จะปกครองอย่างไรดี?
มีผู้หนึ่งถามมาว่า เมื่ออ่านพระธรรมสุภาษิตบทที่ 29 ข้อ 21 ในพระคัมภีร์ไทยหลายฉบับ แล้วเกิดข้อสงสัยสองประการคือ
- คำกริยาในวรรคแรก ควรเป็นคำใดจึงถูกต้องกับบริบท? บางฉบับว่า “ประคบประหงม” บางฉบับว่า “ทนุถนอม” (ซึ่งควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น “ทะนุถนอม”) และบางฉบับว่า “ตามใจ”
- เนื้อความในวรรคสอง ควรเป็นอย่างไร? เพราะคำแปลต่างฉบับต่างกัน
ขอเชิญพิจารณาดูคำแปลจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับต่างๆ ข้างล่างนี้
- คนที่ถนอมเลี้ยงบ่าวของตนมาแต่เด็กที่สุดปลายเขาก็จะทะนงตัวว่าเป็นลูกชาย (ฉบับ1940)
- บุคคลที่ทนุถนอมคนใช้ของตนตั้งแต่เด็กๆ ที่สุดจะเห็นว่าเขาเป็นผู้รับมรดกของตน (ฉบับ1971)
- คนที่ตามใจคนรับใช้ของตนตั้งแต่เด็กๆ ในที่สุดจะพบว่าเขานำความยุ่งยากมาให้ (ฉบับ2011)
- ผู้ตามใจผู้รับใช้ตั้งแต่ผู้รับใช้ยังเป็นเด็ก จะต้องเสียใจในที่สุด (ฉบับคาทอลิก)
- บุคคลที่ทะนุถนอมคนใช้ของตนตั้งแต่เด็กๆ ที่สุดจะเห็นว่าเขากลายเป็นบุตรชายของตน (ฉบับไทยคิงเจมส์)
- การประคบประหงมคนรับใช้ตั้งแต่เด็ก เขาจะนำความทุกข์โศกมาให้ในที่สุด (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
- ถ้าเลี้ยงดูคนใช้แต่วัยเยาว์ ให้สิ่งเขาต้องประสงค์จำนงจิต สักวันหนึ่งจะเสียดายกลายเป็นพิษทุกชนิดของเราเขาครอบครอง (ฉบับประชานิยม)
ก่อนอื่นทางสมาคมฯต้องขอออกตัวว่าการนำพระคัมภีร์ฉบับต่างๆมาเทียบเคียงกันนี้มิได้มีจุดประสงค์จะเปรียบเทียบว่าฉบับใดดีกว่าฉบับใดเพียงแต่ต้องการให้ผู้อ่านเห็นความแตกต่างในคำแปลของฉบับต่างๆและพยายามหาความหมายออกมาต่างหาก.
เมื่อพิเคราะห์ดูเนื้อหาโดยรวมของทุกฉบับเราพบความมุ่งหมายของผู้เขียนสุภาษิตข้อนี้ซึ่งนอกจากจะนำเสนอความจริงด้านหนึ่งของชีวิตแล้วยังเตือนสติผู้ใหญ่หรือผู้ปกครองหรือเจ้านายให้ทราบว่าควรจะปฏิบัติต่อคนในบังคับบัญชาหรือคนในปกครองอย่างไรจึงจะส่งผลดีต่อเราและต่อเขา? แม้ว่าสุภาษิตจะกล่าวในเชิงลบแต่แน่นอนว่าผู้เขียนมีความประสงค์ในเชิงบวกโดยเนื้อความในวรรคแรกเป็นสาเหตุและเนื้อความในวรรคสองเป็นผลลัพธ์ซึ่งสืบเนื่องจากการกระทำในวรรคแรก
แม้ว่าสังคมสมัยพระคัมภีร์จะต่างจากสังคมปัจจุบันบ้างกล่าวคือคนรับใช้หรือบ่าวไพร่ในสมัยนั้นอยู่กับเจ้านายตั้งแต่เกิดก็มีเนื่องจากบิดามารดาของเขาเป็นทาสหรือข้ารับใช้ในบ้านนั้นแต่เริ่มแรกดังนั้นคนรับใช้จึงเป็นเด็กในการปกครองของเจ้านายคล้ายบุตร
ด้วยเหตุนี้หลักการต่างๆในพระธรรมสุภาษิตที่เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อคนรับใช้และต่อบุตรจึงอาจนำมาประสานกันได้บ้างตามควรจะขอหยิบยกตัวอย่างจากสุภาษิตบทที่29 ข้อ15 ,17,19 และ21ฉบับ2011 เราพบหลักการปฏิบัติต่อบุตรในข้อ15 และ17 อีกทั้งหลักการต่อคนรับใช้ในข้อ19 และ21
- ไม้เรียวและคำตักเตือนให้ปัญญา แต่เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยจะนำความอับอายมาสู่มารดา (ข้อ15)
- จงตีสอนบุตรของเจ้าและเขาจะให้เจ้าสบายใจ เขาจะให้ความปีติยินดีแก่เจ้า (ข้อ17)
- สักแต่ใช้คำพูดเท่านั้นจะสั่งสอนคนรับใช้ไม่ได้ เพราะแม้เขาจะเข้าใจแต่เขาก็ไม่เชื่อฟัง (ข้อ19)
- คนที่ตามใจคนรับใช้ของตนตั้งแต่เด็กๆ ในที่สุดจะพบว่าเขานำความยุ่งยากมาให้ (ข้อ21)
ดังนั้นเมื่อเราประสานหลักการทั้งสองอย่างข้างต้นก็จะได้ว่าการสั่งสอนเด็ก(ไม่ว่าจะเป็นเด็กรับใช้หรือบุตรของตนเอง) ต้องผนวกด้วยไม้เรียวจึงจะส่งผลดีแก่ตัวเขาและไม่นำความยุ่งยากมาสู่เราผู้ดูแล. ในสุภาษิตข้อนี้น่าจะหมายความว่าหากผู้ปกครองหรือเจ้านายเลือกวิธีปกครองผิดคือการใช้เพียงคำพูดสั่งสอนและการเอาอกเอาใจเขาจะทำให้เขาเสียนิสัยและนำผลร้ายมาสู่ตนเองอย่างแน่นอน
สำหรับคำถามแรกนั้นเราพบคำกริยาในวรรคแรกของข้อ21 แปลต่างๆกันในแต่ละฉบับแต่พอจะจำแนกออกได้เป็นสองลักษณะคือ
- คำที่มีความหมายเชิงบวกในพจนานุกรมไทยได้แก่ถนอมเลี้ยงทะนุถนอมประคบประหงมเลี้ยงดูเช่นแม่เฝ้าประคบประหงมเลี้ยงดูลูกน้อย.
- คำที่มีความหมายกลางๆค่อนไปทางลบคือตามใจซึ่งหมายความว่ายอมให้ทำตามต้องการเช่นลูกอยากได้รถพ่อแม่ก็ตามใจ. อย่างไรก็ดี”ตามใจ” อาจมีความหมายไปในทางลบได้ด้วยเมื่อไม่ได้คำนึงถึงเหตุผลความถูกต้องความชอบธรรมและความเหมาะควรแก่บุคคลหรือเหตุการณ์. การตามใจอย่างนั้นจึงไม่ก่อประโยชน์แก่ผู้ใดตรงกันข้ามกลับก่อโทษให้ภาษิตไทยให้คำเตือนสติว่า”รักวัว-ให้ผูก. รักลูกให้ตี.” นั้นก็หมายความว่าหากลูกทำผิดก็ต้องตีสอนมิใช่ตามใจปล่อยปละละเลย.
แท้ที่จริงทุกฉบับก็แปลได้ดีสื่อความหมายแก่ผู้อ่านแต่หากพิเคราะห์ในบริบทของข้อนี้เราจะพบว่าคำกริยาที่เหมาะสมกว่าคือคำกริยาในลักษณะที่สองคือ“ตามใจ” นั่นหมายความว่าหากผู้ใหญ่เลือกวิธีผิดในการปฏิบัติต่อเด็กที่สุดเด็กจะเสียนิสัยและส่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์มาถึงผู้ใหญ่ด้วย.
ส่วนคำถามที่สองว่า เนื้อความในวรรคสองของข้อ 21 ควรแปลออกมาอย่างไร? คำถามนี้ตอบยากกว่าคำถามแรก เมื่อสังเกตคำแปลของพระคัมภีร์ไทยในแต่ละฉบับข้างต้นและฉบับมาตรฐานอื่นๆ เราพบคำแปลแตกต่างกัน และสาเหตุที่คำแปลต่างกันนั้นก็เนื่องมาจากคำฮีบรูคำหนึ่งคือ คำว่า “มาโนน” เป็นคำที่ปรากฏครั้งเดียวในพระคัมภีร์ฉบับฮีบรู (hapax legomenon) ดังนั้นจึงทำให้ไม่ทราบความหมายแน่ชัดของคำนี้. จึงทำให้มีการแปลคำนี้ต่างๆ กัน ซึ่งพอจะจำแนกออกเป็นแปดลักษณะคือ
- บุตรชาย (ฉบับ1940, ฉบับไทยคิงเจมส์, KJV, ASV, NKJV)
- ผู้รับมรดก (ฉบับ 1971, ฉบับประชานิยม, เชิงอรรถของฉบับ 2011, RSV, GNB)
- ความยุ่งยาก (ฉบับ 2011)
- ความทุกข์โศก (ฉบับคาทอลิก, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย, LXX, NIV, NCV)
- ความหยิ่งจองหอง (LEB)
- ความอ่อนแอ (NET)
- ความอกตัญญู (NJB)
- ความดื้อรั้น ไม่มีใครควบคุมได้ (เชิงอรรถของฉบับ 2011, Vulgate, NAB, footnote of GNB)
อย่างไรก็ดี แม้ว่าคำแปลจะออกมาต่างกัน แต่เราพบว่าความหมายของวรรคสองนั้นออกมาในทางลบแน่นอน. ไม่ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ คนรับใช้จะกลับกลายเป็นบุตรชายหรือผู้รับมรดก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาจะเข้าครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดซึ่งไม่ใช่สิทธิ์อันควรแก่เขา. หรือ คนรับใช้จะนำปัญหา เรื่องยุ่งยาก ความทุกข์ใจ มาให้เจ้านาย. หรือ เนื่องด้วยการที่เจ้านายตามใจจนเคยตัว คนรับใช้ก็เสียคุณธรรมไป กลายเป็นคนอ่อนแอ คนดื้อรั้นเอาแต่ใจ คนเหลือขอ ไม่มีใครควบคุมได้ จนที่สุดกลายเป็นคนเนรคุณ.
กล่าวโดยสรุป เป็นการยากที่จะตัดสินอย่างเด็ดขาดว่า เนื้อความในวรรคสองของข้อ 21 นั้น ควรแปลออกมาอย่างไรจึงจะถูกต้อง? ทั้งนี้เพราะไม่มีใครทราบความหมายแน่นอนของคำนั้นนั่นเอง. ถึงกระนั้น พระวจนะของพระเจ้าก็ยังทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนิน ชีวิตอย่างมีปัญญา.
- อ.ปัญญา โชชัยชาญ
- ภาพ Spukkato – Freepik.com