จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดิน 3/14

จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดิน

ดิฉัน จิระพร รังสรรค์ อายุ 54 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาปรัชญา-ศาสนา คณะศาสนศาสตร์ แมคกิลวารี วิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ สมรสกับคุณวิชัย รังสรรค์ มีบุตรด้วยกัน 2 คนคือ นางสาวเกศวจี รังสรรค์ และ นางสาวรัตน์วลี รังสรรค์

ปัจจุบันดิฉันทําาหน้าที่ครูผู้สอนวิชาคริสตจริยธรรม ฝ่ายศาสนกิจ โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา, ประธานธรรมกิจคริสตจักรสันยูง สังกัดภาคที่ 9 นครศรีธรรมราช และทําาหน้าที่รองประธานสตรีคริสตจักรภาคที่ 9 ได้สอนเพลงไทยนมัสการหมวดคริสเตียนปากพนัง จัดกิจกรรมตอบสนองปณิธานของสตรีสภาฯ กิจกรรมส่งเสริมอาชีพเพาะถั่วงอกไร้ดิน ทําายาสมุนไพร ร่วมกิจกรรมเอสเอ็มแอลของชุมชน และจัดกิจกรรมคริสตมาสและวันเด็กทุกปีโดยเน้นการประกาศข่าวดีกับเด็กในชุมชน นิยมสุข  อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช  

ชีวิตแวดล้อมด้วยผู้เชื่อ
ดิฉันเกิดในครอบครัวคริสเตียน คุณตาเป็นผู้ปกครองในคริสตจักร ท่านชื่อ เกลี้ยง ไชยวิจารณ์ ส่วนคุณยายชื่อ พรัด ไชยวิจารณ์ ทั้งสองท่านเป็นแบบอย่างการดําาเนินชีวิตคริสเตียนที่ดี ท่านได้ให้การอบรมสั่งสอนเรื่องราวของพระเยซูแก่ดิฉันตั้งแต่เด็กๆ ทําาให้ดิฉันเรียนรู้จักพระเจ้า และได้รับเชื่อด้วยตัวเอง ต่อมาเมื่อดิฉันอายุประมาณ 14 ปีกว่าๆ ก็เข้าพิธีรับบัพติศมาเนื่องจากคุณตาได้สัญญาไว้กับพระเจ้าว่าจะถวายตัวของ ดิฉันให้พระเจ้า หลังจากรับบัพติศมาแล้ว ดิฉันได้ไปเรียนในตัวเมือง จ.นครศรีธรรมราช และได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัวคุณครูจําาปี ณ นคร ท่านได้สอนการดําาเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์โดยชีวิตของท่านเอง และในปี พ.ศ.2519 ดิฉันได้ไปเรียนต่อระดับมัธยมปลายที่ จ.นนทบุรี โดยการช่วยเหลือของครอบครัวกฤษณะกาญจน์ จากนั้นในปี พ.ศ. 2521 ดิฉันได้ไปเรียนที่วิทยาลัยพระคริสตธรรมแมคกิลวารี จ.เชียงใหม่ โดย อาจารย์จีนน์ เบนเลอโจ ได้มอบทุนการศึกษาให้เพื่อเรียนด้านศาสนศาสตร์ควบคู่กับปรัชญา ศาสนา จนกระทั่งดิฉันเรียนจบระดับปริญญาตรี

ประสบการณ์กับพระเจ้า
ครั้งหนึ่งคุณตาได้เล่าให้ดิฉันฟังว่าตอนที่ ดิฉันอายุประมาณ 1 ขวบ ดิฉันป่วยหนักด้วยโรคคอตีบ คุณตาและคุณยายได้อธิษฐานขอพระเจ้ารักษาดิฉันให้หายป่วย ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ พระธรรมมาระโก 16:17 “มีคนเชื่อที่ไหนหมายสําคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั่น คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ” และดิฉันก็ได้รับการรักษา

ขณะที่ดิฉันเติบโตขึ้นและได้เรียนรู้เรื่องราวของ พระเจ้ามาตลอดจนกระทั่งดิฉันรับบัพติศมาและมีโอกาสได้เข้าไปเรียนที่วิทยาลัยพายัพ คณะศาสนศาสตร์ แมคกิลวารี จ.เชียงใหม่ การเรียนที่นั่นทําให้ดิฉันได้รับการสอนหลายอย่าง จนรู้สึกว่าได้รับการเติมเต็มจากพระเจ้า ชีวิตเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มจากความรู้สึกที่ดิฉันมีต่อคุณแม่ ดิฉันโกรธคุณแม่มาก เพราะท่านได้ทอดทิ้งดิฉันตั้งแต่ดิฉันอายุเพียง 1 ขวบ ความโกรธนั้นสะสมในจิตใจมาตลอดจนกลายเป็นรากขมขื่น แต่เมื่อได้รับการสอนจากวิทยาลัยพายัพ ดิฉันรู้สึกว่าพระเจ้าได้เข้ามาทํางานในจิตใจของดิฉัน พระองค์ทรงทําให้ดิฉันรู้สึกสํานึกและเปลี่ยนท่าทีใหม่ เป็นท่าทีของการให้เกียรติบิดา มารดา ดิฉันได้รับการปลดปล่อยจากพระเจ้า

อีกประสบการณ์หนึ่งที่ดิฉันได้รับจากพระเจ้าคือ ตอนที่ดิฉันมีอาการปวดท้องมากจนทนไม่ไหวต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ จนหลายคนคิดว่าดิฉันเป็นโรควิตกจริตอยู่หลายปี จะต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลปีละประมาณ 1-2 ครั้งทุกปี ประมาณปี พ.ศ.2550 ดิฉันปวดท้องจนทนไม่ไหวจึงถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลมหาราช และต้องฉีดยามอร์ฟีนทุกครั้งที่ปวด ประมาณ 10 กว่าเข็ม อาการเจ็บปวดเริ่มดีขึ้น หมอจึงอนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้และจะต้องมาพบหมอตามใบนัดทุกครั้ง และมีการฉีดสีเพื่อดูผลของไตและพบว่าเป็นนิ่วใสในกรวยไต ต่อมาที่โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา มีผู้รับใช้พระเจ้าเดินทางมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อวางมือและอธิษฐาน รักษาโรค เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน ดิฉันได้ขอให้ทีมผู้รับใช้พระเจ้าวางมือรักษาดิฉัน เมื่อมีการอธิษฐานวางมือ ดิฉันมีความรู้สึกว่าอาการปวดได้ทุเลามากกว่าเดิม ทีมงานผู้รับใช้ก็ถามดิฉันว่ารู้สึกอะไรบ้าง ดิฉันบอกว่าอาการปวดทั้งตัวหายไปและคงมีอาการปวดที่ขาขวา ทีมงานผู้รับใช้ขออนุญาตอธิษฐานอีกสักครั้งขอให้ดิฉันชูมือขึ้นทั้งสองข้าง เมื่อมีการอธิษฐาน ดิฉันก็ปิดตาและแหงนหน้ามองข้างบนเห็นแสงสว่างสีเหลืองนวลอยู่บนศีรษะ เมื่อทุกคนกล่าว อาเมน ทีมงานผู้รับใช้ก็ถามอีกครั้งว่ามีความรู้สึกอย่างไร ดิฉันน้ําตาไหลพรากและพูดไม่ได้รู้สึกชาไปทั้งตัวตั้งแต่เที่ยงวันจนถึง 5 โมงเย็น วันรุ่งขึ้นดิฉันต้องไปพบคุณหมอตามนัด คุณหมอแปลกใจที่ไม่พบว่ามีนิ่วเหลืออยู่ คุณหมอบอกว่านิ่วอาจจะหลุดออกไปแล้วก็ได้ แต่ดิฉันมั่นใจว่าพระเจ้าต่างหากที่ทําการรักษาดิฉันให้หาย

เริ่มต้นรับใช้พระเจ้า
หลังจากที่ดิฉันเรียนจบวิทยาลัยพายัพ ดิฉันได้รับการทาบทามให้มาทํางานที่โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา ในปี พ.ศ.2527 ในตําแหน่งเจ้าหน้าที่ศาสนกิจ ซึ่งทําหน้าที่อภิบาลเด็กเล็กๆ และดิฉันได้เริ่มประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานกับบุคคลากรและนักเรียน ดิฉันตั้งกลุ่ม cell สําหรับผู้สนใจ จัดให้มีการนมัสการร่วมกันหน้าเสาธงทุกวัน และยังมีการนมัสการแยกระดับชั้นของนักเรียนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ในห้องประชุมด้วย

รับใช้โดยมุ่งเน้นการตอบสนอง
ดิฉันได้ทําตามพระมหาบัญชาของ พระเจ้าที่ให้ทุก คนออกไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า โดยจัดกิจกรรมชุมนุมสันติภาพแสดงละครคริสตมาสประจําปี การร้องเพลงอวยพร การจัดกิจกรรมสําหรับเด็กๆ มอบของขวัญให้แก่เด็กๆ ให้แก่ชุมชนในเขตเทศบาลนครศรีธรรมราชมีการจัดโครงการสายธารรัก โดยสอนให้นักเรียนรู้จักแบ่งปันให้แก่ผู้ที่ทุกข์ยากลําบากใจตามคําสอนของ พระเยซูคริสต์ พระธรรมมัทธิว 25:40 …“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าซึ่งพวกท่านทํากับคนใดคนหนึ่งที่เล็ก น้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ก็เหมือ นทํากับเราด้วย” โดยมีการถวายทรัพย์เพื่อนําเงินไปช่วยเหลือครอบครัวนักเรียนที่คุณพ่อหรือ คุณแม่ หรือนักเรียนเสียชีวิตและจัดซื้อกระเช้าของเยี่ยมไปเยี่ยมนักเรียนที่เจ็บ ป่วยและต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นการสําแดงความรักแก่ครอบครัวที่ต้องได้รับความทุกข์โศกเศร้าที่ต้อง สูญเสียคนที่ตนรักและต้องเจ็บปวดที่คนที่ตนรักต้องเจ็บป่วย
และนําพระวจนะธรรมไปหนุนใจ คือพระธรรมมัทธิว 11:28-30 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”

จากกิจกรรมเหล่านี้เอง ทําให้นักเรียนได้รับการอบรมปลูกฝังให้รู้จักอธิษฐานขอการทรงนําและการช่วย เหลือจากพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเตรียมการแสดง หรือการออกไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่เจ็บป่วยนักเรียนมีโอกาสได้อธิษฐานต่อพระ เจ้าในยามที่เขาพบปัญหา เมื่อคนป่วยหายดี นักเรียนก็จะมาเป็นพยานกับคุณครูเสมอ ๆ ดังคําสอนที่ว่า “จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้และหัวเราะกับผู้ที่หัวเราะ” เด็กๆ ได้ซึมซับคําสอนในพระคัมภีร์และอยากจะรู้จักพระเจ้ามากขึ้น พวกเขาได้รวมกลุ่มกันและไปเข้าค่ายกับคริสตจักรหนึ่งชื่อค่ายศรีวิชัย ภายในค่าย เด็กๆ ได้เรียนรู้น้ําพระทัยพระเจ้า และมีเด็ก 2 คนตัดสินใจรับบัพติศมาที่นั่น

น้องฟอร์ดหรือน้องศิวกร มุขมณเฑียน หลานแห่งความเชื่อของดิฉัน เป็นอีกคนหนึ่งที่ดิฉันอยากจะขอบคุณพระเจ้า น้องฟอร์ดเรียนอยู่ที่โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และปัจจุบันกําลังเรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษา ครั้งแรกที่ดิฉันได้ประกาศข่าวดีกับคุณแม่ของเขาคือคุณสมจิตร์ มุขมณเฑียน นั้น น้องฟอร์ดไม่เข้าใจว่าพระเจ้าต้องการสิ่งใด เขามีคําถามมากมาย ทําให้ดิฉันมีโอกาสให้ความเข้าใจแก่เขาโดยสอนตามพระคัมภีร์ วันหนึ่งน้องฟอร์ดต้องไปเขาโครงการเขียนไม่ได้อ่านไม่ออก เขาก็มาถามดิฉันว่าทําไมเขาจึงต้องมาเรียนแบบนี้ ดิฉันจับมือเขาอธิษฐานขอพระเจ้าประทานคําตอบ เขารู้สึกสบายใจขึ้นและไปเข้าโครงการ ปัจจุบันเขาก็ยังไม่ลืมประสบการณ์ในครั้งนั้น ดิฉันคอยหนุนใจเขาในพระสัญญาของพระเจ้าว่าเป็นความจริงทุกถ้อยคําตามที่กล่าวไว้ในพระธรรมมัทธิว 7:7 “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน” เวลาที่เขามีปัญหา เขาจะมาพบดิฉัน และดิฉันก็จะหนุนใจเขา ทําให้เขามีความมั่นใจในพระสัญญา จากพระธรรมกาลาเทีย 6:9 และพระธรรมสดุดี 23:1 น้องฟอร์ดได้ตัดสินใจรับบัพติศมาพร้อมกับคุณแม่เมื่อปี พ.ศ. 2553 ที่คริสตจักรเบธเลเฮ็ม ภาคที่ 9 นครศรีธรรมราช

สู่การแข่งขันซูเปอร์จิ๋วเจาะโลกพระคัมภีร์
ดิฉันได้เตรียมความพร้อมของนัก เรียนในการร่วมการแข่งขันพระคัมภีร์ที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยจัดขึ้นเป็นประ จําทุกปี โดยการเชิญชวนนักเรียนที่สนใจและตัดสินใจเชื่อมาร่วมกลุ่มอธิษฐานตอนเช้า อาทิตย์ละ 1 ครั้งและจะเล่าเรื่องในพระคัมภีร์โดยนําเอาหนังสือเล่มเล็กและหนังสือที่สมา คมพระคริสตธรรมไทยได้ผลิตออกมาเป็นสื่อเพื่อสร้างความเข้าใจที่ง่ายและเหมาะ สมกับนักเรียน โดยนักเรียนจะอ่านและทําความเข้าใจอย่างน้อย 4-5 ครั้ง โดยแบ่งความรับผิดชอบคนละ 1 ใน 3 ของเนื้อหา และจับประเด็นของเรื่องโดยยึดหลัก ใคร ทําอะไร กับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรจากการอ่านและศึกษาพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมตัวเขาแข่ง ขันพระคัมภีร์ซูเปอร์จิ๋วเจาะโลก ในปี 2013 ทําให้น้องตาล และ น้องผักกาด ซึ่งได้เรียนรู้เรื่องราวของพระเจ้ามานานประมาณ 3 ปี ได้เปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต ในช่วงที่มีการจัดการแข่งขันพระคัมภีร์เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นได้รับบัพติศมาที่คริสตจักรร่มเกล้า อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ปัจจุบันน้องผักกาดยังคงร่วมนมัสการพระเจ้ากับดิฉันที่คริสตจักรสันยูง นอกจากดิฉันจะคอยผลักดันให้โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา ส่งเด็กนักเรียนเข้าร่วมแข่งขันพระคัมภีร์เป็นประจําทุกปีแล้ว ดิฉันในฐานะที่เป็นประธานคณะธรรมกิจ คริสตจักรสันยูง ก็ได้พยายามหนุนใจให้คริสตจักรฯ ส่งเด็กเข้าร่วมแข่งขันด้วย เด็กๆ มีความตั้งใจในการอ่านพระคัมภีร์มาก และมีความพร้อมสําหรับการแข่งขันในปีนี้ โดยมีอาจารย์เกศวจี และ อาจารย์รัตน์วลี รังสรรค์ เป็นผู้ดูแลและคอยให้คําปรึกษาแนะนํา

ข้อพระคัมภีร์ประจําใจ
ดิฉัน รู้สึกมีสันติสุขและได้รับการหนุนใจทุกครั้งเมื่อได้อ่านพระคัมภีร์ และมีข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่ดิฉันชื่นชอบ แต่ข้อพระคัมภีร์ประจําใจของ ดิฉันอยู่ในพระธรรมสุภาษิต 22:6 “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะไม่พรากจากทางนั้น”

พระธรรมมัทธิว 25:40 “แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทํากับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทํากับเราด้วย’

พระธรรมมัทธิว 11:28-30 “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”พระธรรมกาลาเทีย 6:9 “อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทําดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร”

ดิฉันอยากจะฝากข้อพระธรรมเหล่านี้เพื่อ หนุนใจและเป็นกําลังใจให้พี่น้องคริสตชนทุกคน เพราะข้อพระธรรมเหล่านี้ ทําให้ดิฉันมีกําลังใจในการรับใช้พระเจ้า และได้เห็นการอวยพรของพระเจ้าที่ทรงทํากิจในงานที่เราทําโดยเฉพาะงานสั่งสอน และอภิบาลเด็กเล็ก ที่ดิฉันมีความมุ่งมั่นทํามาตลอดเวลา 30 ปี

  • อาจารย์จิระพร รังสรรค์