ตรีเอกานุภาพควรแปลว่าอย่างไร? 1/12

ตรีเอกานุภาพควรแปลว่าอย่างไร? 

ถาม ตรีเอกานุภาพควรแปลว่าอะไร?
ตอบ ก่อนอื่นต้องขอตอบว่า คำนี้ไม่ได้ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นคำสอนเกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้าที่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คำๆ นี้เป็นคำที่แปลมาจากภาษาอังกฤษคือคำว่า Trinity ซึ่ง มีความหมายกว้างๆ ว่า สามรวมเป็นหนึ่ง นักวิชาการหลายท่านจึงเสนอว่าควรจะแปลว่า ตรีเอกภาพ เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องภาษาศาสตร์ แต่เป็นเรื่องทางศาสนศาสตร์ หรือ หลักข้อเชื่อของคริสตชนที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวแต่ปรากฏเป็นสาม พระภาค หรือ สามบุคคล ได้แก่ พระบิดา พระบุตร (หมายถึงพระเยซูคริสต์) และพระวิญญาณบริสุทธ์ิ (หรือพระจิต) แนวความคิดนี้กว่าจะเป็นที่ยอมรับสำหรับคริสตชนนี้ต้องใช้เวลาโต้แย้งกันใน ระดับผู้นำคริสตจักรเป็นเวลาถึงร้อยกว่าปี เพราะไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิดว่า คริสตชนมีพระเจ้าสามองค์ แต่ต้องการถ่ายทอดว่า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระเจ้าองค์เดียว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์

ในพระธรรมยอห์น 17:11 พระเยซูได้อธิษฐานเผื่อสาวกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนกับพระองค์กับ พระบิดา และได้กล่าวซำ้อีกในข้อ 21 เมื่ออธิษฐานเผื่อคนที่สาวกจะนำมาวางใจในพระเยซูในอนาคตด้วย

พระเยซูไม่ทรงปิดบังความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างพระเจ้ากับพระองค์ พระเยซูทรงเรียกพระเจ้าว่า พระบิดาต่อหน้าพวกยิว จนพวกเขาโกรธดังปรากฏในพระธรรมยอห์น 5:17-18

แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เรื่อยๆ และเราก็ทำด้วย” เพราะเหตุนี้พวกยิวยิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ ไม่ใช่เพราะพระองค์ฝ่าฝืนกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังเรียกพระเจ้าเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า จากข้อความจากพระคัมภีร์ตอนนี้ทำให้เราเห็นว่า คนยิวถือว่า การเรียกพระเจ้าพระบิดาคือการทำตัวเสมอพระเจ้า หรือ พระเยซูทำตัวเป็นพระเจ้านั่นเอง

นอกจากนี้ในพระธรรมยอห์น 3:16 ได้กล่าวว่า “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” และในพระธรรมยอห์น 5:24 พระเยซูได้ตรัสว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครฟังคำของเราและวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษา แต่ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว” ในบริบทนี้ผู้ที่ใช้พระเยซูมาคือพระเจ้า ใครก็ตามที่วางใจในพระเยซู หรือวางใจในพระเจ้าก็ได้ ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน นั่นก็คือพระเยซูและพระเจ้าทรงมีฐานะเท่าเทียมกัน

อันที่จริงผู้ที่มีสิทธิอำนาจในการพิพากษาคือพระเจ้า แต่พระองค์ได้ทรงมอบสิทธิอำนาจนั้นแก่พระบุตรตามที่ได้กล่าวไว้ในพระธรรม ยอห์น 5:27 ที่ว่า “และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตร มนุษย์” แสดงว่า พระเยซูและพระบิดามีสิทธิอำนาจเท่าเทียมกัน แต่เมื่อพระเยซูได้เสด็จมาในโลกนี้ พระองค์ได้สละสิทธ์ิบางอย่าง ดังที่อาจารย์เปาโลได้กล่าวไว้ในพระธรรมฟีลิปปี 2:5 “จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์” ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่พระเยซูได้กล่าวกับพวกยิวในพระธรรมยอห์น 8:57-59

พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ?” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบเลี่ยงและเสด็จออกไปจากบริเวณพระวิหาร

พระเยซูไม่เพียงเสด็จมาจากสวรรค์ พระองค์ยังจะเสด็จกลับไปยังสวรรค์เพื่อเตรียมที่ให้กับเราด้วย ดังที่พระองค์ตรัสกับสาวกในพระธรรมยอห์น 14:2-3 ว่า “ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่าน ไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย” และเมื่อพระองค์จากพวกเราไปจัดเตรียมสถานที่ พระองค์ก็จะทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธ์ิมาอยู่กับเราตามที่กล่าวไว้ในพระธรรม ยอห์น 14:16-17 “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน”

ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าต่อตาสาวกนั้น พระองค์ได้ประทานพระมหาบัญชาแก่พวกเขาในพระธรรมมัทธิว 28:19 ว่า “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” ซึ่งเราจะเห็นว่า พระองค์ทรงให้นำ้หนักแก่ทั้งสามพระภาคเท่าเทียมกัน

ในคำลงท้ายของจดหมายฝากของอาจารย์เปาโลนั้น ท่านก็ได้อวยพรผู้รับจดหมายของท่านด้วยพระเจ้าทั้งสามพระภาคในพระธรรม 2 โครินธ์ 13:13 “ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ เป็นเจ้า ความรักของพระเจ้า และการมีส่วนกันที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายทุกคนเถิด”

สรุป เราควรแปลคำว่า ตรีเอกานุภาพ ใหม่ว่า ตรีเอกภาพ เพราะความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธ์ินั้นไม่เพียงเป็นเรื่องของอานุภาพ แต่เป็นเรื่องของสภาพ ฐานะ สิทธิอำนาจ ทั้งสามพระภาคนี้เป็นพระเจ้าองค์เดียว เพียงแต่มีบทบาทหน้าที่ต่างกันเท่านั้น

  • ศาสนาจารย์ ดร.เสรี หล่อกัณภัย
  • ภาพ www.christianity.com