ชีวิตที่เป็นของพระเจ้า
ผม “นายทศพร มณีรัตน์” ขอนำเสนอบันทึกนี้เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ได้ทรงเมตตาไถ่ผมออกจากความบาปและได้ทรงมอบชีวิตนิรันดร์แก่ผมตลอดไป
“ข้าแต่พระองค์พระบิดาผู้เป็นเจ้าของฟ้าสวรรค์และโลก ขอพระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ”
ย้อนหลังไปในปี พ.ศ. 2530 ผมและภรรยา (นางสุกาญจนวดี มณีรัตน์) ได้สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตสมรส เพราะภรรยาผมตั้งครรภ์ที่ปีกมดลูกและต้องผ่าตัดปีกมดลูกออกไปหนึ่งข้าง ทำให้โอกาสที่จะตั้งครรภ์อีกมีน้อยมาก เราก็ได้แต่ปลอบใจกันตลอดจนบนบานตามความเชื่อต่างๆ
ในปี พ.ศ. 2531 ภรรยาผมตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เราดูแลกันดียิ่งขึ้นและคาดหวังถึงความสุขที่จะมีมา แต่เมื่อผ่านไปได้ 6 เดือน ภรรยาผมก็เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งหมอบอกว่าจะมีโอกาสเป็น 1 ใน 200 คน ในที่สุดเราก็ต้องเสียลูกไปอีก ความเสียใจของเรามากมายจนไม่สามารถนึกถึงความสุขได้เลย เราสองคนร้องไห้เกือบทุกวัน ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมต้องเกิดเรื่องนี้กับครอบครัวของเรา เราทำบาปอะไร แล้วเราจะหลุดพ้นภาวะทุกข์ใจอย่างนี้ได้อย่างไร ภรรยาของผมนั้นแทบจะไม่รู้จักยิ้มเลย ผมเห็นเธอเป็นทุกข์ เครียด นอนไม่หลับ ก็ได้แต่พูดปลอบใจไปวัน ๆ เป็นอย่างนี้เป็นเวลาหลายเดือน จนอยู่มาวันหนึ่งผมเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวภรรยา เธอมีรอยยิ้ม และสามารถนอนหลับได้โดยไม่สะอื้น แต่ตอนนั้นผมยังไม่ทราบว่าภรรยาผมได้รับทราบข่าวประเสริฐ (เรื่องพระเจ้า) จากเพื่อนคริสเตียนชื่อคุณพิษบุษ์ จัตวาพรวนิช และได้เรียนรู้เรื่องชีวิตใหม่ (ในพระเจ้า) จากคุณป้าโสภา เยื้อนแย้ม (ผู้อาวุโสในคริสตจักรใจสมาน) ในที่สุด ภรรยาผมตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้า ที่คริสตจักรใจสมาน สุขุมวิทซอย 6 เพื่อพระเจ้าจะช่วยยกเอาความทุกข์ของเธอออกไป เธอไม่ได้บอกผมเพราะกลัวผมโกรธ ตัวผมเองนั้นได้บวชเรียนเรียบร้อยแล้วและขณะนั้นมีวิถีชีวิตที่มุ่งมั่นในหลักศาสนามาก แล้วในที่สุดเธอตัดสินใจบอกผมเรื่องเธอขอเปลี่ยนมาเชื่อพระเจ้า ผมงง แต่ไม่ได้โกรธเธอ เพราะผมเห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเธอค่อนข้างมาก ผิดจากเมื่อก่อนซึ่งมีความเครียด โกรธ นอนไม่หลับ กังวลใจ มีแต่ความทุกข์ ผมได้บอกเธอว่าก็ดีแล้ว หากสิ่งนั้นทำให้เธอดีขึ้น เพราะผมเองไม่สามารถช่วยให้ชีวิตเธอเป็นสุขได้
“ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณพระองค์ที่ประทานชีวิตใหม่ให้แก่ภรรยาของข้าพระองค์ และประทานบุตรชายที่ประเสริฐแก่ครอบครัวของเรา” แล้วภรรยาของผมก็ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ ผมไม่ได้ไปส่งเธอ รู้แต่ว่าเธอไปโบสถ์ บ่ายๆ ก็กลับมา ผมไม่ได้ถามว่าเธอไปทำอะไร รู้แต่เพียงว่าเธอมีความสุข ผมเองก็พอใจกับสถานการณ์ตรงนั้น ในที่สุดภรรยาผมก็เป็นคริสเตียนสมบูรณ์แบบโดยการรับบัพติศมาที่คริสตจักรใจสมาน สุขุมวิทซอย 6 และวันหนึ่งเธอก็บอกผมว่าสงสัยจะตั้งครรภ์ ผมก็งงและรู้สึกหวั่นเกรง แต่ภรรยาผมดีใจมาก เธออธิษฐานกับพระเจ้าตลอดเวลา และไปพบแพทย์ตามนัด ในที่สุดวันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2536 พระเจ้าก็เมตตาตอบคำอธิษฐานของเธอ เราได้บุตรชายที่น่ารัก แข็งแรง น้ำหนักแรกคลอดประมาณ 4.3 กิโลกรัม ลูกชายของเราชื่อ ด.ช. ธนภัทร มณีรัตน์ หรือ “ไก่ต๊อก” เริ่มหัดพูดออกเสียงตั้งแต่อายุ 4 เดือนครึ่ง ภรรยาผมได้ถวายบุตรที่คริสตจักรใจสมาน ตอนนั้นผมก็ได้แต่ไปส่งภรรยาทุกอาทิตย์ที่โบสถ์และคอยรับเธอกลับ โดยไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไร ส่วนลูกชายก็ฝากไว้กับคุณตาคุณยาย เป็นอย่างนี้อยู่หลายปี ต่อมา เธอก็พาลูกไปโบสถ์ด้วย เธอเข้าไปในโบสถ์ ฟังเทศน์ ส่วนผมก็เลี้ยงลูกอยู่ข้างล่างของอาคาร ลูกก็วิ่งเล่นซนไปตามประสา ผมเองก็เคยหงุดหงิดกับภรรยา เพราะไม่เข้าใจว่าเธอทำอะไรอยู่ บางทีก็ออกมาจากโบสถ์ช้า เธอบอกว่ามีพิธีศีลมหาสนิท ผมก็ไม่เข้าใจ ไม่อยากรับรู้ รู้อย่างเดียวว่าตัวเองเหนื่อย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำๆ กันทุกอาทิตย์
จนประมาณ พ.ศ. 2539 ผมก็ได้บอกกับภรรยาว่าผมเบื่อที่ต้องมาส่งเธอถึงสุขุมวิทซอย 6 ซึ่งไกลและรถติด เธอจึงได้ย้ายมาโบสถ์ที่ปากเกร็ดซื่งอยู่ในเครือเดียวกับใจสมาน ผมรู้สึกสบายขึ้น ลูกชายก็เข้าชั้นเรียนเด็กเล็กที่โบสถ์ แต่ชอบออกมาเล่นข้างนอก ผมก็ต้องรับภาระดูแลลูกอีก จึงเริ่มไม่พอใจ เริ่มมีคำถามว่าทำไมต้องมาทำอย่างนี้ มาส่งเธอเพื่อให้เธอมีความสุข ให้เธอ “ได้มีชีวิตนิรันดร์” แล้วตัวผมล่ะ ไม่เห็นได้อะไรเลย มีแต่เหนื่อย ชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้น ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมไม่ตอบแทนผมบ้าง แต่พระเจ้าก็ให้อภัยคนโง่ คนบาปอย่างผม ต่อไปนี้คือความจริงซึ่งแสดงถึงพระเมตตาต่อผม แท้ที่จริงแล้วผมและภรรยามิได้ขาดแคลนอะไรเลย พระเจ้าทรงอวยพรในคำอธิษฐานของภรรยา ให้เรามีลูก มีบ้าน มีรถ มีการงานที่มั่นคง แต่ตัวผมเองกลับไม่พอ เพราะความเขลาที่เอาแต่ร้องขอการตอบแทน ผมทำงานรับราชการอยู่ที่กรมส่งเสริมการเกษตร ผมสอบภาษาอังกฤษขึ้นบัญชีกรมไว้ทุกครั้งที่มีการเปิดสอบ ผมอยากได้ทุนเรียนต่อ แต่ก็ไม่เคยสมหวังสักที ขึ้นบัญชีไว้ก็ไม่มาถึง มีแต่ทุนฝึกอบรม ไปสอบกรมวิเทศสหการ คะแนนก็ไม่ติดอันดับรับทุน เฉียดไปเฉียดมาอยู่อย่างนั้น
แต่แล้ว ตอนปลายปี 2539 ผมได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนกรมฯ ไปที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสมัครทุนเรียนต่อปริญญาเอก เป็นทุนของเซียร์ก้า (SEARCA) ผมก็ส่งใบสมัครไปตามขั้นตอน ปีนั้นผมอายุ 35 ย่างเข้า 36 ปี ซึ่งเต็มพิกัดพอดีของการสมัครทุนนี้ พูดง่ายๆ ก็คือพลาดแล้วหมดโอกาส ผมก็ได้รับการคัดเลือกจากใบสมัครเพื่อขึ้นบัญชีสอบสัมภาษณ์ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2540 โดยผู้แทนของศูนย์เซียร์ก้า ได้โทร. มานัดวันสอบโดยระบุเวลาสถานที่ชัดเจน ผมก็ไปตามนัด ไปนั่งคอยอยู่ครึ่งวัน ไม่เห็นมีใครมา ปรากฏว่าเขาเปลี่ยนสถานที่สอบเป็นอีกตึกหนึ่ง ผมจึงต้องดั้นด้นไปตามคำบอก เมื่อมาถึงห้องสอบ เจ้าหน้าที่ถามผมว่าไปไหนมา เขาตัดชื่อออกจากคิวไปแล้ว ผมก็บอกว่าผมไม่รู้จริงๆ ขอความกรุณาให้ผมได้สอบด้วยเถิด ในที่สุด ผู้แทนของศูนย์เซียร์ก้าก็เมตตาให้เข้าสอบได้ เมื่อคิดย้อนไปในเวลานั้น ผมเองยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังไม่รู้ว่านั่นคือการจัดเตรียมของพระเจ้า หลังจากนั้น 2 เดือน ผลสอบประกาศว่าผมได้รับทุน ให้ผมยืนยันว่าจะเรียนที่ไหนในกลุ่มอาเซียน แต่ผมตัดสินใจเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพราะผมจบปริญญาตรีและโทที่นี่และผมมีครอบครัวต้องดูแล อีกทั้งหัวข้อวิทยานิพนธ์ผมก็เลือกทำที่ประเทศไทย แหล่งทุนก็อนุญาต แต่มีเงื่อนไขว่ามหาวิทยาลัยต้องรับ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าการติดต่อระหว่างแหล่งทุนกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นอย่างไร มารู้ทีหลังว่าผมแทบหมดสิทธิ์เรียนเพราะหาที่รับไม่ได้ เนื่องจากผมต้องการเรียนโครงการนานาชาติด้านการพัฒนาเกษตรเขตร้อน เจาะจงวิชาที่ส่งเสริมการเกษตรตามหน่วยงานที่ผมสังกัดอยู่ แต่ด้วยภาควิชาส่งเสริมการเกษตรและนิเทศศาสตร์เกษตรไม่เปิดปริญญาเอก การรับนิสิตปริญญาเอกมีเงื่อนไขมากมาย ทั้งการตีพิมพ์บทความวิชาการเป็นภาษาอังกฤษกี่เล่ม กี่ฉบับ ต้องมีคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับรองศาสตราจารย์ขึ้นไปและต้องเป็นดอกเตอร์ด้วย ผมไม่รู้จักใครสักคน แต่ผมก็ยอมรับเงื่อนไขในต้นเดือนกันยายน 2540 หากไม่สามารถดำเนินการครบตามเงื่อนไขของมหาวิทยาลัยและของแหล่งทุน ตลอดจนการอนุมัติตัวบุคคล การลงนามในสัญญาโดยอธิบดี และอื่นๆ อีกมากมายได้ทันภายในสิ้นเดือนนั้น ถือว่าทุนเป็นโมฆะ
ด้วยพระคุณของพระเจ้า ผมสามารถดำเนินการได้ครบและทันเวลาพอดี สามารถเข้าเรียนได้ในเทอม 2 ของปีการศึกษา 2540 – 2541 ด้วยเงื่อนไขที่กรมฯ อนุมัติให้เรียนได้โดยไม่เสียเวลาราชการ แต่ผมเองก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมากทั้งงาน การเรียน ครอบครัว และความเขลาความเกียจคร้านของตัวเอง แหล่งทุนให้เรียนแค่ 3 ปี หรือ 36 เดือน ผมยังไม่จบ ขอขยายทุนไม่ได้ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ค่าเทอมก็แพง โทษใครไม่ได้เลย ภรรยาผมก็คอยเป็นกำลังใจให้ตลอด เธออธิษฐานเผื่อผม นำข้อพระคัมภีร์มาหนุนใจ ผมก็รู้สึกดีขึ้น แต่แม้กระนั้น ผมก็ยังไม่เชื่อพระเจ้า ชีวิตผมมีโอกาสในหน้าที่การงาน ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ผมปรับตำแหน่งได้ด้วยผลงาน ผมก็ยิ่งถอยจากการเรียน ภรรยาผมคอยเตือน ผมก็ไม่ฟัง ปล่อยเรื่องเรียนให้ผ่านไป กลับไปมุ่งเรื่องความก้าวหน้าในราชการซึ่งดึงเราให้ห่างจากความสำเร็จด้านการศึกษา ดูเหมือนผมจะไม่จบแน่นอน
จนวันหนึ่ง ผมถูกย้ายจากงานที่ผมรักแบบตั้งตัวไม่ทัน ผมงง สับสน ผิดหวัง แต่พระเจ้ามีแผนการสำหรับชีวิตผม ทรงถอดผมออกมาแต่ก็มิได้ทำให้ผมตกต่ำ ภรรยาผมก็คอยให้กำลังใจ ผมก็สงบ อดทนทำงานใหม่ที่ไม่ถนัด เริ่มหันกลับมามุเรื่องเรียนอีกครั้งหนึ่ง เป็นเทอมที่ 10 ซึ่งเป็นเทอมสุดท้าย หากไม่จบก็รีไทร์ อีกทั้งประธานกรรมการที่ปรึกษาท่านก็จะเกษียณอายุ จากมรสุมชีวิตครั้งนี้ ในวันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม 2545 ประมาณ 10 ปี หลังจากที่ผมเริ่มรู้จักว่าพระเจ้าคือใครแต่ไม่ได้ใส่ใจ ผมได้ตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าที่คริสตจักรใจสมานรามคำแหง 68 วันนั้น ผมมีความสงบในชีวิตมาก รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว มนุษย์คือคนบาป แต่ไม่รู้ว่าจะหลุดจากความบาปได้อย่างไร พระเจ้าทรงอนุญาตให้มนุษย์ได้คืนดีกับพระองค์ได้โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้เป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นมนุษย์ที่เป็นขึ้นมาจากความตาย พระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้น หลังจากนั้น ผมมุ่งมั่นที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ให้จบ ผมต้องทำทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษเพราะเป็นข้อบังคับของหลักสูตร งานของผมแก้แล้วแก้อีกนับสิบครั้ง มีภรรยาเป็นผู้พิมพ์ให้ เธอคือกำลังใจที่ดีเยี่ยมและมีความอดทนเป็นเยี่ยม พระพรของพระเจ้ามีมาทางภรรยาผมมากมาย อาจารย์ที่ปรึกษาก็ช่วยมาก ผมมีเวลาแค่ 4 เดือน หากไม่สำเร็จ สิ่งที่เพียรพยายามมา 5 ปีก็เป็นศูนย์ แต่ด้วยพระพรจากพระเจ้า ผมได้รับคำแนะนำ การช่วยเหลือ แก้ไข จนเป็นวิทยานิพนธ์ที่ดูดีขึ้น
ในวันที่ 30 กันยายน 2545 อาจารย์ที่ปรึกษาของผมจะเกษียณอายุวันนี้ ผมได้สอบป้องกันวิทยานิพนธ์ ซึ่งเป็นการสอบครั้งสุดท้าย สามารถขออนุมัติสอบได้ทันเหมือนปาฏิหารย์ ได้ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมาช่วยสอบ ผมสอบผ่านและมีเวลาแก้ไขงานให้เสร็จใน 2 สัปดาห์ มิฉะนั้น ต้องลงทะเบียนเรียนใหม่เพื่อขอคืนสภาพเป็นนิสิตอีก 1 ปี ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายอีก 1 แสนบาท แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้า ผมดำเนินการได้ทันเวลาพอดี
ในปี 2545 นั้นผมอายุ 40 ปีเต็ม ผมตั้งใจไว้ว่าจะรับบัพติศมาเป็นคริสเตียนอย่างสมบูรณ์แบบ และจะต้องจบปริญญาเอก ย้อนหลังไปในวันที่ผมรับเชื่อในเดือนพฤษภาคม 2545 ผมทราบจากภรรยาว่าก่อนรับบัพติศมา ต้องมีการเรียนพระคัมภีร์และมีผู้รับรอง ซึ่งช่วงนั้น ผมก็วุ่นทั้งงาน ทั้งวิทยานิพนธ์ แต่ด้วยพระพรของพระเจ้า ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2545 ผมได้มีโอกาสเรียนพระคัมภีร์เพื่อเตรียมรับบัพติศมาโดยไปเรียนกับคุณป้าโสภา เยื้อนแย้ม และท่านเป็นผู้รับรองให้ และแล้วในวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2545 ผมก็เข้าพิธีรับบัพติศมา หมายความว่าผมได้ฝังตรึงความบาปไว้กับกางเขนของพระเยซูคริสต์เจ้า และได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้า ผมได้รับคำตอบทุกประการทั้งการเป็นคริสเตียนสมบูรณ์ และการจบปริญญาเอก ไม่แต่เท่านั้น ในภาวะการปรับโครงสร้างราชการ ผู้บังคับบัญชาของผมได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ผมดำรงตำแหน่ง “หัวหน้ากลุ่มงานส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตร” ซึ่งเป็นภาระกิจที่สำคัญของกรมฯ นอกจากนั้น พระเจ้ายังเมตตาช่วยแก้ปัญหาอาการป่วยเรื้อรังด้วยอาการหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท ซึ่งผมเจ็บมาตั้งแต่ปี 2530 คือ 16 ปีมาแล้ว รักษาไม่หาย พระองค์ทรงรักษาผมผ่านทางคำอธิษฐานของพี่น้องคริสเตียนและพระพรจากข่าวสารการแพทย์ซึ่งเพิ่มความรู้ให้แก่เรา ในขณะนี้ ผมมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น ทุกอย่างเป็นความลงตัวที่ยากจะหาพบได้ ขอพระเจ้าทรงเจิมและทรงนำชีวิตของครอบครัวผม เพื่อเราจะได้ทำคุณประโยชน์ต่อภารกิจของพระองค์และต่อประเทศชาติ ขอให้เป็นชีวิตที่เกิดผลและเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ตลอดไป
สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอขอบพระคุณ ดร. ทศพร มณีรัตน์ สำหรับคำพยานซึ่งมีค่าและเป็นพรแก่ผู้อ่านอย่างมากมาย
- ดร. ทศพร มณีรัตน์