กรุงเยรูซาเล็มเป็นของเผ่ายูดาห์หรือเบนยามิน
คำถาม เมื่ออ่านพระธรรมผู้วินิจฉัยบทที่ 1ข้อ 8 และข้อ 21 ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า กรุงเยรูซาเล็มเป็นของเผ่าไหนกันแน่ เป็นของเผ่ายูดาห์ หรือ เผ่าเบนยามิน อีกประการหนึ่งก็คือทำไมเมื่อเผ่ายูดาห์ยึดและเผาเมืองไปแล้ว ยังมีชาวเยบุสเหลืออยู่
คำตอบ เมื่ออ่านพระธรรมสองข้อนี้พร้อม ๆ กัน ก็ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกัน ดังนั้นเราต้องมาพิจารณาความเป็นมาของการยึดครองแผ่นดินคานาอันของคนอิสราเอล ว่าพวกเขามีการปฏิบัติอย่างไร
เมื่อโยชูวานำชนชาติอิสราเอลเข้าโจมตีแผ่นดินคานาอันนั้น คนอิสราเอลถูกต่อต้านจากชาวคานาอันที่รวมตัวกันพระธรรมโยชูวาบันทึกว่า กษัตริย์อาโดนีเซเดกกษัตริย์ที่ปกครองเยรูซาเล็มได้รวบรวมกษัตริย์อีก 4 องค์มาต่อสู้กับคนอิสราเอล” ด้วยเหตุนี้อาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มจึงทรงให้ไปหาโฮฮัมกษัตริย์แห่งเฮโบรนและปิรามกษัตริย์แห่งยารมูทและยาเฟียกษัตริย์แห่งลาคีชและเดบีร์กษัตริย์แห่งเอโลน” (ยชว.10:3) เมื่อทำการรบกษัตริย์ทั้งห้าก็ได้พ่ายแพ้ต่อกองทัพอิสราเอลกษัตริย์ทั้งห้าได้เข้าไปแอบในถ้ำ โยชูวาได้สั่งให้ทหารปิดปากถ้ำไว้แล้วให้ทหารไล่ติดตามทหารที่เหลือไปจนทหารที่แตกพ่ายได้เข้าไปอยู่ในเมือง โยชูวาจึงให้ทหารนำกษัตริย์ทั้งห้าออกมาประหารชีวิตเมื่อประหารชีวิตกษัตริย์เหล่านี้แล้วก็ได้ยกกองทัพไปยึดเมืองได้อีกหลายเมือง แต่ไม่ได้กล่าวถึงการยึดเยรูซาเล็ม (โยชูวา10:22-43) เป็นไปได้ว่าหลังจากสมัยของโยชูวายังมีคนเหลืออยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม
ต่อมาในสมัยผู้วินิจฉัยเผ่ายูดาห์และเผ่าสิเมโอนได้ยกกองทัพเข้ายึดอาณาเขตที่ได้ถูกจัดแบ่งไว้ให้ ซึ่งเมื่อเราพิจารณาชื่อเมืองที่โยชูวาแบ่งให้เผ่าต่างๆ เราก็จะพบว่าชื่อของเยรูซาเล็มปรากฏอยู่ในอาณาเขตของเผ่ายูดาห์ ตามโยชูวา 15:63 ที่กล่าวว่า “แต่คนเยบุสซึ่งเป็นชาวเมืองเยรูซาเล็มนั้นคนยูดาห์ไม่สามารถขับไล่ไปได้คนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับคนยูดาห์จนถึงทุกวันนี้” ในขณะเดียวกันเผ่าเบนยามินก็ได้รับเยรูซาเล็มเป็นมรดกด้วยในโยชูวา18:28 “เศลาหะเอเลบุส (คือเยรูซาเล็ม) กิเบอาห์และคีริยาทรวมเป็น 14 เมืองกับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้นๆ ด้วย นี่เป็นมรดกของพงศ์พันธุ์เบนยามินตามตระกูลของเขา” เมื่อเราพิจารณาจากแผนที่ประกอบเราก็อาจจะพอเข้าใจได้ว่าเยรูซาเล็มเป็นเมืองที่อยู่ชายแดนของทั้งสองเผ่า บางส่วนของเมืองอาจจะอยู่ในส่วนของยูดาห์และอีกส่วนอยู่ในเขตแดนของเบนยามิน ลักษณะที่เมืองหนึ่งอยู่ในสองอาณาเขต ก็พอให้เราเห็นได้ในปัจจุบัน เช่น Kansas City ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อมีการแบ่งเขตแดนของรัฐใหม่เมือง Kansas ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตของรัฐ Missouri อีกส่วนหนึ่งที่ไม่ค่อยเจริญนักก็จะอยู่ในเขตของรัฐ Kansas และจะถูกเรียกรวมกันว่า Kansas City metropolitan area การแบ่งเขตก็เป็นที่น่าสนใจมาก เช่น ถนนบางสายถูกแบ่งความรับผิดชอบการดูแลของแต่ละรัฐ เราจะสังเกตเห็นว่ายางมะตอยที่ใช้ทำถนนก็เป็นคนละสีกัน กรุงเยรูซาเล็มในปัจจุบันก็เหมือนกันถูกแบ่งออกเป็นสี่โซนด้วยกัน โซนหนึ่งเป็นของคนยิว โซนหนึ่งเป็นของมุสลิม โซนหนึ่งเป็นของคริสเตียน อีกโซนหนึ่งเป็นของอาร์เมเนี่ยน
ในพระธรรมผู้วินิจฉัย 1:8 ได้ระบุว่า “และคนยูดาห์ได้โจมตีเมืองเยรูซาเล็มและยึดเมืองได้ จึงฆ่าฟันชาวเมืองเสียด้วยคมดาบและเอาไฟเผาเมืองเสีย” ถ้าดูจากบริบทนี้แล้วเมืองนี้ไม่น่าจะมีคนเหลืออยู่ แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อคนเผ่ายูดาห์เผาเมืองแล้วก็ไม่ได้ตั้งรกรากที่นั่นปล่อยให้เป็นเมืองร้าง ประชาชนที่รอดตายหรือหนีไปได้ก็กลับมาสร้างเมืองใหม่ หรือเป็นไปได้ว่าคนเผ่ายูดาห์ทำลายเฉพาะส่วนที่อยู่ในเขตแดนของตน แต่ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับส่วนเขตแดนของเบนยามิน
อย่างไรก็ดีเมื่อเราอ่านต่อมาเรื่อยๆ จนถึงข้อที่ 18-20 เราก็จะพบว่าคนเผ่ายูดาห์ขับไล่คนคานาอันบางพวกได้ บางพวกก็ขับไล่ไม่ได้ และพอมาถึงข้อ 21 ก็พูดถึงคนเผ่าเบนยามินที่อาศัยอยู่ที่เยรูซาเล็มไม่ตั้งใจขับไล่พวกเยบุส “แต่คนเบนยามินไม่ได้ขับไล่คนเยบุสผู้อยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ดังนั้นคนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับคนเบนยามินในเมืองเยรูซาเล็มทุกวันนี้” ถ้าเราอ่านต่อมาเรื่อยๆเราจะพบว่าไม่เพียงแต่พวกเบนยามินไม่ได้ขับไล่พวกเยบุสออกไปแต่คนเบนยามินเองคงถูกขับไล่ออกมา เพราะในบทต่อมาในพระธรรมผู้วินิจฉัยเมืองนี้กลายเป็นเมืองของคนต่างด้าว “แต่ชายนั้นไม่ยอมค้างคืน เขาลุกขึ้นเดินทางไปพร้อมกับภรรยาน้อยและลาคู่หนึ่งที่ผูกอานจนถึงที่ตรงข้ามเมืองเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) เมื่อพวกเขามาใกล้เมืองเยบุสก็บ่ายมากแล้ว คนใช้จึงเรียนนายของเขาว่าให้เราแวะเข้าเมืองนี้ของคนเยบุสเถิด และให้เราคางคืนอยู่ในเมืองนี้แหละ แต่นายของเขาตอบว่าพวกเราจะไม่แวะเข้าเมืองของคนต่างด้าวผู้ไม่ใช่อิสราเอล แต่จะผ่านไปยังเมืองกิเบอาห์ (วนฉ.19:10-12)
พวกเยบุสถึงแม้จะไม่มีกษัตริย์ปกครองพวกเขาแล้ว พวกเขาก็เข้มแข็งขึ้นจนสามารถยึดเยรูซาเล็มไว้ได้เป็นเวลานาน จนกระทั่งถูกยึดครองได้จริงๆ โดยกษัตริย์ดาวิดพระราชาและคนของพระองค์ไปเยรูซาเล็มต่อสู้กับคนเยบุส ชาวแผ่นดินนั้นกล่าวกับดาวิดว่า “เจ้าเข้ามาที่นี่ไม่ได้เพราะคนตาบอดและคนง่อยก็ป้องกันไว้ได้” ด้วยคิดว่าดาวิดเข้ามาที่นี่ไม่ได้แต่อย่างไรก็ตาม ดาวิดทรงยึดศิโยนที่กำบังเข้มแข็งได้ ซึ่งก็คือเมืองของดาวิด ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า “ใครจะโจมตีคนเยบุสก็ให้ผู้นั้นไปตามรางน้ำไปสู้คนง่อยและคนตาบอด ผู้ซึ่งจิตใจของดาวิดเกลียดชัง” เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงพูดว่า“อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ” ดาวิดก็ประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งและเรียกที่นั้นว่าเมืองของดาวิด และดาวิดทรงขยายเมืองให้กว้างออกไป ตั้งแต่แนวกั้นดินเข้าไปข้างในและดาวิดทรงเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพสถิตกับพระองค์ (2ซมอ.5:6-10)
จะเห็นว่าพวกเยบุสมีความมั่นใจมากว่าพวกเขาจะป้องกันเมืองของตัวเองไว้ได้ นอกจากนี้เรายังเห็นว่าพระธรรม 2 ซามูเอล ทำให้เรารู้ว่าเยรูซาเล็มถูกเรียกด้วยชื่ออื่นด้วย เช่น ศิโยนและเมืองของดาวิด ก่อนหน้านี้เคยถูกเรียกว่าซาเลมซึ่งเป็นชื่อเมืองของเมลคีเซเดคผู้เป็นทั้งกษัตริย์ซาเลมและปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด (ปฐก.14:18) ในพระธรรมผู้วินิจฉัยตอนหนึ่งเรียกชื่อเมืองนี้ว่าเยบุส “แต่ชายนั้นไม่ยอมค้างคืนเขาจึงลุกขึ้นเดินทางไปพร้อมกับภรรยาน้อยและลาคู่หนึ่งที่ผูกอานจนถึงที่ตรงข้ามเมืองเยบุส (คือเย-รูซาเล็ม)” (วนฉ.19:10) เมื่อกษัตริย์ซาโลมอนจะสร้างพระวิหาร เมืองนี้จะถูกเรียกว่าโมริยาห์ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งอับราฮัมได้ใช้เป็นที่ถวายอิสอัคดังพระธรรม 2 พศด.3:1 ได้บันทึกว่า “แล้วซาโลมอนทรงเริ่มสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม บนภูเขาโมริยาห์ (ที่ซึ่งพระเจ้าทรงปรากฏแก่ดาวิดพระราชบิดาของพระองค์) ตรงที่ดาวิดทรงกำหนดไว้ คือลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส” และปฐก.22:2 ได้บันทึกว่า “พระองค์ตรัสว่า ‘จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัคบุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารักไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั้นเป็นเครื่องบูชาบนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”
สรุป เยรูซาเล็มเป็นเมืองที่ถูกแบ่งให้กับเผ่ายูดาห์และเผ่าเบนยามิน ในสมัยของโยชูวาเผ่ายูดาห์ได้เคยยึดและทำลายเมืองนี้อย่างย่อยยับ แต่ชาวเยบุสก็ได้กลับมาสร้างเมืองใหม่ เผ่าเบนยามินก็เคยไปอาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม แต่ต่อมาชาวเยบุสมีอิทธิพลมากกว่า ดังนั้นเผ่าเบนยามินจึงต้องออกจากเมืองนั้น จนกระทั่งสมัยของดาวิดคนอิสราเอลจึงได้ยึดและปกครองเยรูซาเล็มเรื่อยมา จนถึงสมัยกษัตริย์ซาโลมอนได้สร้างพระวิหารขึ้นบนภูเขาโมริยาห์
- ศาสนาจารย์ ดร.เสรี หล่อกัณภัย
- ภาพ www.land-of-the-bible.com