กำไรของความทุกข์คือความทุกข์ที่ไม่ขาดทุน 2/17

กำไรของความทุกข์คือความทุกข์ที่ไม่ขาดทุน

เด็กหญิงคนหนึ่งที่ลืมตาดูโลกขึ้นมา เมื่อเธอจำความได้เธอก็ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย เริ่มตั้งแต่คุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุ 7 ขวบ คุณแม่ไม่รักเธอเลยและเลี้ยงดูเธอเอาไว้ใช้งาน ไม่ให้ไปเรียนหนังสือ ในด้านร่างกายเธอเกิดมาก็มีเส้นเอ็นที่เท้าผิดปกติ ถ้าเดินมากๆ ก็จะเกิดอักเสบทรมานมาก ทำให้เธอรู้สึกหมดหวัง ไม่มีที่พึงในชีวิต เธอคิดจะไปวัดบวชชีและใช้ชีวิตจบลงตรงที่วัด เมื่อตอนอายุประมาณ 18 ปี แต่แล้วพระเจ้าก็เมตตาให้เธอได้พบกับ ดร.บิวเกอร์ (ซึ่งรู้จัก ดร.เกรส ผู้เชี่ยวชาญในการผ่าตัดแก้ไขความพิการ) มาซื้อของที่รานของน้าและแนะนำให้เธอไปที่โรงพยาบาลคริสเตียนมโนรมย์ และที่นั่นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอได้พบและได้รู้จักพระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ได้เปลี่ยนจิตใจที่มืดดำสิ้นหวังของเธอให้กลายเป็นสีชมพู หัวใจของเธอเต็มล้นด้วยสันติสุขในพระเจ้า เธอได้มอบชีวิตของเธอให้อยู่ภายใต้การทรงนำของพระองค์ โดยยึดพระคัมภีร์เป็นหลักนำชีวิต ขอแนะนำให้รู้จักกับ คุณรีณา เอี๊ยบ อดีตผู้อำนวยการสมาคม YWCA

เริ่มต้นชีวิต

ดิฉันเกิดมาในครอบครัวคนจีน คุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ดิฉันอายุได้ 7 ขวบ แม่แต่งงานใหม่มีลูกใหม่ซึ่งทำให้แม่ไม่รักฉันเลย ฉันเป็นลูกชังของแม่ เพราะพ่อกับแม่มีความขัดแย้งกันตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ และความขัดแย้งนี้ก่อให้เกิดความเกลียดชังตกมาที่ดิฉัน แม่เลี้ยงฉันไว้ใช้งาน ตลอดชีวิต 7-8 ขวบฉันรู้จักทำงานเป็น แม่ไม่ให้ไปเรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆ แม่กลัวว่าฉันจะเก่งขึ้นและทิ้งท่านไป ฉันต้องอยู่กับพ่อเลี้ยงและน้องเลี้ยง จิตใจฉันต้องจมอยู่กับความเกลียดชังพ่อเลี้ยง น้องเลี้ยง เกลียดแม่ เพราะพวกเขาเกลียดฉันก่อน ฉันจึงเกลียดเขาตอบ นอกจากจิตใจที่ย่ำแย่แล้วร่างกายฉันก็ผิดปกติอีกคือเส้นเอ็นที่ข้อเท้าตาย ทำให้มีปัญหาเวลาเดินมากก็จะทำให้เจ็บปวดทุกข์ทรมาน และเกิดแผลอักเสบตลอดมา ชีวิตฉันจึงมีแต่ความทุกข์ ทั้งร่างกายและจิตใจ รู้สึกมืนมนสิ้นหวังไม่มีที่พึ่ง จนคิดว่าวัดเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด เพราะแม่มีเพื่อนบวชชีที่วัดที่จังวัดขอนแก่น และแทนที่จะได้ไปวัดบวชชีตามที่ตั้งใจ กลับไปพบกับ ดร.บิวเกอร์ ซึ่งมาซื้อของที่บ้านน้า และน้าแนะนำให้ไปรักษากับดร.บิวเกอร์ แต่เนื่องจาก ดร.บิวเกอร์ อยู่ขอนแก่นไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ดร.บิวเกอร์ ท่านช่วยรักษาการอักเสบของเท้า แต่ถ้าการฝ่าตัดต้องให้ ดร.เกรส วอเลน เท่านั้นที่ผ่าได้

พบพระเจ้า

ครอบครัวคนจีนของฉัน มีพ่อ และตา ยาย มาจากประเทศจีน ตาเป็นเจ้าของร้านขายของชำ(grocery) ร้านเดียวในตลาดขอนแก่น ซึ่งมีมิชชันนารี คระ C.M.A.มิชชัน) เป็นลูกค้ารายใหญ่และรายเดียวในจังวัดขอนแก่น พี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง)เล่าว่า มิชชันนารีจะมาซื้ออาหารก่อน พอพ้นระยะเวลาหนึ่งจะจ่ายเงินให้ทางร้าน พี่ชายเล่าอย่างอัศจรรย์ใจว่ามิชชันนารีไม่เคยต่อลองขอลดราคาสินค้าเลย นี่คือสาเหตุที่พบ ดร.บิวเกอร์ ซึ่งเป็นลูกค้ารายหนึ่งของร้าน และ ดร.บิวเกอร์ได้แนะนำให้รู้จัก ดร.เกรส วอเลน โดยมีหมอวิลลิค มิชชันนารีคณะแบ็บติสต์ซึ่งอยู่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน สีลม เวลานั้นเป็นผู้ติดต่อ ดร.เกรส ให้มาพบดิฉันที่ รพ.กรุงเทพคริสเตียน แล้วคุณหมอวิลลิค ก็ต้องขับรถไปรับดิฉันที่บ้านซึ่งอยู่ซอยวัดบรมนิวาศ เพื่อมาพบ ดร.เกรส ที่รพ.กรุงเทพคริสเตียน รุ่งขึ้นดิฉันจึงเดินทางโดยรถไฟไป ที่ รพ.คริสเตียนมโนรมย์ พร้อมด้วย ดร.เกรส และได้พบพระเจ้าที่นั่นภายในไม่กี่วันต่อมา

การพบพระเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อ.ซีเมอร์ ซึ่งเป็นมิชชันนารีรุ่นแรกของคณะ C.M.A.ที่ไปอยู่ขอนแก่น เป็นเพื่อนตา ดิฉันยังจำภาพที่ อ.ซีเมอร์มาคุยกับตาที่ร้านบ่อยๆ ในเวลาเย็น อ.ซีเมอร์คงจะพยายามนำตาและน้าๆ ในบ้านมารู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาไม่ใยดีในข่าวประเสริฐ มาถึงดิฉันซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของตาจึงได้รับการทรงเรียกให้มาเป็นผู้เชื่อโดยให้มีปัญหาที่เท้าเพื่อจะให้มีความสัมพันธ์กับมิชชันนารีทั้งหลายโดยไม่ขาดตอน

ฉันเดินทางมา รพ.คริสเตียนมโนรมย์ ปี 1962 กับดร.เกรส ประมาณ 55 ปีที่แล้ว ระหว่างที่ดิฉันนอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.คริสเตียนมโนรมย์นั้น มีมิชชันนารีของ OMFจากทั่วโลกมาคุยกับฉันทุกวัน พวกเขาขยันมาพูด มาเล่าเรื่องพระเยซูให้ฟังแต่ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ในจิตใจมีอย่างหนึ่งคือโหยหาอยากพบพระเจ้า ฉันจึงคร่ำครวญในใจตลอดเวลา…พระเจ้า พระองค์อยู่ที่ไหนฉันอยากพบพระองค์เหลือเกิน ถ้าฉันได้พบพระองค์แล้วฉันจะยอมให้พระองค์ทุกอย่าง… เพราะถ้าให้เชื่อตามมิชชันนารีมาบอกคงจะเชื่อยาก ฉันใช้เวลาศึกษาเรื่องราวของพระเจ้าอยู่ 7 วัน 7 คืน คือตอนเช้าไปร่วมประชุมนมัสการกับพนักงานโรงพยาบาลฯ ตอนกลางคืนยืมหนังสือคริสเตียนมาอ่าน พอกลางคืนก็ฟังกระจายเสียงซึ่งเป็นคำเทศนาของอาจารย์สุข พงษ์น้อย ฟังอยู่อย่างไม่นาน จากจิตใจที่เหมือนอยู่ในห้องมืดมาตลอดชีวิต ก็รู้สึกราวกับว่ามีใครมาเปิดสวิตซ์ไฟฟ้า จากชีวิตที่ดำมืดสนิทไม่มีแสงแห่งความหวังเลย กลายเป็นความสว่างจ้า มองเห็นภาพตัวเก่าหลุดออกไปเหมือนกับเกิดใหม่อีครั้งหนึ่ง เป็นโลกแห่งความตื่นเต้นยินดีมีสันติสุข เป็นโลกแห่งสีชมพู ที่มีแต่ความรัก จากเดิมมีแต่ความเกลียด ความขมขื่น ความน้อยใจ ปมด้อย คิดมาก ความรู้สึกในแง่ลบหลุดออกมาหมด มองเห็นตัวเก่าหลุดออกไป ฉันรู้ว่าฉันพบพระเจ้าแล้วเมื่อจิตใจเปลี่ยนไป จากวันนั้นถึงวันนี้สิ่งที่ยึดถือคือพระคัมภีร์เป็นหลักนำชีวิต

ชีวิตเปลี่ยน

เมื่อพบพระเจ้าแล้ว ฉันก็บอกกับตัวเองว่า เมื่อก่อนที่จะรู้จักพระเจ้านั้นเคยมีความฝัน ความหวังแบบหนึ่ง แต่บัดนี้เมื่อเราพบพระเจ้าแล้ว ความฝัน ความหวัง แต่เดิมใช้ไม่ได้ เพราะเป็นความหวัง ความปรารถนาซึ่งคิดในขณะที่ไม่มีพระเจ้า และยังมีพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่นำให้ถวายตัว คือพระธรรมยอห์น 10:27 “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะเหล่านั้นก็ตามเรา” พระธรรมข้อนี้ที่บอกกับตัวเองว่าต้องถวายชีวิตทั้งหมดให้แก่พระเจ้า ต้องฟังเสียงพระเจ้า ไม่ใช่ใช้ชีวิตตามความปรารถนาของตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยมีใครมาสอนเรื่องถวายตัว กับถวายสิบลด แต่ฉันก็รู้ว่าสิบลดเป็นของพระเจ้า

เมื่อเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ พระเจ้าทำงานผ่านพ่อเลี้ยง คือลูกหนี้พ่อเลี้ยงยกตึกแถวเยาวราชให้พ่อเลี้ยงเพื่อใช้หนี้ พ่อเลี้ยงก็ยกตึกนั้นให้แม่ และให้เงินก้อนหนึ่งมาเป็นทุน บริเวณนั้นเชื่อมระหว่างเจริญกรุงกับเยาวราช แม่ได้เปิดร้านเครื่องเขียนและบังคับให้ฉันขายของให้แม่โดยไม่มีเงินเดือนฉันจึงขอเงินเดือนแม่ 500 บาท ฉันได้ถวายสิบลด 50 บาทให้พระเจ้า ระหว่างที่ขายเครื่องเขียนพระเจ้าก็ทำงานในจิตใจฉันว่า “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร” ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อจะขายเครื่องเขียน แต่ถ้าไม่ขายเครื่องเขียนก็ไม่มีเงิน ใครจะเลี้ยงดูเรา เกิดการต่อสู้ในจิตใจว่าระหว่างการขายเครื่องเขียนกับการไปเรียนพระคริสตธรรม ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ 4- 5 ปี และคิดว่าโลกนี้สั้น โลกหน้ายาว เรายอมเป็นคนจนในโลกนี้ไปรวยในโลกหน้าดีกว่า จึงตัดสินใจเด็ดขาดคุกเข่าถวายตัวเพื่อเป็นผู้ประกาศ แต่การจะเลิกทำร้านค้าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าสินค้าเต็มร้าน แม่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า แล้วแม่ก็ไม่ได้เลี้ยงเราแบบมานั่งฟังเรา เลี้ยงแบบเผด็จการ จึงไม่ง่ายเลยที่จะเลิกทำร้าน แต่พระเจ้าก็ทำอัศจรรย์พอฉันคุกเข่าถวาย ภายใน 7 วันลูกค้าร้านตรงข้ามมาหาแม่และขอเหมาสินค้าทั้งหมดในร้านและขอเช่าต่อ แต่ต้องลดค่าสินค้าให้เขา 30 %ฉันก็ได้เป็นอิสระ ฉันจึงได้ไปเรียนที่โรงเรียนพระคริสต์ศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์ สวนพลู และจบการศึกษาครั้งแรกเมื่อปี 1972 หลักสูตรในสมัยนั้นคือ ประกาศนียบัตรพระคริสตธรรม

พระเจ้าทรงเลี้ยงดู

เมื่อเรียนจบพระคริสตธรรม หางานยังไงก็ไม่ได้ เพราะคริสตจักรสมัยนั้นมีน้อยมาก แต่ก็เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้ไปท่องโลกกว้าง เมื่อเรียนจบใหม่ๆ ก็โดนแม่บ่นทุกวันว่า ไหนบอกเรียนจบจะไม่ขอเงินแม่ ทำไมยังขออยู่ จะอยู่ทุกวันนี้เพื่อหวังมรดกหรอ แม่ส่งน้องสาวดิฉันไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เป็นความภาคภูมิใจของแม่มาก ฉันไม่มีความรู้ฝ่ายโลก จบแค่มัธยม 6 สมัยนั้นได้เรียนเพราะน้าส่งเสียให้เรียนกวดวิชา ไม่มีความรู้ที่จะไปหางานทำ ขณะที่กำลังมืดมนกับชีวิต ตื่นขึ้นมายามเช้าเปิดหนังสื่อพิมพ์ไทยรัฐขึ้นมาอ่าน ฉันอ่านพบคอลัมน์ในหนังสื่อพิมพ์ไทยรัฐว่ารับสมัครคนไปทำงานที่อังกฤษ ก็เลยส่งใบสมัครไป ภายในหนึ่งอาทิตย์เอเจนชี่ตอบกลับมาว่ารับฉันให้ไปอังกฤษ เป็นที่ตื่นเต้นของแม่มาก เพราะอยู่ๆ ลูกชังอย่างฉันก็ได้ไปอังกฤษแล้ว ตอนแม่เปิดอ่านจดหมายเขาร้องด้วยความตื่นเต้น

ก่อนไปอังกฤษได้ไปเอาพาสปอร์ตที่กระทรวงต่างประเทศก็ไปเจอมิชชันนารีคณะCMAฉันก็เข้าไปทักเพราะฉันรู้จักว่าเขาเป็นมิชชันนารี แต่เขาไม่รู้จักฉัน ก็ได้พูดคุยกันว่าจะไปไหน ฉันก็บอกเขาว่าจะไปอังกฤษ เขาก็เลยชวนไปงานประชุมบิลลี่ เกรแฮม เป็นงานประกาศที่โลซาน สวิสเซอร์แลนด์ฉันก็ตอบทันที่เลยว่าไป เป็นผู้หญิงไทยคนเดียวที่ได้ไปประชุมครั้งนั้น ซึ่งก็เป็นงานประชุมครั้งเดียวของบิลลี่ เกรแฮม เขาเชิญนักเทศทั่วโลก ตั๋วเครื่องบินฟรี ดูแลฟรี แต่ฉันไปได้แต่ต้องรับผิดชอบตัวเอง หาที่อยู่ที่กินเอง และฉันก็ไปใช้ชีวิตในยุโรป 4 ปี อย่างมีความสุข ระหว่างอยู่ที่นั่นพระเจ้าจัดเตรียมดีมาก เหมือนขึ้นสวรรค์เลยพระเจ้าเลี้ยงดูอย่างดี

ระหว่างอยู่อังกฤษปีที่ 2 พระเจ้าก็ทำการอัศจรรย์ ตอนนั้นแม่ยังอยู่เยาวราช อยู่คนเดียวบ้านมี 3 ชั้น ชั้นล่างให้เขาเช่า แม่มีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคนญวน เจ้าของแหนมลับแลที่ขอนแก่น วันหนึ่งเขาอึดอัดใจมาก เลยไปนั่งรถเล่นแถวลาดพร้าวเห็นมีการสร้างตึกใหม่เอี่ยม 4 ชั้นติดถนนใหญ่ ปัจจุบันติดรถไฟฟ้าใต้ดิน เขาสนใจลงไปขอซื้อ 1 ห้อง เจ้าของห้องไม่ขายให้ถ้าจะซื้อให้ซื้อทั้งหมด 4 ห้อง แต่ถ้าซื้อทั้งหมด 4 ห้องซื้อไม่ไหว เขาเลยมาหาแม่ชวนแม่ไปซื้ออีก 3 ห้อง แม่นึกถึงดิฉัน คิดถึงว่าดิฉันไม่มีอาชีพอะไร ก็เลยคิดจะซื้อให้ดิฉันเก็บค่าเช่ากิน แม่ก็เลยมาซื้อให้ดิฉันสมัยนั้นราคาอยู่ประมาณ 3.5 แสนบาท พอเบื่ออังกฤษแล้วดิฉันก็กลับมาประเทศไทย ตึกนี้ให้เช่าทำให้มีรายได้มาถึงทุกวันนี้ พระเจ้าทรงเลี้ยงดูฉันตามพระสัญญาของพระองค์จริงๆ

แม้ต้องถูกตัดขา

ฉันเป็นคนที่มีความผิดปกติเรื่องเส้นเอ็นประสาทที่ตายมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตั้งแต่ก่อนรับเชื่อพระเจ้าพระเจ้าได้ให้มีมิชชันนารีคอยดูแลฉันมาตลอดถึงแม้เท้าจะไม่สมบูรณ์แบบแต่ยังใช้การได้ ยังเดินได้ปกติเพียงแต่เรื่องการทรงตัวจะไม่ดีเหมือนคนอื่น เดินนานๆ เท้าก็จะอักเสบ คือไม่สามารถจะเดินได้เยอะเหมือนคนทั่วไป เมื่อใช้งานมากๆ แผลที่เท้าก็เริ่มเรื้อรัง ล่าสุดไปตุรกีมาเดินเยอะมาก เลยทำให้เท้าเป็นแผลอักเสบ และก็กลายเป็นแผลเนื้อร้ายที่ส้น สุดท้ายหมอก็ต้องตัดขาทิ้งเมื่อปี 2016 มีหลายคนถามว่ามีความรู้สึกอย่างไรบ้างกับการที่ต้องถูกตัดขา ตอบได้เลยว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ตกใจ ไม่รู้สึกเสียดาย หรือเสียใจ เพราะตอนตัดขาฉันได้อยู่ในบรรยากาศของพี่น้องคริสเตียน ฉันได้ผ่าตัดเท้าที่โรงพยาบาลคริสเตียนสังขะบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลคริสเตียน ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมให้ได้ผ่าตัดที่นี่ ฉันจึงได้อยู่ในบรรยากาศคริสเตียน มีหมอมิชชันนารีที่คุ้นเคยกันดี เป็นหมอที่เก่ง คือหมอสก๊อต เมอเรย์ ฉันได้นมัสการพระเจ้าทุกเช้า แล้วก่อนหน้านั้นฉันก็ได้ผ่าตัดกับหมอสก๊อตอยู่แล้ว เพราะว่าเท้าของฉันต้องผ่าตัดแก้ไขอยู่เรื่อยๆ ทุก 10 ปี เนื่องจากการทรงตัวไม่ดี ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาอยู่ในการดูแลของมิชชันนารีมาตลอด ทำให้ฉันไม่ได้รู้หวาดกลัวอะไรเลย ฉันเชื่อในการทรงนำของพระเจ้า

เป้าหมายในชีวิต

จากการดำเนินชีวิตแบบติดตามพระเจ้า ฉันได้รับการจัดเตรียมจากพระเจ้าอย่างดีจนถึงวันนี้แม้ว่าสิ่งที่มองเห็นภายนอกที่คนอื่นมองอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ เป็นคนแก่อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัว หลายคนก็ชอบถามว่าทำไมอยู่เป็นโสด ทำไมไม่มีครอบครัว อยู่มาได้อย่างไร ที่จริงไม่ใช่ว่าฉันจะไม่มีโอกาสหาคู่มีมาเรื่อยๆ เพราะเป็นคนชอบเดินทางชอบช่วยเหลือสังคม ตอนที่เท้ายังดีอยู่ชอบงานฟื้นฟู งานสัมมนา ที่ไม่มีคู่เพราะว่าดิฉันไม่ได้สนใจเรื่องอยู่บนโลกนี้ตั้งแต่พบพระเจ้า จิตใจจะคิดถึงแต่เบื้องบนคือสวรรค์ บ้านเราอยู่บนสวรรค์ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ จุดยืนของฉันอยู่ที่การประกาศเรื่องของพระเจ้า ไม่ได้จริงจังที่จะสร้างความสมบูรณ์ในโลกนี้

ตอนนี้ฉันอายุมากแล้วก็ไม่ได้หวังอะไร มีอย่างเดียวตั้งแต่เป็นสาวก็คือการประกาศเรื่องของพระเจ้า เมื่อก่อนตอนที่ยังเดินเองได้ก็ขึ้นแต่รถประจำทาง ตอนนี้ก็ขอบคุณพระเจ้าที่มีโอกาสไดนั่งแท็กชี่ พอได้นั่งแท็กชี่ก็มีโอกาสได้ประกาศมากขึ้น เพราะที่จริงเป็นเป้าหมายสูงสุดของตัวเองคือการประกาศ อยากให้มีคนมารู้จักพระเจ้า สิ่งที่เน้นประจำวันก็คือการประกาศข่าวประเสริฐแจกใบปลิว เพราะเป็นเป้าหมายเดียวตั้งแต่เชื่อพระเจ้าตอนอายุ 18 จนถึงวันนี้ เรารู้ว่าจุดจบสุดท้ายของชีวิตของเราอยู่กับพระเจ้า กลับไปหาพระเจ้า แต่จุดจบของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือบึงไฟนรก เราจึงอยู่เพื่อให้คนรอดไปสวรรค์ ที่จริงก็ตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามาไม่มีความอยากได้อะไรใช้ชีวิตเรียบๆ วันต่อวัน

พระคัมภีร์เป็นคำตอบของชีวิต

โรม 8:6 “การเอาใจใส่เนื้อหนังก็คือความตาย และการเอาใจใส่พระวิญญาณ ก็คือชีวิตและสันติสุข” แม้ความจริงเราอยู่ในโลกวัตถุ แต่เราจะไม่ให้วัตถุเป็นใหญ่

สุภาษิต 3:5 “จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึงพาความรอบรู้ของตนเอง” อย่าใช้ความคิดในการนำชีวิต ต้องให้พระเจ้านำหน้าเราเสมอ

มัทธิว 6:33 “แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้” อันดับแรกจุดเริ่มต้นของตัวเองตอนเชื่อพระเจ้า คือหาพระเจ้าให้พบก่อน หลายคนมาโบสถ์เพื่อต้องการพระพรต้องการให้พระเจ้าแก้ไขปัญหา ไม่ควรเป็นแบบนั้นมนุษย์ต้องรู้ว่าควรแสวงหาพระเจ้าก่อน

จุดยืนที่ปฏิบัติเมื่อเป็นคริสเตียนคือ แสวงหาพระเจ้าให้พบ มอบชีวิตให้พระเจ้านำ ไม่ดิ้นรนอะไร สัตย์ซื่อในการถวายสิบลด สิ่งนี้ทำมาตั้งแต่แรก เพราะรู้ว่าสิบลดเป็นของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะอวยพร เงินเดือนตอนที่ขายเครื่องเขียน แม่ให้ 500 บาท นำ 50 บาทเอามาถวายพระเจ้า ตอนนั้นอยู่คริสตจักรที่สองสามย่าน เริ่มจากจุดนั้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เห็นการเลี้ยงดูของพระเจ้า มองดูชีวิตของตัวเองก็เหมือนการทักทอพรมผืนหนึ่ง จะได้ว่าเคยได้การ์ดอวยพรจากมิชชันนารีท่านหนึ่งประทับใจมาก ข้อความเป็นภาษาอังกฤษ มีเนื้อความว่า “ด้ายสีดำ ต้องการมือที่ชำนาญในการทักทอ จนเป็นผ้าผืนงามเหมือนเงินและทองคำ” ตอนนั้นอ่านและซาบซึ้งใจมากๆ เพราะเนื้อหาเหมือนเช่นชีวิตตัวเอง ให้พระคำพระเจ้านำชีวิต หล่อหลอมความคิดจิตใจ พระคัมภีร์มีคำตอบสำหรับทุกเรื่อง ทุกครั้งที่เราเปิดพระคัมภีร์พระเจ้ามีคำตอบให้เรา ชีวิตคริสเตียนไม่ได้ดำเนินในความมืดพระเจ้าให้คู่มือชีวิตแล้ว ทุกปัญหามีคำตอบ

ฝากถึงคริสตชน

อยากจะบอกกับคนที่มาหาพระเจ้าว่า ควรมีเป้าหมายในการมาเพื่อจะพบพระเจ้าแสวงหาพระเจ้าให้เจอก่อน ไม่ใช่มาเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากปัญหา หรืออยากได้อะไรก็ตามที่ตัวเองอยากได้ ไม่ว่าปัญหาจะมากมายแค่ไหนอย่าหาทางที่จะแก้ไขปัญหา หาพระเจ้าให้เจอ แล้วพระเจ้าจะมีคำตอบให้กับชีวิตของเราเอง หลายคนมาโบสถ์เพราะมีปัญหาท่วมหัว สิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการคือหลุดจากปัญหา และสุดท้ายก็ไม่พบพระเจ้า ทำให้ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ขอให้ดูตัวอย่างของโยบ พระเจ้าไม่ได้แก้ปัญหาให้โยบ พระเจ้าให้โยบสัมผัสพระเจ้าผ่านทางธรรมชาติ ถ้าปัญหารุมเราอยู่ตรงหน้าเรา ต้องแยกให้ออกว่าปัญหาอยู่ส่วนปัญหา เราเองแก้ปัญหาไม่ได้ บางที่มองไม่เห็นหนทางจะจัดการยังไง ก็ปล่อยมันไว้ก่อน แสวงหาพระเจ้าขอกำลังจากพระองค์ พระเจ้าจะทรงจัดการให้ในทุกๆ ปัญหา จริงอยู่เรามีความต้องการทางเนื้อหนังอย่างเยอะแยะ แต่ต้องยึดเป็นหลักคืออย่าให้วัตถุมานำชีวิต ถ้าเราอยู่เพื่อตอบสนองความปรารถนาของตัวเอง ต้องการบ้าน ต้องการครอบครัว ความสมบูรณ์แบบอย่างชาวโลก เราก็จะเหนื่อยจนตาย ความสมบูรณ์แบบของคนเราไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ความสมบูรณ์ของคนอยู่ที่จิตใจ จิตวิญญาณ คริสเตียนต้องรักษาสันติสุขในพระเจ้า ตรงนี้สำคัญมากสันติสุขเป็นผลของพระวิญญาณ จะต้องรักษาจิตใจอย่างดี ที่จะให้มีสันติสุข ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแสวงหาพระเจ้า ด้วยการอ่านพระคัมภีร์ แล้วพระเจ้าจะมีคำตอบให้กับทุกคน

  • คุณรีณา เอี๊ยบ อายุ 73 ปี จบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นทนายความรุ่น 17 ปัจจุบันเป็นสมาชิกคริสตจักรพระสัญญาปากน้ำ