คริสเตียนกับความกลัว
หลายท่านที่ได้ติดตามอ่านบทความของผมในคริสตสายสัมพันธ์ อาจคิดว่าเรื่องบางเรื่องไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับชีวิตของตนเองเลย แต่ในวันนี้ผมรับรองว่าเกี่ยวแน่ๆ เกี่ยวอย่างมาก และมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียน นั่นคือ “คริสเตียนกับความกลัว”
คริสเตียนหลายคนอาจคิดว่า “ฉันไม่กลัว” แต่วันนี้ผมอยากจะพูดถึงความจริงเรื่องหนึ่งคือ “ทุกคนล้วนแต่มีความกลัวกันทั้งนั้น” แต่จะมีวิธีแสดงออกต่างกัน แท้จริงแล้วคนที่บอกว่าไม่กลัวอะไรนั้น กลับน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะความไม่รู้จักกลัวอาจทำให้เขามองข้ามสิ่งที่ไม่ดี ไม่ระวังอันตราย และไม่ระวังระไวต่อความเสี่ยงที่มีผลกระทบโดยตรงต่อตนเองและผู้อื่น
เมื่อพูดถึงเรื่องความกลัวแล้ว ผมมีคำถามหนึ่งคือ “เรากลัวอะไร” บางคนอาจบอกว่ากลัวแมลงสาบ กลัวผี กลัวความมืด กลัวอนาคต กลัวใจตัวเอง (ฟังดูน้ำเน่านะครับ) กลัวภรรยา (หลายคนอาจจะถามว่ารวมตัวผมด้วยใช่ไหม ผมก็แค่เกรงใจเธอเท่านั้นแหละครับ) ที่จริงแล้วผมกลัวความจนและกลัว ความสูง ตอนที่ผมยังเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา ผมมีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมแฟน (ปัจจุบันคือภรรยาผมนี่เองครับ) ที่รัฐ California กับเพื่อนๆ พวกเราไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน แฟนผมพาผมไปต่อแถวเครื่องเล่นหนึ่งซึ่งผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มีคนต่อแถวกันยาวมาก เราใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าจะได้ตั๋ว พอผมรู้ว่ามันคือรถไฟเหาะตีลังกาที่มีกำลังเหวี่ยงแรงที่สุด โดยจะหมุนเป็นเกลียว 6 รอบติดกัน ผมแทบลมใส่ จะถอนตัวก็ไม่ได้เพราะกลัวจะเสีย “แมน” (หมดท่าความเป็นลูกผู้ชาย) ในใจผมกลัวสุดขีด น้ำตาและของเหลวบางอย่างในร่างกาย (คงเดากันได้นะครับว่าเป็นอะไร) เกือบไหลออกมา ผมกลัวจนขาสั่น แฟนผมพาไปนั่งแถวหน้าสุด และเมื่อเครื่องล็อคนิรภัยทำงาน ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก! ไอ้เจ้าเครื่องเล่นนี้มันพาเราขึ้นไปจุดสูงสุดแล้วก็ค่อยๆ เริ่มไหลลงมา จากนั้นก็เริ่มเร็วขึ้น ทั้งหมุน ทั้งเหวี่ยง และสบัด และเมื่อทุกอย่างเงียบลง ขณะที่เราก้าวออกจากรถไฟเหาะ ก็จะมีกล้องโทรทัศน์จับที่ใบหน้าทุกคน พวกเราลองนึกภาพดูซิครับว่าหน้าตาผมจะเป็นอย่างไร
ความกลัวคืออะไร? ความกลัวคืออารมณ์ที่เกิดจากสถานการณ์ที่ไม่มั่นใจ แม้ว่าสถานการณ์นั้นอาจจะไม่เป็นจริงเลย มีคนเคยบอกว่า เราจะกลัวไปทำไมเมื่อ 90% ของเรื่องที่เรากลัวและกังวลไม่เป็นจริง หากจะถามผมว่าทำไมผมจึงกลัวรถไฟเหาะ ผมกลัวเพราะผมไม่มั่นใจในเทคโนโลยี ผมกลัวเพราะเคยดูหนังที่มีคนหลุดออกจากรถไฟเหาะตกลงมาไส้แตกตาย ความกลัวของผมจึงเกิดจากความไม่มั่นใจ ไม่สามารถไว้ใจได้ 100% ว่าสิ่งนั้นจะปลอดภัย
ในพระธรรมมาระโกบทที่ 4 : 35-41 เป็นเรื่องที่เราหลายคนรู้จักกันดี คือเรื่องของสาวกที่อยู่กลางทะเลสาบกาลิลี และกำลังเผชิญกับพายุรุนแรงโหมกระหน่ำ พวกเขา “กลัว” มาก จึงรีบปลุกพระเยซูจากหลับ แล้วพระองค์ได้ห้ามพายุ ทำให้ทุกอย่างสงบลง ในเรื่องนี้บอกความจริงหลายอย่างที่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวันเกี่ยวกับเรื่องของความกลัว สาวกของพระเยซูซึ่งเคยเดิน กิน นอนกับพระองค์มาตลอด เคยเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์มาหลายต่อหลายครั้ง พวกเขายังกลัวเลย นับประสาอะไรกับเรา ทำไมเราจะกลัวไม่ได้
ในความเป็นจริง “คริสเตียนกลัวได้” ไม่ผิด ไม่บาป อับราฮัมก็คงกลัวเมื่อพระเจ้าขอให้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา โมเสสกลัวเมื่อพระเจ้าเรียกให้นำคนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ โยนาห์กลัวเมื่อต้องไปประกาศที่นีนะเวห์ แม้แต่ขณะที่พระเยซูอยู่ในสวนเกทเสมนี พระองค์ก็ยังรู้สึกกลัว ซึ่งสิ่งนี้เป็นการยืนยันกับผมเป็นส่วนตัวว่า ความกลัวในชีวิตของเรานั้นไม่ใช่ความผิดอะไร แต่การตัดสินใจในยามที่เรากลัวนั้น จะมีผลกระทบกับชีวิตของเรา และบ่งบอกศักยภาพของเราอย่างมาก บุคคลในพระคัมภีร์ที่ผมกล่าวถึงข้างต้นล้วนแต่มีความกลัวกันทั้งนั้น แต่การตัดสินใจในขณะที่เขาเกิดความกลัวนั้น ทำให้เราเห็นว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนที่พระเจ้าใช้ได้ พวกเขากล้าที่จะเผชิญกับความกลัว และเชื่อฟังพระเจ้าทั้งๆ ที่ยังกลัว เขากล้าเดินไปกับพระองค์ทั้งๆ ที่ยังหวั่นๆ สั่นๆ คริสเตียนที่บ้าพอที่จะก้าวออกมาเชื่อฟังทั้งๆ ที่กลัว ก็จะเจอกับความจริงที่คริสเตียนคนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้ เหมือนกับที่เปโตรพบว่าเขาเดินบนน้ำได้ คนง่อยเห็นว่าตนเองลุกขึ้นเดินได้ โมเสสเห็นว่าคนเลี้ยงแกะธรรมดาๆ สามารถนำชาวยิวออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ได้ ทั้งนี้อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไรในความกลัว น้องๆ บางคนอาจจะกลัวอนาคตว่าจะเรียนอะไร เรียนที่ไหน ค่าเล่าเรียนจะมาจากไหน จบแล้วจะทำงานอะไร มีที่ไหนจะรับเราเข้าทำงานบ้าง จะมีแฟนไหม แล้วเมื่อไหร่จะเจอสักที แล้วคนที่เจอนี่ใช่ไหม หรือพระเจ้าจะให้ฉันเป็นโสด (จ๊าก !)
ในยามที่ผมกลัวและวิตกกังวล ผมจะมีพระคำอยู่ข้อหนึ่งในใจ นั่นคือ “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาดเพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า” (อิสยาห์ 41:10) ดังนั้นเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความกลัว เราจำเป็นต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
ก) กลัวต่อไปแล้ววิ่งหนี ข) ยืนหยัดต่อความกลัวและวางใจเราจำเป็นต้องเลือกข้อใดข้อหนึ่งเพียงข้อเดียว หากเราเลือกข้อ ข)
เราก็จะเห็นและรู้จักพระเจ้ามากขึ้นอีกระดับหนึ่ง หากเราสามารถบอกกับพระเจ้าว่า “ฉันจะวางใจ ฉันจะเชื่อในพระองค์และจะยอมเสี่ยง ในความกลัวฉันมีพระองค์” เราจะมีประสบการณ์กับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และพูดได้อย่างเต็มปากว่าพระองค์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า
มีสองสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากความกลัว ซึ่งช่วยให้ผมเดินกับพระเจ้ามาโดยตลอดคือ สิ่งที่เรากลัวนั้นส่วนใหญ่จะไม่เป็นจริง ผมยังไม่เคยตกจากรถไฟเหาะตีลังกา ผมเคยกลัวความยากจนแต่ชีวิตผมไม่เคยขัดสน ผมไม่เคยต้องขอทาน (เคยแต่ตลกรับประทาน) เช่นเดียวกันสาวกของพระเยซูไม่มีใครจมน้ำตาย เราควรเอาเวลาที่เราคิดกลัว คิดกังวล มานั่งวางแผน นั่งอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ วางใจพระเจ้าดีกว่า
อีกประการหนึ่งผมตระหนักว่า คนที่เดินไปด้วยกันกับเราเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องความกลัว หากคนที่เดินกับผมตอนกลางคืนเป็นเพียงร่างที่ไร้เงา ผมคงต้องโกยแน่บไม่เหลียวกลับเลย แต่หากคนนั้นเป็นท่านนายพลที่ยิ่งใหญ่มีปืนเหน็บอยู่ ผมคงหมดกังวล ในชีวิตเรา เราต้องรู้ว่าเราเดินอยู่กับใคร ถ้าเดินคนเดียวมันก็เสียวสันหลัง แต่ถ้าเรามีพระเยซูผู้พิชิตความตาย เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัว แม้ว่าบางสถานการณ์พระองค์จะแกล้งเงียบไปบ้างก็ตาม
ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน และขออย่าให้ความกลัวในชีวิตเป็นสิ่งกีดขวางพระพรและประสบการณ์อันมหัศจรรย์ที่เราสามารถมีกับพระเจ้าได้
- อ.วาระ มีชูธน
- ภาพ H9Images – Freepik.com