“แล้วทรงเทนำ้ลงในอ่างและทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และทรงเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น” (ยอห์น 13:5) เท้าที่สะอาดก็ถือว่าเป็นความสุขชนิดหนึ่งสำหรับผู้ต้องอาศัยอยู่ตามชนบทที่ร้อนระอุและมีฝุ่น ละอองปลิวอยู่ตลอดเวลา การล้างเท้าด้วยนำ้เย็นจึงนับเป็นความสุขชนิดหนึ่งในยามเย็น ความเหนื่อยอ่อนก็พลางหายไป โลกเปลี่ยนไปเมื่อเท้าถูกล้างให้สะอาด
ประเพณี การล้างเท้าในสมัยของพระเยซูเจ้า นับเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของการให้การต้อนรับ เป็นกิจกรรมที่คนใช้หรือทาสเป็นผู้กระทำในนามเจ้าของบ้าน ในการกินเลี้ยงครั้งสุดท้าย พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์ มิใช่เป็นเพียงผู้รับใช้ที่ถ่อมตนของพวกสาวกเท่านั้น แต่ทรงเป็นผู้รับใช้ ในบ้านของพระบิดา ด้วยการทรงเอาพระทัยใส่ความต้องการของบรรดาแขกที่มาร่วมรับประทานอาหารกับ พระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงล้างเท้าของบรรดาสาวก เป็นการแสดงว่าพระเจ้าทรงรับพวกเขาเข้าในบ้านของพระองค์ โดยทรงกระทำสิ่งที่จำเป็น เพื่อทรงประทานชีวิตใหม่และพลังให้แก่พวกเขา พวกสาวกจึงเริ่มเข้าใจว่า การเป็นผู้นำนั้นเป็นการรับใช้ มิใช่เป็นผู้มีอำ•นาจเหนือผู้อื่น
เราลองถามตัวเราเองดูซิว่า “ฉันเคยจำได้ไหม เมื่อฉันได้รับการต้อนรับอย่างดี มันทำให้ฉันมีพลังจิตที่จะทำอะไรพิเศษสักอย่างหนึ่งไหม? การต้อนรับที่ดีทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและได้รับความนับถือเป็น พิเศษมิใช่หรือ? มีอะไรบ้างที่เราสามารถทำได้ เพื่อให้รู้สึกว่าเรามีชีวิตใหม่ และให้ความมีชีวิตชีวาแก่ผู้ที่กำลังเครียดหนักและมีความกังวลสูง? ฉันสามารถช่วยให้ผู้ที่มีความห่วงกังวลรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม? เป็นไปได้ที่เราสามารถช่วยผู้ที่กำลังมีความทุกข์ด้วยรอยยิ้มของเรา?
บทอธิษฐานภาวนา
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บางครั้งความถ่อมตนอาจเป็นยาขมที่จะต้องกลืนสำหรับลูก แม้จะเป็นการเลียนพระฉบับแบบของพระองค์ โปรดให้ลูกมีจิตใจโอบอ้อมอารี แม้จะยากเย็นสักเพียงใดก็ตาม โปรดได้ทรงเปิดตาและเปิดใจให้ลูกได้สังเกตเห็นช่วงเวลาที่จะช่วยให้ผู้ใดผู้ หนึ่งให้ได้รับกำลังใจด้วยการกระทำที่โอบอ้อมอารีและด้วยความเคารพรัก อาเมน