จากใจเลขาธิการ
สวัสดีครับ สมาชิกและเพื่อนของ TBS ทุกท่าน
เช้าวันนี้ผมใจหายและเศร้าสลดเป็นอย่างมาก เมื่อทราบข่าวว่าผู้อาวุโสท่านหนึ่งในคริสตจักรที่ผมและหลายคนในคริสตจักรสนิทสนมได้จากไปอย่างกะทันหัน หลังจากที่ลูกของท่านได้โพสต์แจ้งข่าวดังกล่าวบนเฟซบุ๊ก ไม่เพียงแต่ผมที่โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจ คนแล้วคนเล่าในคริสตจักรทั้งสมาชิกธรรมดาจนถึงผู้นำระดับสูง ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพฯ แต่ทั่วประเทศทยอยกันส่งข้อความเข้ามาแสดงความเสียใจอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่พิเศษมากคือ หลายคนบรรจงร้อยเรียงถ้อยคำที่มาจากส่วนลึกของหัวใจเพื่อสดุดีชีวิตของคุณแม่ท่านนี้และเล่าถึงประสบการณ์แห่งพระพรที่พวกเขาได้รับจากท่าน เมื่อผมอ่านข้อความเหล่านั้น ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจจริงๆ ในพลังชีวิตของสุภาพสตรีท่านนี้
ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่ได้เป็นผู้นำ ไม่ได้เป็นผู้มีฐานะดีหรือมีชื่อเสียงในสังคม ไม่ได้เรียนจบโรงเรียนพระคริสต์ธรรม ไม่ได้มีของประทานยิ่งใหญ่ทำการอัศจรรย์มากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านมี คือใจที่รักพระเจ้าและคนของพระองค์อย่างสุดหัวใจ ท่านคือคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างไม่ธรรมดา จึงมีผลต่อชีวิตคนอื่นอย่างเหนือธรรมดา ผมเชื่อว่า ทุกคนที่รู้จักท่านจะเห็นด้วยกับผมว่า ท่านได้ทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อเป็นพรต่อคนมากหลายในคริสตจักร แม้ผมจะรู้สึกเศร้าใจที่จะไม่ได้พบท่านอีกในชั่วชีวิตนี้ แต่ก็อดภาคภูมิใจในชีวิตของท่านไม่ได้ และคิดไปว่า บำเหน็จของท่านในแผ่นดินสวรรค์จะมีบริบูรณ์เพียงไร ท่านได้ใช้ชีวิตของท่านอย่างคุ้มค่าและจากไปอย่างสง่างามจริงๆ ทำให้ผมต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ผมได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและพร้อมที่จะไปเผชิญหน้ากับพระเจ้าหรือไม่ เราทั้งหลายก็อาจเคยถูกถามหรือแม้ถามตัวเองว่า เราพร้อมที่จะไปพบพระเจ้าแล้วหรือยัง ชีวิตของเราเรียบร้อยดีหรือไม่ หรือว่าเราได้ทำสิ่งที่ควรทำในชีวิตนี้แล้วหรือยัง ผมเชื่อว่า คุณแม่ท่านนี้พร้อมทุกเวลาที่จะไปพบพระองค์ เพราะท่านได้ใช้ชีวิตของท่านอย่างเต็มที่เพื่ออาณาจักรของพระเจ้าเสมอมา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมได้ข้อคิดหลายอย่าง ประการแรก เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร มาจากไหน ไม่จำเป็นต้องมีของประทานพิเศษ ความรู้ความสามารถที่แตกต่าง หรือตำแหน่งที่สูงส่ง ก็สามารถมีผลต่อชีวิตคนอื่นได้มาก หากเรามีหัวใจที่รักพระเจ้าและผู้อื่นมากเพียงพอ ประการที่สอง ไม่มีใครรู้ได้เลยว่า ตนจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร คุณแม่ท่านนี้จากไปอย่างไม่มีใครคาดคิด แท้ที่จริง ท่านได้เข้าร่วมค่ายของคริสตจักรและได้พบปะทักทายผู้คนนับพัน และท่านจากไปเพียงหนึ่งวันก่อนที่ค่ายสิ้นสุดลง เพราะเราไม่รู้ได้เลยว่า ชีวิตของเราจะสิ้นสุดลงเมื่อไร เราจึงควรดำเนินชีวิตราวกับว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ทำสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อเราจะไม่เสียใจเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง ประการที่สาม สิ่งดีที่ท่านได้ทำตลอดชีวิตนั้น คนอื่นจะจดจำ แม้เขาจะไม่พูดถึงในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาจะอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงเมื่อท่านจากไป ในทางตรงกันข้าม หากมีสิ่งไม่ดีที่ท่านทำ คนก็จะไม่ลืมเช่นกัน
ท่านพร้อมที่จะไปพบพระองค์หรือยัง
- ประกิจ ตรีทศายุธ
คุณรู้หรือไม่
พระกิตติคุณมาระโกเป็นหนึ่งในพระกิตติคุณสี่เล่มในพันธสัญญาใหม่ แม้จะไม่มีระบุในเนื้อหาว่าใครเป็นผู้เขียน นักวิชาการจำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่า มาระโกซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงาน ของเปโตรเป็นผู้เขียน และเชื่อว่าท่านเขียนขึ้นก่อนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ พระธรรมเล่มนี้มีอยู่ทั้งหมด 16 บท หลายคนคงสังเกตว่า ข้อ 9-20 ของบทสุดท้ายอยู่ในวงเล็บ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
นักวิชาการจำนวนมากลงความเห็นว่า ส่วนท้ายดังกล่าวถูกเพิ่มเติมขึ้นในภายหลัง เนื่องจากเนื้อหาส่วนดังกล่าวไม่ปรากฏในสำเนาโบราณฉบับต้นๆ จึงใส่ไว้ในวงเล็บ หากทฤษฎีนี้เป็นจริง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
บทที่ 16 เริ่มต้นด้วยเรื่องราวหลังจากที่วันสะบาโตได้สิ้นสุดลง มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ พร้อมกับนางสะโลเม ไปซื้อเครื่องหอมเพื่อจะนำไปชโลมพระศพของพระเยซูในรุ่งเช้าวันอาทิตย์ แต่เมื่อพวกเธอไปถึงอุโมงค์บรรจุพระศพของพระองค์ก็พบว่า หินที่ปิดปากอุโมงค์ถูกกลิ้งออกไป เมื่อพวกเธอเข้าไปในอุโมงค์ก็พบกับทูตสวรรค์ที่บอกพวกเธอว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้ว และกำชับให้พวกเธอไปบอกสาวกของพระเยซูว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลี สำเนาโบราณฉบับต้นๆ ของพระธรรมเล่มนี้จบลงอย่างกะทันหันในข้อ 8 ว่า “หญิงเหล่านั้นจึงออกจากอุโมงค์แล้วรีบหนีไป เพราะพิศวงงงงวยและตกใจจนตัวสั่น พวกนางไม่ได้พูดกับใครเพราะกลัว” แปลกหรือไม่ที่มาระโกลงท้ายพระกิตติคุณเช่นนั้น ซึ่งอาจฟังดูห้วน และเหมือนเนื้อหาบางอย่างขาดหายไป
สิ่งหนึ่งที่เราต้องเข้าใจคือ พระกิตติคุณไม่ใช่หนังสือชีวประวัติอย่างที่หลายคนคุ้นเคย วัตถุประสงค์หลักของการประพันธ์ไม่ใช่เพื่อการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูอย่างละเอียดครบถ้วนในทุกช่วงวัยของชีวิต แต่เป็นหนังสือที่ใช้เพื่อการประกาศให้คนเชื่อว่าพระเยซูคือพระผู้ช่วยให้รอด อีกทั้งเพื่อการเสริมสร้างความเชื่อของผู้เชื่อทั้งหลาย ดังนั้น ผู้เขียนจึงเลือกว่าจะให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับชีวิตพระเยซูเพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่มีการบันทึกเรื่องราวของพระเยซูในวัยผู้ใหญ่ก่อนที่จะทรงรับบัพติศมาและเริ่มพระราชกิจ ในทางตรงกันข้าม ผู้เขียนพระกิตติคุณทุกเล่มให้ความสำคัญและเน้นเรื่องราวในสัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพระเยซูที่นำไปสู่กางเขนรวมถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เพราะนั่นเป็นพันธกิจหลักของพระองค์บนโลกนี้และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า
แท้ที่จริง ในบรรดาพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม พระธรรมมาระโกเป็นเล่มที่สั้นที่สุด การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างกระชับ รีบเร่ง โดยเน้นภาพลักษณ์ของพระเยซูในฐานะผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ เป็นไปได้หรือไม่ว่า มาระโกตั้งใจจะให้พระกิตติคุณเล่มนี้จบที่ข้อ 8 เพื่อทำให้ผู้อ่านเกิดความสงสัยและใคร่รู้ว่า เหตุการณ์ต่อไปหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร มาระโกได้กล่าวถึงอุโมงค์ที่ว่างเปล่าโดยไม่ได้บอกว่า พระศพของพระเยซูอยู่ที่ไหน หากมาระโกตั้งใจให้พระกิตติคุณที่ท่านเขียนสิ้นสุดที่ข้อ 8 จริง ท่านก็คงคาดหมายให้ผู้อ่านประหลาดใจที่ทราบว่า พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย และเชื้อเชิญให้พวกเขาพิสูจน์เรื่องการเป็นขึ้นมาของพระองค์ อีกทั้งท้าทายให้ผู้เชื่อมีประสบการณ์กับพระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์นั้น
หากสมมติฐานนี้เป็นจริง คำถามต่อไปคือ ใครเป็นผู้เพิ่มเติมข้อ 9-20 ของบทที่ 16 คำอธิบายที่อาจเป็นไปได้คือ เนื้อหาส่วนนี้ถูกเพิ่มเติมเข้าไปภายหลังโดยคริสตจักรยุคแรก ทั้งนี้ เพื่อให้งานเขียนของมาระโกมีน้ำหนักมากขึ้น
หากเป็นเช่นนั้นจริง เราจะยอมรับส่วนที่เพิ่มเติมเข้าไปว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่ คำตอบคือเนื้อหาดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ จึงไม่มีปัญหาในเชิงข้อเท็จจริงและศาสนศาสตร์ นอกจากนี้ ยังถูกเพิ่มเติมเข้าไปก่อนการพิจารณาสารบบพระคัมภีร์ใหม่จะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ และผู้นำคริสตจักรในสมัยแรกไม่ได้ติดใจกับประเด็นเนื้อหาในข้อ 9-20 ดังกล่าว เราจึงยอมรับได้ว่า เนื้อหาส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระวจนะพระเจ้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย
- ภาพจาก www.ifiwalkedwithjesus.com
กิจกรรมTBS
สนุกกับพระคัมภีร์
แนะนำสินค้า
พันธกิจ TBS
เพียงถวายเริ่มต้น 99 บาท รับพระคัมภีร์ ESV (มูลค่ามากกว่า 700 บาท) ด่วน! มีจำนวนจำกัด
พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ฉบับ ESV (English Standard Version) เป็นพระคัมภีร์ฉบับแปลที่มีคุณภาพโดยนักวิชาการมากกว่า 100 ท่าน และเป็นฉบับที่ใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลกฉบับหนึ่ง แปลจากต้นฉบับภาษาเดิม
โดยใช้ภาษาอังกฤษที่ร่วมสมัย ด้วยปรัชญาการแปลแบบเน้นใจความควบคู่ไปกับการสะท้อนรูปความและรสความที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับ (Essential-Literal Translation) ทำให้ได้เนื้อหาที่ครบถ้วนและอ่านง่าย
ด้วยนิมิตของ TBS ที่จะช่วยให้คนไทยทุกคนมีพระคัมภีร์ใช้ และรู้จักใช้พระคัมภีร์ TBS จึงร่วมกับ CBS (Community Bible Study) มอบพระคัมภีร์ ESV ฉบับ ESV Church Bible หรือ ESV Concise Study Bible ให้กับบุคคลทั่วไป หรือองค์กรต่างๆ ที่สนใจ
หากท่านต้องการเป็นเจ้าของพระคัมภีร์เล่มนี้ โปรดสแกน QR Code ข้างบน หรือโทร 02-279-8341 ต่อ 44 (คุณสุกัญญา) อีเมล sukanya@thaibible.or.th ไลน์ thaibible.line หรือเพิ่มเพื่อนด้วยเบอร์ 065-884-0379