของ​ผู้​เขียน​ได้ ดัง​นั้น​เพื่อ​ให้​ท่าน​ผู้​อ่าน​เห็น​ความ​สัม­พันธ์​ทาง​ความ​คิด​ที่​ซ่อน​อยู่​ใน​บท​กลอน ผู้​แปล​จึง​ได้​จัด​วาง​เนื้อ​ความ​เป็น​บรร­ทัด และ​มี​ย่อ​หน้า​คู่​ขนาน​ให้​เข้า​ใจ​ง่าย​ขึ้น​ด้วย

ความ​พิถี­พิถัน​ใน​การ​ใช้​ราชา​ศัพท์​และ​สรรพ­นาม

ภาษา​ไทย​ยัง​คง​ให้​ความ​สำคัญ​ใน​เรื่อง​ราชา​ศัพท์ ดัง​นั้น​เมื่อ​ผู้​แปล​ต้อง​แปล​พระ​ธรรม​สดุดี​ซึ่ง​เป็น​คำ​อธิษ­ฐาน​ที่​มี​ลักษณะ​เป็น​บท​เพลง โดย​ไม่​มี​เครื่อง​หมาย​คำ​พูด และ​ไม่​มี​การ​บอก​กล่าว​อย่าง​ชัด​เจน​ว่า​ผู้​ประ­พันธ์​กำ​ลัง​พูด​กับ​ใคร เพื่อ​ช่วย​ให้​ผู้​อ่าน​รู้​ว่า​ผู้​ประ­พันธ์​กำ​ลัง​พูด​กับ​ใคร ผู้​แปล​จำ​เป็น​ต้อง​พิถีพิถัน​ใน​เรื่อง​สรรพ­นาม​ที่​ใช้​ใน​การ​กล่าว​ถึง​ตน​เอง​คือ “ข้าพ­เจ้า” และ “ข้า​พระ­องค์” ถ้า​ผู้​ประ­พันธ์​อธิษ­ฐาน​กับ​พระ​เจ้า​ก็​จะ​ใช้​สรรพ­นาม​แทน​ตน​เอง​ว่า “ข้า​พระ­องค์” หาก​ผู้​ประ­พันธ์​พูด​กับ​ประ­ชา­ชน​ใน​ระ­หว่าง​การ​อธิษ­ฐาน​ก็​ใช้​สรรพ­นาม​แทน​ตน​เอง​ว่า“ข้าพ­เจ้า” ดัง​นั้น​การ​มี​คำ​ว่า “ข้าพ­เจ้า”กับ “ข้า​พระ­องค์” อยู่​ใน​สดุดี​บท​เดียว​กัน​นี้​ไม่​ได้​เป็น​การ​แปล​ผิด หรือ ความ​ไม่​สม่ำ​เสมอ​ใน​การ​แปล แต่​แท้​ที่​จริง​เป็น​เครื่อง​มือ​ที่​ช่วย​ให้​ผู้​อ่าน​รู้​ว่า ผู้​ประ­พันธ์​กำ​ลัง​พูด​กับ​ใคร นอก​จาก​นี้​ใน​บท​สน­ทนา​ที่​เป็น​ร้อย​แก้ว ก็​จะ​ใช้​คำ​ว่า “ข้า​พระ­บาท” กับ “ฝ่า​พระ­บาท” เมื่อ​คน​สา​มัญ​พูด​กับ​กษัตริย์​ที่​เป็น​มนุษย์ แต่​หาก​ผู้​พูด​รำ​พึง​รำ​พัน​กับ​ตัว​เอง​ก็​จะ​ใช้​สรรพ­นาม “ข้า” ด้วย

คำ​ว่า “พระองค์” เป็น​สรรพ­นาม​ราชา​ศัพท์​ที่​เป็น​บรุษ​ที่ 2 หรือ 3 ก็​ได้ หาก​คำ​นี้​ถูก​ใช้​ใน​บริ​บท​ที่​ไม่​ชัด​เจน​ว่า หมาย​ถึง บุรุษ​ที่ 2 หรือ​บุรุษ​ที่ 3 ผู้​แปล​ก็​จำ​เป็น​ต้อง​เพิ่ม​เชิง​อรรถ​เข้า​ไป​เพื่อ​ช่วย​ให้​ผู้​อ่าน​ตี​ความ​หมาย​ได้​อย่าง​ถูก​ต้อง ดัง​นั้น​หาก​ท่าน​อ่าน​พบ​ข้อ​ความ​ใด​ใน​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์​เล่ม​นี้ ซึ่ง​ทำ​ให้​ท่าน​ฉงน ขอ​ความ​กรุณา​อย่า​ด่วน​สรุป​เร็ว​เกิน​ไป​ว่า​แปล​ผิด แต่​ขอ​ท่าน​ได้​โปรด​พิจา­รณา​อย่าง​รอบ​คอบ​และ​ตรวจ​สอบ​ดู​ที่​เชิง​อรรถ​ก่อน เพราะ​ใน​เชิง​อรรถ​ของ​ข้อ​ความ​บาง​ตอน​ที่​เข้า​ใจ​ยาก ผู้​แปล​มัก​จะ​เพิ่ม​เชิง​อรรถ​ว่า “แปล​ตรง​ตัว​ว่า” หรือ “แปล​ได้​อีก​ว่า”

คำ​ราชา​ศัพท์​ที่​ใช้​ใน​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์​ฉบับ​นี้​เป็น​ราชา​ศัพท์​ใน​ระดับ​ที่​ง่าย​คือ คำ​ราชา​ศัพท์​ที่​เป็น​คำ​กริยา ก็​มัก​จะ​ใช้​คำ​ว่า “ทรง” นำ​หน้า​คำ​กริยา​สามัญ แต่​หาก​มี​คำ​กริยา​ราชา​ศัพท์​ซึ่ง​เป็น​คำ​ที่​คน​ส่วน​ใหญ่​คุ้น​เคย​อยู่​แล้ว ก็​ใช้​คำ​กริยา​นั้น​เลย โดย​ไม่​ต้อง​มี​คำ​ว่า “ทรง” นำ​หน้า นอก​จาก​นี้​ได้​มี​การ​ลด​การ​ใช้​คำ​ราชา​ศัพท์​ที่​มาก​เกิน​ความ​จำ​เป็น​ที่​อยู่​ใน​ฉบับ 1971 ลง เช่น ได้​เลิก​ใช้​คำ​ว่า “ทรง​โปรด” แต่​จะ​ใช้​คำ​ว่า “โปรด” เท่า​นั้น และ​ได้​เลิก​ใช้​คำ​ว่า “ทรง​เสด็จ” และ​ใช้ “เสด็จ” แทน ส่วน​คำ​นาม​ราชา​ศัพท์​ที่​ยาก​มากๆ ก็​จะ​ใช้​คำ​นาม​สา​มัญ เช่น “พระแกล” ก็จะใช้ “หน้าต่าง” แทน ส่วนคำ​ราชา​ศัพท์​ที่​พอ​รู้จัก​กัน​ก็​จะ​รัก­ษา​ไว้​โดย​มี​เชิง​อรรถ​อธิ­บาย​ความ​หมาย

นอก​เหนือ​จาก​เรื่อง​ของ​ราชา​ศัพท์​แล้ว คน​ไทย​ยัง​ให้​ความ​สำ​คัญ​กับ​ฐานะ​ที่​แตก​ต่าง​กัน ผู้​แปล​ได้​พยา­ยาม​ที่​จะ​เลือก​ใช้​สรรพ­นาม​บุรุษ​ที่ 1,2 และ 3 ให้​เหมาะ​สม​กับ​บริ​บท​ใน​แต่​ละ​ตอน โดย​คำ​นึง​ถึง​ความ​สัม­พันธ์​ของ​คู่​สนทนา ฐานะ และ​การ​ให้​เกียรติ​ต่อ​ผู้​ที่​ถูก​กล่าว​ถึง ซึ่ง​ใน​ภาษา​ฮีบรู​ไม่​ได้​แบ่ง​แยก​อย่าง​ละ­เอียด​เท่า​ภาษา​ไทย ผู้​แปล​จึง​ต้อง​ตก​ลง​กัน​และ​เลือก​คำ​ที่​เหมาะ​สม​กับ​วัฒน­ธรรม​ไทย เช่น เมื่อ​ยา­โคบ​สน­ทนา​กับ​ลา­บัน​ผู้​เป็น​ญาติ ถึง​แม้​ว่า​ใน​ภาษา​ฮีบรู​จะ​ใช้​สรรพ­นาม​บุรุษ​ที่ 2 แต่​ผู้​แปล​ก็​ต้อง​ปรับ​เปลี่ยน​จาก “ท่าน” มา​เป็น “ลุง” เพื่อ​ให้​เข้า​กับ​วัฒน­ธรรม​ไทย ดัง​นั้น​ใน ปฐก.30:29 จึง​มี​เนื้อ​ความ​ว่า ยา­โคบ​ตอบ​ว่า “ลุง​ทราบ​อยู่​ว่า...”

การ​อ้าง​อิง​พระ​คัมภีร์​เดิม​ใน​พระ​คัมภีร์​ใหม่

ใน​กรณี​ที่​พระ​คัมภีร์​ใหม่​อ้าง​อิง​พระ​คัมภีร์​เดิม แล้ว​ผู้​อ่าน​เปรียบ​เทียบ​คำ​แปล​ใน​ส่วน​ของ​พระ​คัมภีร์​เดิม​แล้ว พบ​ว่า​แตก​ต่าง​กัน ก็​ขอ​ให้​ทราบ​ว่า ใน​การ​แปล​นี้​ผู้​แปล​ได้​แปล​ข้อ​ความ​อ้าง​อิง​ตาม​ฉบับ​ภาษา​กรีก ไม่​ได้​แปล​ตาม​ฉบับ​ภาษา​ฮีบรู นอก​จาก​นี้​ต้อง​เข้า​ใจ​ว่า ผู้​เขียน​พระ​คัมภีร์​ใหม่​ก็​อ้าง​อิง​พระ​คัมภีร์​เดิม​ฉบับภาษา​กรีก (ฉบับ​เซป­ทัว­จินต์) ด้วย

การ​แปลง​มาตรา​ชั่ง ตวง วัด จาก​ระบบ​โบ­ราณ​เป็น​ระบบ​เม­ตริก

เพื่อ​ให้​ผู้​อ่าน​จินตนา­การ​น้ำ​หนัก ปริ­มาณ ระยะ­ทาง หรือ​ขนาด​ของ​สิ่ง​ต่างๆ ที่​กล่าว​ถึง​ใน​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ได้ ผู้​แปล​จึง​แปลง​มาตรา​ชั่ง ตวง วัด​จาก​ระบบ​โบ­ราณ​เป็น​ระบบ​เม­ตริก แต่​ส่วน​สกุล​เงิน​ตรา​โบ­ราณ​ยัง​รัก­ษา​ไว้ เนื่อง​จาก​มูล​ค่า​ของ​เงิน​จะ​เปลี่ยน​แปลง​ไป​ใน​แต่​ละ​ยุค​สมัย

การ​ป้อง​กัน​การ​เข้า​ใจ​ผิด

ใน​การ​แก้​ไข​คำ​แปล​นี้ นอก​จาก​จะ​พยา­ยาม​ทำ​ให้​ชัด​เจน​และ​เข้า​ใจ​ง่าย​แล้ว ผู้​แปล​ก็​ระ­มัด​ระ­วัง​ไม่​ให้​ความ​เข้า​ใจ​ง่าย​กลาย​เป็น​ความ​เข้า​ใจ​ผิด​ไป ยก​ตัว​อย่าง​คำ​ว่า “โค​เฮน” ใน​ภาษา​ฮีบรู​จะ​ไม่​แปล​เป็น​ภาษา​ไทย​ว่า “พระ” หรือ “นัก​บวช” แต่​แปล​ว่า “ปุ­โร­หิต” ใน​ขณะ​ที่​พระ​คัมภีร์​ฉบับ​ภาษา​อัง­กฤษ​มัก​จะ​แปล​ว่า “Priest” ทั้ง​นี้​เพราะ​ว่า พระ​ใน​บริ​บท​ไทย​นั้น​คือ​ผู้​ที่​จะ​ต้อง​โกน​ศีรษะ​และ​โกน​คิ้ว ส่วน​ปุ­โร­หิต​นั้น ต้อง​ไม่​โกน​ศีรษะ​และ​ไม่​โกน​หนวด​เครา พระ​ใน​บริ​บท​ไทย​จะ​ไม่​สามา­รถ​อยู่​กิน​กับ​ภรรยา​ถึง​แม้​จะ​แต่ง​งาน​กัน​อย่าง​ถูก​ต้อง​ก่อน​ที่​จะ​บวช​เป็น​พระ แต่​ปุ­โร­หิต​จะ​สามา­รถ​อยู่​กิน​กับ​ภรรยา​ได้ นอก​จาก​นี้​การ​เป็น​ปุ­โร­หิต​ไม่​ได้​เกิด​จาก​การ​บวช แต่​เป็น​การ​สืบ​เชื้อ​สาย​มา​จาก​อาโรน อีก​ตัว​อย่าง​หนึ่ง​คือ คำ​สรรพ­นาม​บุรุษ​ที่ 3 พหู­พจน์​ใน​ภาษา​กรีก​ที่​แปล​เป็นภาษา​ไทย​ง่ายๆ ว่า “เขา​ทั้ง​หลาย” หาก​มี​พระ​เยซู​ร่วม​อยู่​ด้วย ก็​จำ​เป็น​ต้อง​แปล​ว่า “เมื่อ​พระ​เยซู​กับ​พวก​สา​วก” ที่​ต้อง​แปล​เป็น​ภาษา​ไทย​เช่น​นี้​เพราะ​ว่า คน​ส่วน​ใหญ่​อาจ​จะ​เข้า​ใจ​ผิด​ว่า มี​แต่​พวก​สา​วก​เป็น​ผู้​กระ​ทำ โดย​พระ​เยซู​ไม่​ได้​เกี่ยว​ข้อง​ด้วย เช่นใน​มธ.17:14 แปล​ว่า “เมื่อ​​พระ​​เยซู​​กับ​​พวก​​สา​วก​​เส­ด็จ​​มา​ถึง​​ฝูง​​ชน​​แล้ว...” แทน​ที่​จะ​แปล​ว่า “เขา​ทั้ง​หลาย​​มา​ถึง​​ฝูง​​ชน​​แล้ว...”

เพื่อ​ป้อง​กัน​ความ​เข้า​ใจ​ผิด ผู้​แปล​ยัง​ได้​ให้​ความ​สำ​คัญ​กับ​วรรค​ตอน​ของ​ประ­โยค​ด้วย เนื่อง​จาก​ภาษา​ไทย​เป็น​ภาษา​ที่​ไม่​มี​การ​เว้น​วรรค​ระ­หว่าง​คำ ดัง​นั้น​ผู้​แปล​จำ​เป็น​ต้อง​ตรวจ​ทาน​การ​เว้น​วรรค​ให้​ดี ไม่​เช่น​นั้น​แล้ว​อาจ​ทำ​ให้​ตี​ความ​หมาย​ผิด​ได้ แม้​แต่​ตัว​เลข​เชิง​อรรถ​ก็​มี​ผล​ต่อ​การ​เว้น​วรรค เพื่อ​ไม่​ให้​ผู้​อ่าน​เข้า​ใจ​ผิด​ว่า​มี​การ​เว้น​วรรค จึง​กำ­หนด​ให้​เลข​เชิง​อรรถ​เป็น​เลข​หลัก​เดียว​คือ​เลข ๑-๙ และ​ใช้​เวียน​กัน​อยู่​เพียง​เท่า​นั้น

ข้อ​ความ​บาง​ตอน​ใน​พระ​คัมภีร์​ที่​อาจ​จะ​อ่าน​เข้า​ใจ​ยาก หรือ​ฟัง​แล้ว​ขัด​กับ​ความ​รู้​สึก​นั้น เป็น​ไป​ได้​ว่า เกิด​จาก​ข้อ​จำ​กัด​ของ​ผู้​แปล หรือ​เป็น​ความ​จง​ใจ​ของ​ผู้​เขียน​ที่​ต้อง​การ​ให้​ผู้​อ่าน​หยุด​คิด เช่น​ใน มธ.19:24 ที่​กล่าว​ว่า “เรา​​บอก​​พวก​​ท่าน​​อีก​​ว่า ตัว​​อูฐ​​จะ​​ลอด​​รู​​เข็ม​​ก็​​ยัง​​ง่าย​​กว่า​​ที่​​คน​​มั่ง​​มี​​จะ​​เข้า​​ใน​​แผ่น​ดิน​​ของ​​พระ​​เจ้า” คำ​พูด​เช่น​นี้​เป็น​คำ​พูด​ที่​คน​ส่วน​ใหญ่​ไม่​คุ้น​เคย เพราะ​อูฐ​ตัว​ใหญ่ รู​เข็ม​เล็ก​กว่า​ตัว​อูฐ​มาก ตัว​อูฐ​จะ​ลอด​ได้​อย่าง​ไร? และ​ใน มก.4:9 “ใคร​​มี​​หู จง​​ฟัง​​เถิด” สิ่ง​ที่​ผู้​อ่าน​จะ​รู้​สึก​ขัด​แย้ง​คือ คน​ที่​มี​หู จึง​ฟัง​ได้ คน​ไม่​มี​หู ถึง​จะ​ฟัง​ก็​ไม่​ได้​ยิน ทำ​ไม​ต้อง​พูด​แบบ​นี้​ด้วย?

การ​แปล​พระ​นาม​ของ​พระเจ้า

ประ­เด็น​สำ​คัญ​อย่าง​หนึ่ง​ที่​มี​การ​แปล​แตก​ต่าง​จาก​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ ฉบับ 1971 คือ​เรื่อง​การ​แปล​พระ​นาม​ของ​พระ​เจ้า ใน​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ ฉบับ 1971 แปล​พระ​นาม​ของ​พระ​เจ้า​ว่า “พระ​เย­โฮ­วาห์” และ​มี​หลาย​ครั้ง​ที่​แปล​พระ​นาม​ของ​พระ​เจ้า​ว่า “พระ​เจ้า” หรือ “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า” แทน​ที่​จะ​แปล​ว่า “พระ​เย­โฮ­วาห์” แต่​เมื่อ​ได้​ศึกษา​อย่าง​รอบ​คอบ​แล้ว คณะ​ผู้​แปล​จึง​ได้​ตก​ลง​ที่​จะ​แปล​พระ​นาม​ของ​พระ​เจ้า​ว่า “พระ​ยาห์เวห์” เมื่อ​ผู้​อื่น​กล่าว​ถึง​พระ​องค์ แต่​หาก​พระ​เจ้า​ตรัส​เรียก​พระ​องค์​เอง จะ​แปล​ว่า “ยาห์เวห์” และ​ทุก​ครั้ง​ที่​ภาษา​ฮีบรู​ใช้​พยัญ­ชนะ 4 ตัว​ที่​หมาย​ถึง​พระ​นาม​พระ​เจ้า ก็​จะ​แปล​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​ออก​มา​ทุก​ครั้ง สำ​หรับ​ท่าน​ที่​เคย​อ่าน​พระ​คัมภีร์ ฉบับ 1971 ก็​จะ​พบ​ว่า ฉบับ​มาตร­ฐาน​มี​พระ​นาม​ของ​พระ​เจ้า​ปรา­กฏ​มาก​ขึ้น ส่วน​คำ​ฮีบรู​ว่า “อา­โด­นาย” จะ​แปล​ว่า “องค์​เจ้า​นาย” และ​คำ​ฮีบรู​ว่า “เอ­โล­ฮิม” จะ​แปล​ว่า “พระ​เจ้า”

การ​แปล​คำ​สั่ง​ที่​เด็ด​ขาด

สิ่ง​ที่​สำ​คัญ​มาก​อีก​อย่าง​หนึ่ง​คือ​กฎ​เกณฑ์​หรือ​ข้อ​บัง​คับ​ที่​เป็น​คำ​สั่ง​ห้าม​อย่าง​เด็ด​ขาด จะ​แปล​ว่า “ห้าม” แทน​คำ​ว่า “อย่า” ที่​ปรา­กฏ​ใน​ฉบับ 1971 ซึ่ง​เป็น​ไป​ตาม​ไวยา­กรณ์​ภาษา​ฮีบรู​และ​ความ​เข้า​ใจ​ใน​ภาษา​ไทย

ส่วน​ประ­กอบ​ต่างๆ ที่​เสริม​ความ​เข้า​ใจ

พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ ฉบับ​มาตร­ฐาน​นี้​ได้​พัฒ­นา​รูป­แบบ​หลาย​อย่าง​เพิ่ม​เติม​จาก​ฉบับ 1971 คือ พระ​ธรรม​ทุก​เล่ม​จะ​มี​บท​นำ​และ​โครง​ร่าง เพื่อ​ช่วย​ให้​ผู้​อ่าน​ได้​เห็น​ภาพ​รวม​ของ​เนื้อ​หา​แต่​ละ​เล่ม แผนที่​ใน​แต่​ละ​ยุค​แต่​ละ​สมัย ที่​นอก​จาก​จะ​เป็น​ภาพ​สี่​สี​แล้ว ยัง​แสดง​ระ­ดับ​ความ​สูง​ความ​ลึก​ของ​บริ­เวณ​ต่างๆ และ​ยัง​ได้​เพิ่ม​หน้า​ประ­มวล​ศัพท์​เพื่อ​ช่วย​อธิ­บาย​ให้​ผู้​อ่าน​ได้​รู้​จักและเข้าใจความหมายของ​คำ​เฉพาะ​ใน​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์ และ​ได้​เพิ่ม​เติม​ความ​รู้​เรื่อง​อัญ­มณี​ที่​ปรากฏ​ในพระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์​พร้อม​ภาพ​ประ­กอบ​เข้า​ไป​ด้วย เพราะ​คน​ไทย​ส่วน​ใหญ่​ยัง​ไม่​รู้​จัก​อัญ­มณี​เหล่า​นี้

จุด​เด่น​ของ​พระ​คริสต​ธรรม​คัมภีร์​ฉบับ​นี้​คือ เข้า​ใจ​ง่าย รู้​เรื่อง ถูก​ต้อง ชัด​เจน เห็น​ภาพ สอดคล้อง​กับ​บริ​บท​ไทย ได้​มาตร­ฐาน​สา​กล และ​ยัง​ช่วย​ให้​ผู้​อ่าน​รู้​พระ​ประ­สงค์​ของ​พระ​เจ้า ตั้ง​แต่​อดีต ปัจ­จุ­บัน และ​อนา­คต