ตัวกระจงผา มีลักษณะอย่างไร? ทำไมจึงปรับเปลี่ยนคำแปลจาก “ตั๊กแตน” เป็น “ตั๊กแตนปาทังก้า” และจาก “ตุ๊กแก” เป็น “จิ้งจก”?
มีผู้สนใจอยาก ทราบว่าในพระธรรมสุภาษิต 30:24-28 ตัวกระจงผา มีลักษณะอย่างไร? ทำไมจึงปรับเปลี่ยนคำแปลจาก “ตั๊กแตน” เป็น “ตั๊กแตนปาทังก้า” และจาก “ตุ๊กแก” เป็น “จิ้งจก” ? ดังนั้น เพื่อให้ผู้ถามและผู้อ่านได้รับประโยชน์มากที่สุด เราจะอธิบายความหมายของทั้งตอนนี้และตอบคำถามไปในเวลาเดียวกัน
มีสี่สิ่งในโลกที่เล็กเหลือเกิน
แต่มีปัญญามากเหลือล้น
มด เป็นประชากรที่ไม่แข็งแรง
แต่มันยังเตรียมอาหารของมันไว้ในฤดูแล้ง
ตัวกระจงผา เป็นประชากรที่ไม่มีกำลัง
แต่มันยังสร้างบ้านของมันในซอกหิน
ตั๊กแตนปาทังก้าไม่มีราชา
แต่มันทั้งหมดยังเดินขบวนเป็นแถว
จิ้งจกนั้น เจ้าเอามือจับได้
แต่มันยังอยู่ในพระราชวัง
มีสี่สิ่งในโลกที่เล็กเหลือเกิน แต่มีปัญญามากเหลือล้น สุภาษิต 30:24 ท่านอากูร์ได้พิเคราะห์ดูสิ่งมีชีวิตในโลก แล้วท่านเห็นสัตว์สี่ชนิดที่ดูเล็กน้อย แต่มีปัญญาเหลือล้นซ่อนอยู่ในชีวิตของพวกมัน พระธรรมข้อนี้เป็นบทนำและบทสรุปของตอนคือ สุภาษิต 30:24-28
เล็ก ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงขนาดอย่างเดียว แต่หมายถึงความสำคัญด้วย ดูตัวอย่าง ดาวิดเล็กน้อยในสายตาของเจสซีผู้เป็นบิดา ใน 1 ซามูเอล 16:10-11 ว่า แล้วเจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเลือกคนเหล่านี้” แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “พวกนี้เป็นบุตรชายทั้งหมดของท่านหรือ?” เจสซีตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องเหลืออยู่ นี่แน่ะ เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่” และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า “จงใช้คนไปนำเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่”
หรือ ดาวิดเล็กน้อยในสายตาของโกลิอัท ใน 1 ซามูเอล 17:42 ว่า เมื่อคนฟีลิสเตียมองดูและเห็นดาวิดก็ดูถูกเขา เพราะเขาเป็นคนหนุ่ม ผิวแดงๆ รูปร่างงามน่าดู
สุภาษิตตอนนี้กล่าวถึงสัตว์สี่ชนิดที่มีขีดจำกัด หรือ ความอ่อนแอ หรือปมด้อยในตัวของมันเอง แต่มันไม่ยอมให้สิ่งนั้นมาทำให้ชีวิตมันตกตำ่หรือไม่ปลอดภัย ตรงกันข้าม มันกลับแสดงให้โลกได้เห็นปัญญาของมัน คนเราก็เช่นกันมีทั้งจุดดีและจุดเสียในตัว แต่เราไม่ควรปล่อยให้จุดเสียมาทำลายเรา สัตว์ทั้ง
สี่ชนิดสอนให้เรามีปัญญา
มด
มด เป็นประชากรที่ไม่แข็งแรง แต่มันยังเตรียมอาหารของมันไว้ในฤดูแล้ง สุภาษิต 30:25
ปัญญาของมดคือ
1. การมองการณ์ไกล (Foresight) ขณะมดอยู่ในฤดูร้อน มันมองไปข้างหน้าในฤดูหนาวและเห็นความขัดสน ดังนั้น มันเก็บสะสมอาหารในปัจจุบันเพื่อพร้อมรับเหตุการณ์ที่จะมาถึง
2. ความขยันหมั่นเพียร (Diligence) มดทำงานท่ามกลางอากาศร้อน ดูสุภาษิต 6:6-8 ว่า
คนเกียจคร้านเอ๋ย ไปหามดไป๊
พิเคราะห์ดูทางของมัน และจงมีปัญญา
โดยปราศจากหัวหน้า
เจ้าหน้าที่หรือผู้ปกครอง
มันเตรียมอาหารของมันในฤดูแล้ง
และสะสมเสบียงของมันในฤดูเกี่ยว
(หมายเหตุ ฤดูแล้ง มิได้หมายถึงฤดูที่ไม่มีอาหาร แต่หมายถึงฤดูร้อนซึ่งเริ่มต้นราวเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกันยายน ฤดูนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวพืชผลในปาเลสไตน์ ดู สุภาษิต 10:5, 30:25 ส่วนฤดูหนาวซึ่งมีอากาศเย็นและฝนตกบ้างนั้นเริ่มต้นราวเดือนตุลาคมจนถึง เดือนเมษายน ฤดูหนาวเป็นฤดูแห่งการไถพรวนและการเพาะปลูก ดู สุภาษิต 20:4)
3. การรู้จักเก็บหอมรอมริบ (Collection) มดเก็บสะสมอาหารในรัง
ดังนั้น เราทราบปัญญาของมดที่ช่วยชีวิตมันและครอบครัวให้พ้นจากการอดตาย แต่เรามีปัญญาแบบมดหรือไม่? อย่างไร? เราจะประยุกต์ปัญญานั้นเข้ากับชีวิตเราอย่างไร? ทำอย่างไร จึงจะได้ประโยชน์แท้จริงจากการเรียนรู้ขีดจำกัดและปัญญาของมด? มดไม่เพียงรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น มันยังรู้จักเตรียมการให้พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์นั้นด้วย เมื่อถึงเวลานั้น มันก็ไม่วิตกกลัวเพราะได้เตรียมพร้อมแล้ว นี่คงเหมือนกับภรรยาที่เลิศประเสริฐผู้มองการณ์ไกลได้จัดเตรียมเสื้อสองชั้น ให้ทุกคนในครอบครัวได้สวมใส่ในฤดูหนาว ดู สุภาษิต 31:21 หรือตัวอย่าง โนอาห์ต่อนาวาเพื่อพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระเจ้าทรงเผยให้โนอาห์ทราบหายนะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นแก่โลกในสมัยของท่าน และทรงบัญชาให้ท่านเตรียมการณ์และลงมือต่อนาวาเพื่อรับมือกับสถานการณ์นั้น ใน ปฐมกาล 6:14-17, 22 พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าจงต่อเรือด้วยไม้สนโกเฟอร์ แล้วทำเรือเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างในข้างนอก จงต่อเรือนั้นตามแบบนี้ คือ ยาว 133 เมตร กว้าง 22 เมตร สูง 13 เมตร จงทำช่องสำหรับเรือให้เสร็จโดยให้ห่างจากข้างบน 44 เซนติเมตร จงตั้งประตูเรือที่ด้านข้าง และทำดาดฟ้าชั้นล่าง ชั้นที่สองและที่สาม เพราะดูเถิด เราเองจะเป็นผู้ทำให้น้ำท่วมแผ่นดิน เพื่อทำลายมนุษย์และสัตว์ใต้ฟ้าที่มีลมปราณ ทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินจะตายสิ้น, 22พระเจ้าทรงบัญชาให้โนอาห์ทำอย่างไร โนอาห์ก็ทำอย่างนั้นทุกประการ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ โยเซฟสะสมข้าวในอียิปต์สำหรับช่วงเวลากันดารอาหาร เมื่อท่านทราบว่าจะมีความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินเจ็ดปี และหลังจากนั้นจะมีการขาดแคลนอาหารรุนแรงเจ็ดปี ใน ปฐมกาล 41:47-49 ว่า ใน เจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น แผ่นดินก็เกิดผลมากมาย โยเซฟสะสมอาหารของทั้งเจ็ดปีซึ่งมีอยู่ในดินแดนอียิปต์ไว้หมด เก็บอาหารไว้ในเมืองต่างๆ อาหารที่เกิดขึ้นในที่ดินรอบเมืองใดก็เก็บไว้ในเมืองนั้น โยเซฟสะสมข้าวไว้ดุจเม็ดทรายในทะเล มากมายจนต้องหยุดนับเพราะนับไม่ถ้วน หรือตัวอย่างสุดท้ายคือ พ่อบ้านที่ไม่ซื่อสัตย์เตรียมการไว้เพื่ออนาคตของตัวเอง เมื่อทราบว่าในไม่ช้า นายก็จะไล่เขาออกจากงาน ใน ลูกา 16:3-8 พระเยซูตรัสว่า
พ่อบ้านคนนั้นจึงคิดในใจว่า ‘ข้าจะทำอะไรดี เพราะข้ากำลังจะถูกนายถอดออกจากหน้าที่แล้ว? จะไปขุดดินก็ไม่มีแรง จะไปขอทานก็อายเขา ข้ารู้แล้วว่าจะทำอะไรดี เพื่อว่าเมื่อข้าถูกถอดจากหน้าที่แล้ว คนอื่นๆ จะยังรับข้าไว้ในบ้านของเขา’ คนนั้นจึงเรียกลูกหนี้ของนายมาทีละคน แล้วถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายของข้าพเจ้าเท่าไหร่?’ เขาตอบว่า ‘น้ำมันร้อยถัง’ พ่อบ้านจึงบอกเขาว่า ‘ไปเอาบัญชีของท่านมา นั่งลงแล้วแก้เป็นห้าสิบถังเร็วๆ เข้า’ แล้วเขาก็ถามอีกคนหนึ่งว่า ‘ท่านเป็นหนี้เท่าไหร่?’ เขาตอบว่า ‘ข้าวสาลีร้อยกระสอบ’ พ่อบ้านจึงบอกว่า ‘เอาบัญชีของท่านมาแก้เป็นแปดสิบ’ แล้วเศรษฐีก็ชมพ่อบ้านอสัตย์นั้น เพราะเขาทำด้วยความฉลาด เพราะว่าลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขามากกว่าลูกของ ความสว่าง เจ้านายชมเขาตรงที่เขารู้จักคิด รู้จักเตรียมการว่าจะทำอย่างไร จึงจะมีมิตรสหายคอยอุปถัมภ์ในยามยาก อนึ่งในอุปมาเรื่องนี้ พระเยซูมิได้ทรงสนับสนุนการทำทุจริตแต่อย่างใด (นักวิชาการบางคนอธิบายว่า พ่อบ้านไม่ซื่อสัตย์ในการดูแลทรัพย์สินของเศรษฐี แต่เมื่อรู้ว่าจะถูกไล่ออก ก็เรียกลูกหนี้มาและให้แก้บัญชีหนี้โดยหักส่วนเปอร์เซนต์ชอบธรรมที่พ่อบ้าน พึงได้รับออก ดังนั้นลูกหนี้จึงได้รับประโยชน์เพราะพ่อบ้าน) พระเยซูทรงสรุปว่า คนที่ซื่อสัตย์ในของเล็กน้อยจะซื่อสัตย์ในของมากด้วย และคนที่ไม่ซื่อสัตย์ในของเล็กน้อยก็จะไม่ซื่อสัตย์ในของมากเช่นกัน (ลูกา 16:10)
ตัวกระจงผา
ตัวกระจงผา เป็นประชากรที่ไม่มีกำลัง แต่มันยังสร้างบ้านของมันในซอกหิน สุภาษิต 30:26
กระจงผาเป็นสัตว์สี่เท้า เท้าหน้ามีสี่นิ้ว เท้าหลังมีสามนิ้ว มีเล็บเหมือนกีบเท้า สีนำ้ตาล กินพืชเป็นอาหาร มีขนาดเท่ากระต่าย มีหูกลมเล็ก ชอบอยู่กันเป็นฝูง เคลื่อนไหวรวดเร็ว มันอาศัยอยู่ตามหินผา มันชำ่ชองการปีนป่ายหน้าผาหรือต้นไม้เพราะที่ฝ่าเท้ามันมีเมือกที่ต่อมพิเศษ ในร่างกายผลิตออกมา ทำให้มัน
เคลื่อนไหวในที่ลาดชันได้ง่าย พบได้ตั้งแต่หุบเขาทะเลตายไปจนถึงภูเขาเฮอร์โมน และเนื่องจากมันเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ มันจึงเป็นสัตว์มลทินดู เลวีนิติ 11:5
ปัญญาของตัวกระจงผาคือ การรู้จักตัวเองว่าอ่อนแอ และรู้จักป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากผู้ล่าโดยการหาที่อยู่ในซอกหิน ซึ่งทำให้ศัตรูยากที่จะเข้าถึงตัวมันได้ ดู สดุดี 104:18 ภูเขาสูงเป็นของเลียงผาหินเป็นที่ลี้ภัยของตัวกระจงผา
บทเรียนจากตัวกระจงผาก็คือ การรู้จักและยอมรับจุดอ่อนของตัวเอง และการระวังตัว เพื่อไม่ให้ศัตรูจู่โจมทำร้าย อนึ่ง เราต้องแยกแยะให้ได้ว่า ระวัง ต่างจาก ระแวง กล่าวคือ ระวังนั้นตั้งอยู่บนเหตุผลและความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น แต่ระแวงนั้นไม่มีเหตุผลที่ควร พระคัมภีร์สอนให้เราระวัง มิใช่ระแวง ดู สุภาษิต 22:3 ว่า คนสุขุมเห็นอันตรายและซ่อนตัวเสียแต่คนรู้น้อยเดินเรื่อยไปและรับอันตรายนั้น และ 1 โครินธ์ 10:12 ว่า เพราะเหตุนี้ คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวัง ไม่ให้ล้มลง ดูตัวอย่างของอากูร์ที่รู้ว่า ตัวเองแพ้ความมั่งคั่งและความยากจน ดังนั้น จึงได้ระวังตัวและอธิษฐานขอพระเจ้าทรงปกป้องท่านไว้จากความมั่งคั่งและจาก ความยากจน ด้วยเกรงว่าท่านจะทำบาปต่อพระองค์ ดู สุภาษิต 30:7-9 ว่า
ข้าพระองค์ขอสองสิ่งจากพระองค์
ขออย่าทรงปฏิเสธ ก่อนข้าพระองค์ตาย
ขอให้ความเท็จและคำมุสาไกลจากข้าพระองค์
ขออย่าประทานความยากจนหรือความมั่งคั่งแก่ข้าพระองค์
ขอทรงเลี้ยงข้าพระองค์ด้วยอาหารที่จำเป็นแก่ข้าพระองค์
เกรงว่าข้าพระองค์จะอิ่ม และปฏิเสธพระองค์
แล้วพูดว่า “พระยาห์เวห์เป็นใครเล่า?”
หรือเกรงว่าข้าพระองค์จะยากจนและขโมย
และลบหลู่พระนามพระเจ้าของข้าพระองค์
หรือตัวอย่างของโยเซฟที่ระมัดระวังไม่อยู่โดยลำ•พังกับนายผู้หญิงเกรงว่าอาจเกิดเหตุไม่ดีขึ้น ดู ปฐมกาล 39:10-11 ว่า แม้ นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่าท่านก็ไม่ยอมฟังนาง คือที่จะไปนอนกับนางหรืออยู่ด้วยกันกับนาง วันหนึ่งท่านเข้าไปในบ้านเพื่อทำงานของท่าน ไม่มีชายประจำบ้านคนใดอยู่ในนั้น หรือตัวอย่างจาก คำอธิษฐานส่วนหนึ่งที่พระเยซูตรัสสอนใน มัทธิว 6:13 ที่สอนให้สาวกระวังตัว ไม่ประมาทต่อการทดลอง โดยการขอให้พระเจ้าช่วยให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายและความยากลำบาก ดูข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ประกอบด้วยคือ สดุดี 17:7-9 ว่า
ขอทรงสำแดงความรักมั่นคงของพระองค์อย่างอัศจรรย์เถิด
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงช่วยบรรดาผู้ลี้ภัย
ให้พ้นจากผู้ที่ลุกขึ้นสู้พวกเขาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
ขอทรงรักษาข้าพระองค์ดังแก้วตา
ขอทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้ใต้ร่มปีกของพระองค์
ให้พ้นจากคนอธรรมผู้ล้างผลาญข้าพระองค์
และจากศัตรูอำมหิตที่ล้อมข้าพระองค์ไว้
และ สดุดี 32:7 ว่า
พระองค์ทรงเป็นที่กำบังของข้าพระองค์
พระองค์ทรงปกป้องข้าพระองค์จากความยากลำบาก
พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยกู้ เส-ลาห์
ตั๊กแตนปาทังก้า
ตั๊กแตนปาทังก้าไม่มีราชา แต่มันทั้งหมดยังเดินขบวนเป็นแถว สุภาษิต 30:27
เหตุที่พระคัมภีร์ไทยฉบับ 1971 แปลว่า ตั๊กแตน แต่ฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า ตั๊กแตนปาทังก้า ก็เพราะ หนึ่ง ฉบับมาตรฐานต้องการแปลคำฮีบรูอย่างเสมอต้นเสมอปลาย สอง ฉบับมาตรฐานต้องการให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนว่า
เป็นตั๊กแตนชนิดที่พระ เจ้าทรงใช้เป็นเครื่องมือในการเอาโทษฟาโรห์และคนอียิปต์เมื่อไม่ยอมฟังโมเสส ผู้รับใช้ของพระองค์ ดู อพยพ 10:4-6 สาม คือตั๊กแตนทะเลทรายที่มีอานุภาพทำลายสูง และเพื่อให้เข้ากับบริบทไทย เกษตรกรไทยทราบพิษสงของตั๊กแตนปาทังก้าดี ดังนั้นฉบับมาตรฐานจึงเลือกที่จะแปล ว่าตั๊กแตนปาทังก้า และมีเชิงอรรถว่า ภาษาฮีบรูน่าจะหมายถึงตั๊กแตนทะเลทราย
ในพระธรรมสุภาษิตข้อนี้ ปัญญาของตั๊กแตนคือ
1. การมีระเบียบวินัยในตัวเอง (Self discipline) แม้ไม่มีผู้กำ•กับ หรือ ผู้บงการ หรือ ผู้ชี้แนะ มันก็รู้หน้าที่ของตัวเองดี มันรู้จักบังคับตัวเองให้ทำตามสามัญสำนึก
2. การทำงานร่วมกันเป็นทีม (Cooperation) มันรู้จักจังหวะ รู้จักเข้าจังหวะ รู้จักประสานงานกับคนอื่น
3. ความสามัคคี (Solidarity) มันมีใจเดียวกัน ทิศทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกันในการดำเนินการ หากเรารู้หน้าที่ของตนเองและทำ•งานอย่างแข็งขัน อีกทั้งรู้จักทำงานเข้ากับคนอื่นด้วยหน่วยงานหรือองค์กรที่เราอยู่นั้นก็จะ ก้าวหน้า
ในพระธรรมโยเอล พระเจ้าทรงใช้ตั๊กแตนเป็นเครื่องมือในการพิพากษาของพระองค์ ตั๊กแตนเป็นเหมือนกองทัพที่มีระเบียบวินัยและมีอำนาจในการทำลายสูงดู โยเอล 2:4-9 บรรยายให้เห็นภาพว่า
มันมีลักษณะเหมือนลักษณะของม้า
พวกมันวิ่งเหมือนม้าศึก
เหมือนเสียงของพวกรถรบ
พวกมันกระโดดอยู่บนยอดเขา
เหมือนเสียงแตกของเปลวไฟ
ที่ไหม้ตอข้าว
เหมือนกองทัพอันเกรียงไกร
ที่แปรกระบวนเข้าสงคราม
ชนชาติทั้งหลายต่างกลัวลานเมื่อเห็นมัน
ใบหน้าของทุกคนก็ซีดเซียว
พวกมันวิ่งเหมือนนักรบ
และปีนกำแพงเหมือนทหาร
ต่างก็เดินตามทางของตัวเอง
พวกมันเดินอย่างไม่แตกแถว
พวกมันไม่ชนกันเลย
ต่างก็เดินอยู่ในทางของตน
มันตะลุยฝ่าอาวุธ
และไม่มีอะไรอาจยับยั้งได้
พวกมันกระโดดเข้าไปในเมือง
มันวิ่งอยู่บนกำแพง
พวกมันปีนเข้าไปในบ้าน
มันเข้าไปทางหน้าต่างเยี่ยงโจร
จิ้งจก
จิ้งจกนั้น เจ้าเอามือจับได้ แต่มันยังอยู่ในพระราชวัง สุภาษิต 30:28
พระคัมภีร์ไทยฉบับ 1971 แปลว่า ตุ๊กแก ส่วนฉบับมาตรฐาน 2011 แปลว่า จิ้งจก คำฮีบรูคือ ซึ่งอาจหมายถึงสัตว์เลื้อยคลานทั้งสองอย่างข้างต้น แต่หากพิเคราะห์ดูขนาดและการจับได้อย่างไม่ลำบากใจ เราก็เห็นว่า จิ้งจก น่าจะเหมาะสมในคำแปลตรงนี้มากกว่า ส่วนพระคัมภีร์บางฉบับแปลว่า แมงมุม นั้นเห็นว่าแปลไม่ถูกต้อง
ในพระธรรมสุภาษิตข้อนี้ ปัญญาของจิ้งจกคือ ไหวพริบ ปฏิภาณ ความคล่องแคล่วว่องไว การไม่ยึดติดกับระบอบหรือขนบธรรมเนียมปฏิบัติในอดีต แต่ยืดหยุ่นปรับยุทธวิธีให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อบรรลุเป้าหมาย จิ้งจกมิใช่สัตว์อันตราย มันหาแมลงกินตอนกลางคืน มันสลิบตัวผ่านเข้ารอยแยกหรือช่องแคบๆ ได้มันสามารถพรางตัวโดยเปลี่ยนสีตัวเองให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้ ดูตัวอย่างของดาวิดที่เลือกชุดออกศึกและอาวุธที่เหมาะกับตัวเอง แทนที่จะเลือกตามที่กษัตริย์ซาอูลเห็นว่าดี ใน 1 ซามูเอล 17:38-40 มีใจความว่า แล้วซาอูลก็ทรงแต่งดาวิดด้วยเครื่องทรงของพระองค์ ทรงสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะของเขา และทรงสวมเสื้อเกราะให้เขา และดาวิดก็คาดดาบทับเครื่องอาวุธ เขาพยายามเดินดู เพราะเขาไม่ชิน แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “ข้าพระบาทไม่สามารถสวมเครื่องเหล่านี้ออกไป เพราะว่าข้าพระบาทไม่ชิน” ดาวิดจึงปลดออกจากเขา แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ในมือ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ แล้วเขาก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น
หรือตัวอย่างของเปาโล ที่ยินดีปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อจะนำพวกเขามาถึงความรอด ใน 1 โครินธ์ 9:19-23 ความว่า แม้ ว่าข้าพเจ้าเป็นไทโดยไม่ได้อยู่ใต้ใคร ข้าพเจ้าก็ยังยอมเป็นทาสของทุกคน เพื่อจะได้คนมามากยิ่งขึ้น ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนยิว เพื่อจะได้พวกยิวมา ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้นมา ต่อพวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนนอกธรรมบัญญัติ (ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์) เพื่อจะได้พวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้นมา ต่อพวกคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้พวกคนอ่อนแอมา ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกแบบต่อทุกคน เพื่อช่วยบางคนให้รอดโดยทุกวิถีทาง ข้าพเจ้าทำทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น หรือตัวอย่างของชายสี่คนที่คิดหาวิธีที่จะนำเพื่อนง่อยไปพบพระเยซูโดยการเจาะดาดฟ้าแล้วหย่อนเพื่อนลงไป ดู มาระโก 2:4
ดังนั้น จิ้งจกจึงสอนให้รู้จักการพลิกแพลงวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับแนวทางหรือวิถีเดิมที่เคยทำกันมาเพราะเมื่อสถานการณ์ เปลี่ยน วิธีการก็ควรปรับให้เหมาะแก่บริบทใหม่อย่างไรอย่างนั้น
- อ.ปัญญา โชชัยชาญ