คนเหนือดวง 2/08

คนเหนือดวง

สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบคุณ คุณปรีชา คงกิติมานนท์ อายุ 44 ปี อดีตหมอดูฮวงจุ๊ยผู้ได้รับการยอมรับจากวงการซินแสชื่อดังของเมืองไทยในความรู้ความสามารถ ปัจจุบันเป็นหัวหน้าช่างสุสานบ้านนา จ.นครนายก ของคริสตจักรสะพานเหลือง สามย่าน ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องราวในอดีตของตนจนกระทั่งมาเป็นคริสเตียนอย่างน่าสนใจยิ่ง หากใครที่ต้องการรู้ว่า คนเหนือดวง เป็นอย่างไร? มีจริงหรือไม่? และเป็นคนแบบไหน?… ต้องไม่พลาดที่จะติดตามเรื่องราวต่อไปนี้

ผู้รอบรู้ศาสตร์ฮวงจุ๊ย
ก่อนจะมาเป็นหัวหน้าช่างสุสานบ้านนาของคริสตจักรสะพานเหลืองฯ และกลับใจมาเป็นคริสเตียน คุณปรีชา ทำงานเป็นหัวหน้าช่างสุสานอยู่ที่สุสานสุขาวดี อ.หนองแค จ. สระบุรี มาก่อน ต้นตระกูลของคุณปรีชานั้นแซ่ลิ้ม มาจากชลบุรี ทำเรื่องฮวงจุ้ยสุสาน มาแต่แรกเริ่ม..หลังจากมีลูกได้ 8 คน คุณพ่อของคุณปรีชาก็ย้ายไปทำงานอยู่ที่สุสานสุขาวดีของสมาคมจีนโผวเล้งแห่งประเทศไทย และไม่นานก็มีลูกเพิ่มอีก 1คน คือคุณปรีชาซึ่งเป็นคนสุดท้องนั่นเอง คุณปรีชาเล่าว่าตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ตนก็คลุกคลีอยู่กับศพและเรื่องของพิธีกรรมต่าง ๆ ในสุสานนั้นแล้ว พออายุได้ 17 ปี ก็เริ่มให้ความสนใจและศึกษาศาสตร์ฮวงจุ้ยอย่างจริงจังจากซินแสผู้รู้รุ่นเก่า โดยใช้การสังเกต จดจำ ศึกษา ซักถาม อีกทั้งใช้ประสบการณ์ และการพิสูจน์จากเหตุการณ์จริงด้วยตนเอง จนกระทั่งสามารถจดจำการทำนาย รวมถึงขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในเรื่องฮวงจุ้ยคนตาย ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ คุณปรีชาอธิบายให้ฟังว่า อันที่จริงคำว่าฮวงจุ้ยนั้นแบ่งเป็น ฮวงจุ้ยคนตาย ซึ่งที่ถูกต้องเรียกว่า ฮวงจุ้ยสุสาน และฮวงจุ้ยคนเป็น  ที่ถูกต้องเรียกว่า ตี่ลี่ (แปลว่าดูที่) แต่ปัจจุบันคนมักพูดว่า ดูฮวงจุ้ย แปลว่าดูที่ทางนั่นเอง พออายุ 20 ปี ก็รับงานพิธีสุสานอย่างเต็มตัวแล้ว แม้จะอายุยังน้อยแต่คนละแวกบ้านก็ให้ความเชื่อถือและเรียกตนว่า เล่าตั้ว ซึ่งมีความหมายว่า เป็นหัวหน้าประกอบพิธีเรื่องศพ ซึ่งเล่าตั้วนี้จะต้องรู้ทุกขั้นตอนตั้งแต่วินาทีแรกที่สิ้นลมว่าจะต้องทำอย่างไร โดยก่อนอื่นต้องรู้ว่าเขาเป็นจีนประเพณีอะไร (แต้จิ๋ว ไหหลำ กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ฯลฯ) เพื่อจะได้เลือกทำพิธีให้ถูกต้อง ตั้งแต่ดูฤกษ์ยามก่อนนำศพลงโลง  การเลือกซื้อโลงศพ จะใส่ศพได้เวลาไหน ฝังทิศไหน แบบไหน เพื่อลูกหลานคนตายจะได้รับแต่สิ่งดี ๆ มีความร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง  ซึ่งก็เป็นความเชื่อของคนจีนมาแต่บรรพบุรุษแล้ว คุณปรีชาจึงเป็นที่รู้จักของคนในวงการเรื่องฮวงจุ้ยเป็นอย่างดี แม้แต่ซินแสฮวงจุ้ยชื่อดังของเมืองไทยหลายท่านก็ยังต้องมาขอคำปรึกษาจากคุณปรีชาอยู่เสมอ ๆ เพราะความที่รู้จริง รู้อย่างละเอียดนั่นเอง คุณปรีชาเล่าว่าซินแสสมัยนี้หลายท่านไม่ค่อยรู้จริง แม้แต่ประวัติการเข้ามาเริ่มแรกของศาสตร์ฮวงจุ้ยก็ยังไม่รู้กันเลย

“พวกเขาไม่รู้ว่าที่จริงเรื่องราวของศาสตร์ฮวงจุ้ยนั้น นำเข้ามาครั้งแรกจากทางภาคใต้ แต่ถ้าย้อนไปไกลถึง 700-800 ปี ก็ต้องบอกว่าตำราศาสตร์ฮวงจุ้ยนั้น มาจากขุนนางจีนท่านหนึ่งซึ่งแซ่ฮ้อ ชื่อ ฮ้อเฮียฮุ้ง หรือที่คนจีนรู้จักกันในนามซับบอเซี้ยง ( เทพเจ้าเหา) ที่มักเชิญมาเข้าทรงในพิธีเขียนใส่กระด้ง เก็บศพไร้ญาติหรือถามเกี่ยวกับฤกษ์ยามเวลานั่นเอง หรือที่เราเห็นเป็นรูปเทพเจ้าผมยาวยืนถือตำรานั่นแหละ ท่านได้ฉายาว่า “ขุนศึกรบร้อยครั้ง แพ้ร้อยครั้ง” เพราะท่านไม่รู้เรื่องการรบ แต่เชี่ยวชาญด้านชัยภูมิ ต่อมาท่านหนีไปอยู่ที่ไต้หวันซึ่งตำราศาสตร์ฮวงจุ้ยส่วนใหญ่มาจากไต้หวันนี่เอง ส่วนที่ประเทศจีนตำราส่วนใหญ่จะถูกทำลายไปเกือบหมด ให้สังเกตประเทศจีนปัจจุบันไม่นิยมให้ฝังศพ และตำราเหล่านั้นก็ได้กระจายเข้ามาเมืองไทยในภายหลัง แต่ซินแสรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ก็จะได้ฟังเรื่องเล่าต่อกันมาแล้วก็เก็บเล็กผสมน้อยนำมารวบรวมเขียนขึ้นเป็นตำราของตนเอง ซึ่งก็จะถูกบ้างผิดบ้างปะปนกันไป” คุณปรีชาเล่าเสริมให้ฟังอย่างละเอียด

ในปี 1996 ทางคริสตจักรสะพานเหลืองได้มองหานายช่างสุสานเพื่อมาดูแลสุสานใหม่ของคริสตจักรที่ขยายเพิ่มขึ้นจากที่เก่าซึ่งเต็มแล้ว  คุณปรีชาก็สนใจจึงได้ไปสมัครและสัมภาษณ์งานที่คริสตจักรสะพานเหลืองหลังจากที่ผ่านขั้นตอนแล้ว ผู้ปกครองท่านหนึ่งในคริสตจักรได้กล่าวว่าพระเจ้าส่งคุณมา ช่วงนั้นคุณปรีชาไม่ได้คิดอะไรก็ทำหน้าเป็นหัวหน้าช่างสุสานทำหน้าที่ควบคุมดูแลการก่อสร้างและงานต่าง ๆ ในสุสานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (แต่คุณปรีชาก็ยังรับงานต่าง ๆ ด้านฮวงจุ้ยจากภายนอกด้วย) แม้จะไปมาระหว่างสุสานและคริสตจักรสะพานเหลือง (เพื่อติดต่อรับงานและเก็บเงิน) มาตลอดระยะเวลาถึง 8 ปีก็ตาม แต่คุณปรีชาก็ยังไม่เคยได้รู้เรื่องราวของพระเจ้า และไม่มีคนในคริสตจักรมาประกาศกับตนเลย อาจเป็นเพราะตนเองเป็นชาวพุทธและยังเป็นอาจารย์ด้านการดูหมอและฮวงจุ้ย จึงทำให้ไม่มีใครสนใจหรือกล้าเข้ามาคุยเรื่องพระเจ้าให้ฟัง คุณปรีชาเล่าว่า เริ่มสนใจเรื่องราวของพระเจ้าจากการได้เห็นพิธีการฝังศพของคริสเตียนที่สุสานที่มีการร้องเพลง กล่าวคำสอน ได้เห็นถ้อยคำสลักต่าง ๆ ในสุสานที่น่าสนใจ เช่น การตายก็ได้กำไร พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ฯลฯ ซึ่งต่างกับพิธีกรรมที่ตนเคยทำมาทั้งสิ้น ก็เริ่มเกิดการเปรียบเทียบกับพิธีกรรมที่ตนเคยทำ เกิดความสงสัยอยากรู้ในเรื่องพระเจ้ามากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้รู้จากใครและก็ไม่กล้าถามใครเช่นกัน

จุดหักเหให้หันมาหาพระเจ้า
ในราวช่วงกลางปี 2005 นั้นเอง คุณปรีชาได้ประสบกับปัญหารอบด้านในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการงานที่มีปัญหาถึงขนาดถูกลอบยิงแต่รอดชีวิตมาได้ แม้จะรู้ว่าตัวเองจะถูกยิงวันไหน เรียกว่ารู้ดวงชะตาตัวเองว่ามีเคราะห์ร้าย แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตัวเองได้ ทำให้เริ่มสับสนค้นหาคำตอบให้ชีวิต ประกอบกับเวลาต่อมาได้ถูกส่งตัวไปดูงานสุสานของคริสตจักรสะพานเหลือง ที่นครปฐม ก็ได้พบว่าสุสานแห่งนี้ตามตำราที่ได้ร่ำเรียนมานั้น เรียกว่าถึงให้ฟรีก็ยังไม่มีใครเอา เพราะด้านหลังติดทางรถไฟ ตามหลักฮวงจุ้ยถือว่าจะทำให้ศพสะเทือนเคลื่อนที่ได้ ไม่ดีต่อลูกหลาน ส่วนด้านหน้าเป็นทางสามแพร่ง ตามหลักถือว่า ชนอกจะทำมาหากินไม่ขึ้น แต่เมื่อตนเดินดูชื่อ-สกุล ของผู้ถูกฝังในสุสานที่เป็นคริสเตียนเหล่านั้น ตนก็รู้จักลูกหลานของเขาเหล่านั้นดี ซึ่งต่างล้วนมีชื่อเสียง มีความเป็นอยู่มีฐานะดี ๆ ทั้งนั้น นี่จึงเป็นอีกจุดที่ทำให้ตนสงสัยในศาสตร์ที่ร่ำเรียนมาว่า อันไหนของจริง อันไหนของปลอมกันแน่ เมื่อมีโอกาสได้ไปคุยกับซินแสชื่อดังของเมืองไทยท่านหนึ่งก็ได้ถามไปว่า คริสเตียนทำไมเขาไม่ต้องดูทิศ ดูฤกษ์ ดูวัน เดือน ปี หรือมีฮวงจุ้ย พวกเขาก็ยัง เผ่งอัง (หมายถึงความมีมงคลมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง) ถามอยู่หลายครั้งแต่ซินแสท่านนั้นก็เลี่ยงไปคุยเรื่องอื่น คุณปรีชาก็วกกลับมาถามคำถามเดิมอีก ในที่สุดซินแสท่านก็ตอบออกมาว่า “เขามีพระเจ้าก็พอแล้ว” ทำให้คุณปรีชายิ่งรู้สึกสับสน และคิดว่า “อ้าว..แล้วตัวเรามีอะไรบ้าง ทุกอย่างที่เรียนที่รู้ที่ทำมานั้นมันคืออะไร” ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากรู้จักพระเจ้าของชาวคริสเตียน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน

ชีวิตขณะนั้นก็ยังมีแต่ปัญหารุมเร้า เมื่อมีปัญหาทุกข์ใจมาก ๆ หาทางออกไม่ได้ คุณปรีชาจึงไปนั่งวิปัสสนาเพื่อหาความสงบหาคำตอบ แต่ก็ไปพบปัญหาความแตกแยกในสถานที่ที่ตนไปนั่งวิปัสสนา จึงเลิกไปอีก และในช่วงนั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งออกมาโฆษณาทางโทรทัศน์ทุกวันคือ หนังสือพลังชีวิต ให้ผู้สนใจโทรขอหนังสือได้ที่ 1176 ตนได้ให้ลูกชายโทรไปขอ เพียง 2 วันก็ได้หนังสือมาอ่าน อ่านแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อเพราะคิดว่าคนเขียนน่าจะอุปโหลกเรื่องราวเอาเอง เหมือนกับที่ตนเคยเขียนตำราศาสตร์ฮวงจุ้ยต่าง ๆ ซึ่งก็ใช้วิธีอุปโหลกตัวคนและสร้างเรื่องราวขึ้นมา จึงเลิกอ่านไป…แต่ชีวิตมันเหมือนคนกำลังจมน้ำ ไม่มีทางออก ไม่มีคำตอบ และไม่มีทางไป จึงหยิบหนังสือพลังชีวิตมาอ่านอีก แล้วก็ได้พบกับประโยคทำนองที่ว่า “ถ้าเราไม่สารภาพบาปของเรากับพระเจ้า ชีวิตเราจะเป็นยังไงต่อไป” ทำให้คุณปรีชาได้คิดในตอนนั้นว่าตนเป็นคนบาปอย่างมาก ชีวิตที่ผ่านมาตนอยู่ในวงการที่ง่ายต่อการทำบาป ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด สะอิดสะเอียนกับสิ่งที่ตนเคยทำ จึงได้อธิษฐานสารภาพบาปและขอพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เป็นคนบาป อยากขอโอกาสจากพระองค์ให้ข้าพระองค์เป็นคนดี ได้มีชีวิตใหม่”  หลังจากอธิษฐานแล้วก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด แต่ก็ยังไม่ได้ไปคริสตจักรจนกระทั่ง… เหมือนพระเจ้าจะรู้ความต้องการของคุณปรีชา วันหนึ่ง ศจ.วิวัฒน์ วงศ์สันติชน ศิษยาภิบาลของคริสตจักรสะพานเหลือง ได้มอบพระคัมภีร์ให้เป็นของขวัญ ซึ่งคุณปรีชาก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าท่านให้เป็นของขวัญเนื่องในวันอะไร แต่ ศจ.วิวัฒน์ ก็บอกว่าให้เป็นของขวัญ แต่วันนั้นก็ตรงกับวันที่ตนเข้ามาทำงานสุสานให้กับคริสตจักรสะพานเหลือง ครบ 8 ปีพอดี และต่อมาไม่นาน ผู้ปกครองทวี สุวัติพานิช คนในคริสตจักรสะพานเหลือง ได้เอ่ยชวนตนให้มาที่คริสตจักรสะพานเหลือง ซึ่งตนรีบตอบรับไปทันทีเพราะอยากรู้จักพระเจ้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่ไม่เคยมีใครชวนมาก่อน เมื่อได้มาคริสตจักรครั้งแรกก็ได้รับการต้อนรับจากสมาชิกทุกท่านเป็นอย่างดี ได้เห็นการนมัสการ การสอน ก็ทำให้ประทับใจและอยากมาทุกอาทิตย์ แม้จะมีเพื่อน ๆ ทักท้วง แต่คุณปรีชาก็มีความตั้งใจจะไปให้ได้ แม้จะต้องขับรถจากบ้านไปคริสตจักร ระยะทางไป-กลับ ประมาณ 250 กม. ก็ตาม หลังจากมาคริสตจักรได้ประมาณ 1 เดือน คุณปรีชาพร้อมลูกชายก็ได้รับเชื่อ และเข้ารับบัพติศมาในปี 2006 ตามติดมาด้วยลูกสาว ส่วนภรรยานั้นจะเข้ารับบัพติศมาในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้เอง

ไล่ต้อนลูกแกะและกวาดเก็บรูปเคารพ
เมื่อเข้ามาเป็นคริสเตียนใหม่ ๆ คุณปรีชาก็ยังไม่สามารถสลัดพ้นจากภาพของการเป็นซินแสหมอดูฮวงจุ้ยผู้แม่นยำได้ ทุกวันจะมีลูกค้ามาตามหาเพื่อให้ไปดูหมอ ดูฮวงจุ้ย อยู่ตลอดเวลา คุณปรีชาบอกว่าแรก ๆ ตนเองรู้สึกอึดอัดมาก แม้จะบอกไปว่าเลิกอาชีพนี้แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว แต่ลูกค้าบางรายซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโต คนนับถือกัน ก็ยังไม่ยอมฟังยังขอร้องให้ไปช่วย ด้วยความเกรงใจทำให้คุณปรีชาปฎิเสธไม่ได้ จึงได้รับการเรียกตัวให้ไปดูดวง ฮวงจุ้ย รวมถึงไปเป็นผู้บรรยายสอนเรื่องศาสตร์ต่าง ๆ เกี่ยวกับฮวงจุ้ยอยู่เสมอ ด้วยสนนราคาที่ฟังแล้วน่าตกใจไม่น้อยว่า ทำไมผู้คนจึงยอมเสียค่าใช้จ่ายให้กับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไม่เสียดาย “ถ้าเรียกให้ไปทำนาย แก้ไขอย่างละเอียดลึกทุกเรื่อง ผมคิดประมาณแสนสอง ถ้าไปบรรยายเรื่องศาสตร์ฮวงจุ้ยทั่ว ๆ ไป ผมคิดชั่วโมงละสองหมื่นห้า ส่วนการเรียกคุยปรึกษาสอบถามเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมคิดประมาณสี่ห้าพันแล้วแต่กรณี”  ลูกค้าส่วนใหญ่จะมาดูกันวันหยุด โดยเฉพาะวันอาทิตย์นั้นนับเป็นวันที่ธุรกิจของคุณปรีชาจะทำรายได้เป็นกอบเป็นกำอย่างยิ่ง…

ด้วยรายได้ที่งดงามและหาได้อย่างง่ายดายรวดเร็วเช่นนี้เอง เป็นเหตุให้หลายครั้งคุณปรีชาเกิดความรู้สึกเสียดายและคิดมากว่า การมาเป็นคริสเตียนเต็มตัวแล้วจะไม่สามารถทำแบบเก่าได้ ครอบครัวขาดรายได้จะทุกข์ยากลำบากหรือไม่ แต่ด้วยความมุ่งมั่นตัดสินใจที่จะอยู่ในทางของพระเจ้า คุณปรีชาจึงอธิษฐานขอพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์จะขออยู่แผ่นดินของพระองค์เป็นแผ่นดินสุดท้าย จะไม่ไปไหนอีกแล้ว ขอพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ไปสู่เส้นทางของพระองค์ด้วย”  และพระเจ้าได้มอบพระคำบทหนึ่งซึ่งทำให้คุณปรีชาสลัดหลุดพ้นจากความรักทรัพย์สมบัติทางโลกได้อย่างไม่วิตกกังวลอีกต่อไป และยังหนุนใจในการดำเนินชีวิตคริสเตียนได้เป็นอย่างดีเสมอมา นั่นคือพระคำสดุดี บทที่ 23 ที่บอกไว้ว่า  “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ  ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสนพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ  ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้าพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม  เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช  ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใด ๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์  ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์”  อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้คุณปรีชาก็ยังได้รับเชิญไปให้ดูดวง ทำฮวงจุ้ย รวมถึงการขับไล่ผี อยู่เป็นประจำ อันที่จริงคุณปรีชาตั้งใจไว้ว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับงานเหล่านี้อย่างเด็ดขาด แต่มีผู้ใหญ่บางท่านได้ให้ข้อคิดว่า ถ้าหากปฏิเสธไปเลยจะทำให้พลาดโอกาสอันดีในการประกาศข่าวประเสริฐกับคนเหล่านั้นที่กำลังหลงทางหลงหายอยู่เป็นจำนวนมากก็เป็นได้ ทำให้คุณปรีชายังคงรับงานเหล่านั้น แต่จะแตกต่างจากเมื่อก่อนตรงที่ว่า ทุกครั้งที่จะออกไปรับงาน คุณปรีชาจะอธิษฐานขอการทรงนำ ขอพระหัตถ์ของพระเจ้าสถิตย์อยู่ด้วย เพราะตนต้องการออกไปกวาดต้อนลูกแกะที่หลงหายให้กลับมา ต้องการออกไปกวาดเก็บรูปเคารพต่าง ๆ ที่หลายครั้งตนเองเป็นผู้นำไปให้คนเหล่านั้นเคารพทั้งโดยตรงและทางอ้อม ดังนั้น ทุกครั้งที่มีโอกาสตนจะเก็บรูปเคารพทั้งหลายของลูกค้ามาทำลายทั้งต่อหน้าและลับหลัง บางครั้งคุณปรีชาถึงกับต้องทุ่มรูปเคารพของลูกค้าลงมาจากชั้นบนของที่พัก เพราะมันหนักมากจนยกลงมาไม่ไหว แล้วก็บอกลูกค้าไปว่าอย่าไปแบกมันอีกเลย สิ่งเหล่านี้มันหนักและทำให้ชีวิตลำบากตกต่ำ บ่อยครั้งลูกค้าก็หวาดกลัวกับการกระทำของตน เกรงว่าจะทำให้ครอบครัวพบกับหายนะ กลัวว่ารูปเคารพเหล่านั้นจะกลับมาทำลายชีวิตและครอบครัว แต่คุณปรีชาก็ได้รับรองอย่างแข็งขันกับลูกค้าที่นับถือตนว่า “ไม่ต้องกลัวเพราะผมได้เอาสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิตและครอบครัวของคุณแล้ว ผมรับรองว่าต่อไปนี้คุณจะมีชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน” และลูกค้าบางรายก็กลับมาบอกคุณปรีชาว่า ชีวิตเขาดีขึ้นจริง ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ

มื่อพูดคุยถึงเรื่องการขับไล่ผี คุณปรีชาเล่าว่า มีบางครั้งถูกขอร้องให้ไปช่วยขับผี ซึ่งญาติของคนที่ถูกผีสิงบอกว่าดุ เฮี้ยน อาละวาดอย่างหนัก  “ผมแค่เดินเข้าไปถึงสถานที่ที่เขาบอกว่ามีผีสิงคนอยู่เท่านั้น ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น ญาติก็บอกว่าพอผมมาถึงคนที่ถูกผีสิงนั้นก็สงบลง เลิกอาละวาด เป็นเหมือนคนปกติทันที” เมื่อถามว่าเป็นเพราะอะไรผีจึงหนีไปทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร คุณปรีชาอธิบายเรื่องนี้เสริมให้ฟังว่า “สมัยก่อนนั้นการขับไล่ผีส่วนใหญ่หมอผีก็จะใช้เกลือหรือข้าวสารในการเสกขับไล่ผี ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้ได้ผล เพราะเกลือและข้าวสารเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์ ในพระคัมภีร์ก็มีการพูดถึงเกลือ รวมทั้งพูดถึงผีอยู่หลายตอน ตามศาสตร์สมัยก่อนที่ผมร่ำเรียนมานั้นผีจะกลัวสิ่งบริสุทธิ์  ผีกลัวพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ของเรา เหตุนี้ผีจึงกลัวแม้แต่คนของพระองค์อย่างผม”

หลังจากดูดวงหรือฮวงจุ้ยเสร็จทุกครั้ง คุณปรีชาจะถือโอกาสบอกเล่าเรื่องราวของพระเจ้ากับลูกค้าเหล่านั้นว่า “คุณ อย่าไปเชื่อเรื่องพวกนี้เลย คุณดูผมซิ ผมเองเป็นหมอดูผู้รอบรู้เรื่องศาสตร์เหล่านี้เป็นอย่างดี แต่ทำไมผมยังมาหาพระเจ้าล่ะ เพราะผมรู้คำตอบที่แท้จริงว่า ศาสตร์เหล่านี้มันเป็นวิชามาร มันไม่จีรังยั่งยืน ยกตัวอย่าง มีผู้ใหญ่ในวงการเมืองหลายท่านที่ผมเคยทำนายและจัดวางดวงให้อย่างดีถูกต้อง ตามตำราหมดทุกประการ แต่ทำไมดีได้เพียงช่วงระยะเดียวชีวิตก็พบกับปัญหาทั้งนั้น ทั้งที่ฮวงจุ๊ยทุกอย่างก็ถูกจัดวางอย่างดีเหมือนเดิมไม่ได้มีการเปลี่ยน แปลง…มารมันหลอกให้คุณเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงแต่มันให้คุณไม่นาน มันจะเอาคืนไปในตอนจบ แต่พระเจ้าเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ให้แม้แต่ชีวิตของพระองค์ และพระองค์จะให้เมืองบรมสุขเกษมแก่คุณในตอนจบด้วย” คำพูดของคุณปรีชา มีผลทำให้ลูกค้าบางรายได้คิด ได้พบความจริง และได้ติดตามคุณปรีชามาหาพระเจ้าในที่สุด

“แต่คุณเชื่อมั๊ยว่า มีคริสเตียนหลายรายที่ยังไม่เต็มร้อยกับพระเจ้า คริสเตียนที่ยังอ่อนแอ เมื่อถึงคราวพบปัญหา ก็ยังมาให้ผมช่วยดูดวงชะตาอยู่เป็นประจำ ผมต้องเตือนพวกเขาเสมอว่า พวกคุณทำไมไม่เชื่อวางใจในพระเจ้า มาเชื่อวัน เดือน ปี ทิศทาง เหล่านี้ทำไม กลับไปหาพระเจ้าเถอะ” แต่พวกเขาก็บอกว่า เพราะคุณปรีชาทำนายหลายสิ่งแล้วเป็นจริงในชีวิตเขา คุณปรีชาบอกว่า นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่เต็มร้อยในพระเจ้าเป็นเหตุให้มารมันเข้ามาทำงานในชีวิตและหลอกได้ คุณปรีชายังเล่าเสริมให้ฟังอย่างน่าสนใจยิ่งว่า “ทุกครั้งที่ผมลองทำนายให้คริสเตียนที่เข้มแข็งมีชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า โดยที่พวกเขาไม่ได้มาขอให้ผมดูนะ ผมลองดูให้เอง ผมไม่เคยทายถูกสักรายสักเรื่องเลย แต่ถ้าเป็นคริสเตียนไม่เต็มร้อยหรือคนนอกที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนนะ เป๊ะ ๆ ไม่เคยพลาดสักเรื่องสักราย”…“นั่นหมายความว่า ถ้าคุณเป็นลูกพระเจ้า คุณไม่ต้องห่วงเลย ฮวงจุ้ยหรือดวงดาวไม่มีผลกับชีวิตคุณเพราะคุณมีพระเจ้าทรงนำและเป็นเจ้าชีวิต คุณไม่ได้ไปกราบไหว้รูปเคารพ การกราบไหว้รูปเคารพต่าง ๆ ก็เหมือนคุณเชิญให้เข้ามามีอิทธิพลในชีวิตคุณ เมื่อคุณไม่ได้เชื้อเชิญมามันก็ทำอะไรในชีวิตคุณไม่ได้” …และด้วยเหตุที่ยังมีคริสเตียนมาหาตนให้ช่วยเหลือดูดวงและโชคชะตาอยู่บ่อย ๆ นี่เอง ทำให้คุณปรีชามีความคิดอยู่เสมอว่า จะทำอย่างไรให้คริสเตียนที่ยังอ่อนแอซึ่งมีอยู่จำนวนไม่น้อยเหล่านี้ รวมถึงผู้ที่มาเชื่อใหม่ซึ่งตนนำมารู้จักพระเจ้านั้น จะมีความเข้มแข็งในพระเจ้าและเป็นทหารกล้าของพระเจ้าในการรับใช้ต่อไป

คุณปรีชาได้อธิษฐานบอกพระเจ้าว่า จะขอเป็นผู้ตะโกนบอกข่าวประเสริฐของพระองค์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกวันนี้จึงได้ออกประกาศทั้งส่วนตัวและร่วมกับคริสตจักร และสามารถนำคนมารับเชื่อได้เป็นจำนวนไม่น้อย รวมถึงครอบครัวของตัวเองด้วย และจะย้ำบอกผู้เชื่อใหม่อยู่เสมอว่า “อย่าอายในพระวจนะของพระเจ้า อย่าอายในพระเจ้า พระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าเป็นความรัก ถ้าทุกคนมีความรักก็จะหมดปัญหา เพราะความรักจะครอบคลุมทุกสิ่ง”  อีกสิ่งที่คุณปรีชากำลังทำอยู่อย่างตั้งมั่นคือ การสร้างทีมประกาศ ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทางคริสตจักรสะพานเหลือง และเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำคนมาหาพระเจ้าได้อีกเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันนี้ อดีตหมอดู หมอผี ซินแสฮวงจุ๊ยทั้งสุสานคนเป็นและสุสานคนตาย ผู้ได้กลับใจกลายมาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้อำนาจของดวงดาว ทิศ ที่ ทาง วัน เวลา หรือนาที เพื่อทำนายและค้นหาชะตาชีวิตให้กับผู้คนอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นผู้ที่พระเจ้าได้ทรงเรียก ทรงเลือก และทรงกำหนดชีวิตไว้แล้วว่า ให้มาเป็นคริสเตียนผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ เป็นคนของพระเจ้า และเราสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า คนของพระเจ้าทุกคนนั้น ล้วนเป็น “คนเหนือดวง” อย่างแท้จริง

  • คุณปรีชา คงกิติมานนท์