ชีวิตที่ยอมให้พระเจ้านำ

“ดร.สุเจตน์ จันทรังษ์” เป็นคนหนุ่มในวัยสี่สิบต้นๆ ที่มีอนาคตก้าวหน้าด้วยความสามารถด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และหน้าที่การงาน ที่อยู่ในฐานะผู้บริหารระดับสูง อย่าง “อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร” และ “ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” ยังไม่นับตำแหน่งที่ปรึกษาอื่นๆที่มีพ่วงท้ายอีกมากคงทำให้หลายคนคิดไม่ ถึงว่าคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองมีความเชื่อมั่นตัวเองสูงอย่างเขาจะยอม ให้บุคคลผู้หนึ่ง “นำ”

ในขณะที่ยังเป็นหนุ่มน้อยเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัยแล้วต่อมาสอบเข้าเรียนต่อได้ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณ ทหารลาดกระบังคณะวิศวกรรมศาสตร์หลักสูตร 5 ปี สุเจตน์ จันทรังษ์ ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธจากจังหวัดอุทัยธานีเล่าให้ฟังถึง การมารู้จักพระเจ้าว่า
“ชีวิตผมที่มาเป็นคริสเตียนได้เนี่ยเริ่มตอนผมกำลังจะจบ มศ.5 มีเพื่อนคนหนึ่งมาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ด้วยแต่ผมต่อต้านมากและต่อต้าน แบบรุนแรงเพราะไม่เชื่อผมกับเพื่อนคุยกันนานมีคำถามมากมายทั้งต่อว่าเหน็บ แนมเขาท้าทายเขาแต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นความดีงามของคนที่เป็น คริสเตียนก็คือความอดทน ผมเห็นว่าเขาอดทนกับผมมาก ช่วงนั้นเขาแนะนำให้ผมลองไปที่คริสตจักรมักกะสัน
“ช่วงที่เริ่มไปเรียนที่ลาดกระบัง ผมเริ่มอ่านพระคัมภีร์ โดยนั่งรถไฟไปแต่เช้าและใช้เวลาก่อนเข้าเรียน อ่านพระคัมภีร์ประมาณวันละหนึ่งชั่วโมง ใช้เวลาอ่านพระคริสตธรรมใหม่ 1 เดือนก็จบ ตอนนั้นผมก็เริ่มมองและเข้าใจว่า พระเยซูคริสต์เป็นคนที่มาเพื่อคนอื่น เชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประกอบกับการได้คุยกับคนที่มีความเข้าใจในแบบเดียวกัน ทำให้ผมเริ่มมีความเข้าใจ ผมก็ตัดสินใจรับเชื่อในเดือนสิงหา-กันยา ปี 2523 หลังจากนั้นก็เริ่มไปคริสตจักรสม่ำเสมอขึ้น ผมเป็นคนชอบอ่านพระคัมภีร์ และชอบศึกษา จนช่วงหนึ่งที่อยู่ที่นั่น ผมก็สอนพระคัมภีร์ด้วยหลังจากเป็นคริสเตียนได้ 2-3 ปี ผมสอนพระคัมภีร์เดิม ผมชอบพระธรรมปฐมกาลเพราะเป็นจุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ เป็นการเริ่มต้นวางหลักการของทุกสิ่ง”
หลังจากจบปริญญาตรี ก็ตั้งใจอยากเป็นผู้รับใช้พระเจ้า โดยตั้งใจว่าจะไปเรียนพระคัมภีร์ที่ประเทศสิงคโปร์ และได้สมัครงานกับสิงคโปร์แอร์ไลน์ไว้เพื่อให้มีรายได้ระหว่างเรียน ทั้งได้ไปสัมภาษณ์งานที่ประเทศสิงคโปร์แล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าน่าจะได้งานแน่เพราะทางสิงคโปร์แอร์ไลน์แจ้งว่าให้รออีก 1-2 เดือน ตำแหน่งนั้นจะว่างเนื่องจากคนที่ทำอยู่ยื่นใบลาออกแล้ว แต่กลับตาลปัตร คนนั้นปลี่ยนใจไม่ลาออกเขาจึงไม่ได้งาน ทำให้เรื่องการเรียนพระคัมภีร์ถูกพับไป เขาได้ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่ลาดกระบัง เขาเล่าความหลังให้ฟังว่า
“เหตุที่ผมอยากเป็นผู้รับใช้เพราะตอนนั้นผมกำลังจะจบปริญญาตรีซึ่งเป็นหลัก สูตร 5 ปี แต่ผมเรียนจบภายใน 4 ปีครึ่ง และต้องรออีกครึ่งปี เพื่อนๆ จึงจะจบผมเกิดความรู้สึกกลัวตาย กลัวตายมากๆ เลย เป็นการกลัวตายโดยไม่มีสาเหตุเป็นความกลัวตายแบบที่อยู่คนเดียวไม่ได้ จะรู้สึกระแวงตลอด เป็นอยู่ประมาณ 7 วัน”
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ผมมาสรุปได้ในเวลาต่อมาว่า พระเจ้ากำลังตีสอนผม เมื่อเราประสบความสำเร็จทำให้เราภาคภูมิใจ แล้วเราก็เกิดความกลัวจะสูญเสีย ทั้งที่พระเจ้าก็สอนแล้วว่าสิ่งเหล่านี้อาจเสียไปเมื่อไรก็ได้ และสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดนี้อีกอย่างหนึ่งคือความเข้าใจใน เรื่องการอธิษฐาน คริสเตียนทั่วไป มักอธิษฐานขอโน่น ขอนี่ แต่ผมได้เรียนรู้ว่าให้เราเพียงอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้า ทุกสิ่งที่เกิดขอให้มาจากน้ำพระทัยพระเจ้า และอย่าให้มารซาตานมาทดลองเพราะในตรีเอกานุภาพ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับมนุษย์ผู้เชื่อ ดังนั้นถ้าเราอธิษฐานให้พระเจ้าทรงนำ ทุกสิ่งก็ดำเนินไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ความหมายก็คือเราต้องเชื่อและวางใจพระเจ้า แต่ต้องเข้าใจให้ดีว่าไม่ใช่การปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมเพราะเรามีสิ่งที่พระ เจ้าสั่งให้เราจะต้องทำด้วย ดีใจที่ตอนนั้นพระเจ้าตีสอนผมให้ผมรู้จักทางของพระองค์”
จากความตั้งใจที่จะเป็นผู้รับใช้แบบอาจารย์สอนพระคัมภีร์ หรือเทศนาบนธรรมาสน์ ดร.สุเจตน์ได้รับคำตอบและประสบการณ์การรับใช้พระเจ้าด้วยความสามารถที่พระ เจ้าประทานให้ และตามบทบาทหน้าที่ที่กำลังทำอยู่ในทุกสถานการณ์
“ผมเรียนปริญญาโทไปได้ราว 6 เดือน ก็มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในต่างประเทศ ทางสถาบันฯ เลยให้ผมย้ายไปเรียนหลักสูตรสำหรับผู้ที่จบปริญญาตรีแล้วเรียนต่อปริญญาเอก เลย โดยไม่ต้องเรียนปริญญาโท ผมใช้เวลาเรียนปริญญาเอกประมาณ 3 ปี ก็จบ ระหว่างเรียนผมทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งไปด้วย ผมถามพระเจ้าตลอดเวลาว่า แล้วพระองค์จะใช้ผมทำอะไร จนได้มีโอกาสไปช่วยงานที่มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยโดยไม่ได้รับเงิน เดือน เป็นช่วงที่ทำให้ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงนำให้ผมได้ไปรับใช้ในองค์กรคริสเตียน ผมเริ่มคิดว่าพระเจ้าอาจจะไม่ได้นำให้ผมเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา เพราะผมไม่เหมาะ ผมไปช่วยมูลนิธิศุภนิมิตฯ ในเรื่องการวางระบบคอมพิวเตอร์ ช่วยปรับปรุงระบบการทำงานที่ซ้ำซ้อน ช้า และต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ให้เปลี่ยนเป็นระบบที่ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อน เพราะเป็นสิ่งที่ผมรู้และสามารถทำได้ มีครั้งหนึ่งผมพัฒนาซอฟ์แวร์ให้กับมูลนิธิศุภนิมิตฯ โดยใช้เวลา 4 วัน 4 คืน ช่วยให้ประหยัดเงินไปได้มาก ตรงนั้นมันตอบคำถามในใจผมว่า คนเรารับใช้พระเจ้าได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นศาสนาจารย์ เป็นผู้รับใช้ เรารับใช้พระเจ้าด้วยตะลันความสามารถของแต่ละคนที่มีความแตกต่างกันได้ อยู่ที่ว่าเราตัดสินใจให้พระเจ้านำหรือเปล่า ตรงนี้สำคัญมาก”
เมื่อถามถึงการรับใช้พระเจ้ากับบทบาทหน้าที่ในปัจจุบัน ดร.สุเจตน์มองว่าไม่มีอะไรขัดแย้งกันและไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
“ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับว่าเรายอมให้พระเจ้านำหรือไม่ การที่พระเจ้าไม่ให้ไปเรียนพระคัมภีร์ที่สิงคโปร์ตามความคิดของผม ทำให้ผมได้มาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยและตระหนักว่าพระเจ้าทรงนำให้ผมรับใช้ พระองค์ด้วยบทบาทหน้าที่ และการงานในปัจจุบันได้ รวมทั้งในสถานการณ์ต่างๆ ที่เราเผชิญ บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะใช้เราตอนไหน แต่ผมเพียงแค่อธิษฐานให้พระเจ้าทรงนำในชีวิต ผมมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ตอนปี 2535 ผมไปที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นช่วงที่ตรงกับวันหยุดคริสต์มาสและปีใหม่ ช่วงนั้นถ้าเราไม่รู้จักใคร ไม่มีครอบครัวให้กลับไปหา ก็เป็นช่วงที่เศร้ามาก มันเงียบมาก วันสิ้นปี 31 ธันวาคมของปีนั้น มีอาจารย์ที่คริสตจักรคนหนึ่ง เป็นชาวออสเตรเลียที่ผมรู้จักสนิทด้วย โทรมาหาผมเชิญผมไปทานข้าวเย็นด้วย และให้ผมเป็นพยานกับอาจารย์มหาวิทยาลัยซิดนีย์คนหนึ่ง รู้สึกจะเป็นคนศรีลังกาที่กำลังเรียนปริญญาเอกทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่ เขาสนใจเรื่องพระเจ้าอาจารย์ได้เป็นพยานกับคนศรีลังกาคนนั้นแล้ว แต่รู้สึกเขายังไม่เข้าใจ ก็เลยชวนผมให้มาเป็นพยานด้วย ผมก็ดีใจมาก เพราะว่าที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้พยานกับใครแบบมานั่งพูดคุยเป็นกิจลักษณะ ผมแค่พยายามเป็นพยานด้วยชีวิตของผม ผมบอกกับทุกคนที่มหาวิทยาลัยว่าผมเป็นคริสเตียน และพยายามทำตัวให้พวกเขาเห็นถึงความเป็นคริสเตียน”
“การเป็นพยานกับอาจารย์ชาวศรีลังกาคนนั้น ทั้งที่ผมไม่เคยรู้จักเขามาก่อนเลย ผมพูดเรื่องในพระคัมภีร์ให้ฟัง ตอนเที่ยงคืนเสียงพลุดัง มันเป็นคืนส่งท้ายปีเก่า คนข้างนอกกำลังสนุกกับการต้อนรับปีใหม่ ผมถามตัวเองว่าทำไมผมไม่ไปอยู่ที่นั่น ผมกลับมานั่งเป็นพยานกับคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเขาจะเชื่อพระเจ้าหรือ เปล่า ผมก็ไม่รู้ แต่พระเจ้ากำลังสอนผมในเรื่องการเชื่อฟังการทรงนำ เพราะผมอธิษฐานให้พระเจ้าทรงนำในชีวิตนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิต ผมก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงนำอยู่ เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าพระเจ้าจะใช้ผมให้เป็นคริสเตียน ที่อยู่ในวงการวิชาการและหลังจากนั้นผมก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องหน้าที่การงาน ตั้งแต่เป็นคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย เป็นรองอธิการบดี กระทั่งเป็นอธิการบดีในปัจจุบัน”
ในฐานะเป็นคุณพ่อของลูกสาว 2 คน คนโตอายุ 14 ปี เรียนอยู่เกรด 9 และคนเล็กอายุ 10 ปี เรียนอยู่เกรด 5 โรงเรียนรามคำแหง แอดวานซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (อาร์. เอ. ไอ. เอส) เขากล่าวถึงการให้ความสำคัญกับครอบครัว และการอบรมลูกๆ ว่า
“ผมทำงานหนัก กลับบ้านมืด ทุกคนหลับแล้วก็จริง แต่ตอนเช้าต้องขอไปส่งลูกเองเพื่อจะได้คุยกับเขา และทุกวันตอนเย็น ผมต้องโทรศัพท์ไปคุยกับภรรยาและลูกๆ ภรรยาผมเป็นแม่บ้าน ดูแลลูก ดูแลบ้าน ส่วนผมมีหน้าที่เป็นคนหาเลี้ยงจุนเจือครอบครัว”
“ปัจจุบันผมเป็นสมาชิกคริสตจักรวัฒนา เป็นคริสตจักรแบบเงียบๆ ผมชอบมาก แต่อยู่ค่อนข้างไกลบ้าน มีช่วงหนึ่งที่ลูกสาวของผมอยากเล่นกอล์ฟ ผมก็มีเวลาสอนได้แค่วันอาทิตย์วันเดียว เพราะผมทำงาน 6 วัน จันทร์ถึงเสาร์ เลยพาไปเล่นกอล์ฟตอนเช้า กว่าจะกลับบ้านมาอาบน้ำแต่งตัวก็ไปคริสตจักรวัฒนาไม่ทันแล้วเลยพาลูกไปคริสต จักรใจสมาน เพราะอยู่ใกล้บ้าน และลูกๆ ก็ชอบเรียนรวีฯ ที่นี่ “ไม่ว่าไปคริสตจักรไหน ผมกลับมาก็ต้องมาทบทวนในสิ่งที่อาจารย์เทศนา เพราะบางครั้งอาจารย์บางท่านก็เทศน์ตามความรู้สึกพาไป ผมต้องกลับมาทบทวนกับลูกๆ ด้วย เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ ผมเป็นคนให้ความสำคัญกับการสอนลูกๆ โดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์ เพราะเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าไม่ซื่อสัตย์เราก็รักใครไม่ได้ ถ้าจะรักพระเจ้าแต่ไม่ซื่อสัตย์กับพระองค์ นี่ก็เป็นไปไม่ได้ ผมถึงสอนเรื่องความซื่อสัตย์ให้พวกเขาตั้งแต่เล็กๆ เวลาไปซื้อของ มีบางครั้งคนขายทอนเงินผิด ทอนเกินมาให้ ลูกๆ บอกก็ดีน่ะสิ เราได้กำไร ผมก็สอนว่า ไม่ใช่ นี่เป็นเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ แล้วผมก็ขับรถกลับไป เอาเงินที่เกินนั้นไปคืน การสอนด้วยการเป็นแบบอย่างนี้ทำให้ลูกๆ ไม่มีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์เลย พวกเขาไม่เคยขโมย และรู้จักให้คนอื่น ผมสอนลูกให้อยู่กันแบบธรรมดาๆ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ผมสอนลูกว่าพระเจ้าจะเลี้ยงดูเรา”
“ผมทำงานไม่เคยถามว่าจะให้เงินเดือนผมเท่าไร ผมดูว่าสบายใจมั้ย ผมมาทำงานที่นี่ เป็นการตอกย้ำว่าการอธิษฐานของผมถูกต้องในเรื่องการทรงนำของพระเจ้า ผมถามว่าพระเจ้าจะทรงนำได้มั้ย คำตอบคือพระเจ้าทรงนำได้ และทรงนำอยู่ตลอดเวลา สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราเข้าใจการทรงนำที่แท้จริง และไม่ตั้งเงื่อนไข”
ด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงนำได้อย่างแน่นอนในชีวิต ดร.สุเจตน์ จันทรังษ์ ย้ำกับเราในตอนท้ายว่า
“ผมจะไม่อธิษฐานขออะไร นอกจากขอการทรงนำจากพระเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมขอให้สิ่งนั้นมาจากน้ำพระทัยพระเจ้า”

ประวัติการศึกษา
1. มัธยมศึกษาที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ปี 2518-2522
2. ปริญญาตรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คณะวิศวกรรมศาสตร์ (อิเล็กทรอนิกส์) หลักสูตร 5 ปี
3. ปริญญาเอก วิศวกรรมศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (คอมพิวเตอร์) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
4. ปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความแล้ว

หน้าที่การงานในปัจจุบัน
1. อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสาร
2. อาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะกรรมการพัฒนากิจการอวกาศของชาติ
3. อนุกรรมการด้านกฎหมายอวกาศของกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสาร

ผลงานที่ได้รับรางวัล
1. นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ปี 2537 ของมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์
2. บุคคลากรดีเด่นด้านวิชาการ ปี 2537 ของสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
3. ศิษย์เก่าดีเด่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ปี พ.ศ.2549

ดร.สุเจตน์ จันทรังษ์