ทำไมคริสตชนไทยจึงต้องอ่านพระคัมภีร์เดิม? 3/15

ทำไมคริสตชนไทยจึงต้องอ่านพระคัมภีร์เดิม?

พระคัมภีร์เดิมเป็นของคนยิวพวกเดียวหรือเป็นของคริสตชนด้วย
ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่า พระคัมภีร์เดิม เป็นพระคัมภีร์ของคนยิวพวกเดียว เราเป็นคริสตชน เราได้รับความรอดแล้ว เราไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมอีกต่อไป เราอ่านแต่พระคัมภีร์ใหม่ก็พอ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง พระคัมภีร์ของคริสตชนนั้นประกอบด้วยพระคัมภีร์เดิมและใหม่ เมื่อคริสตชนพูดถึงพระคัมภีร์หมายถึงพระคัมภีร์เดิมและใหม่

ในสมัยของพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงกล่าวถึงพระคัมภีร์ พระองค์หมายถึงพระคัมภีร์เดิม เพราะในสมัยของพระองค์ พระคัมภีร์ใหม่ยังไม่ได้เกิดขึ้น พระเยซูได้อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์นั้น แท้ที่จริงเป็นพระสัญญาของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ได้ปรากฏกับสาวกของพระองค์หลายครั้ง ครั้งหนึ่งได้ปรากฏขณะที่พวกเขากำลังประชุมอยู่

พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่​เป็น​ถ้อย​คำ​ของ​เรา ซึ่ง​เรา​บอก​ไว้​กับ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​ขณะ​ที่​เรา​ยัง​อยู่​กับ​ท่าน​ว่า บรร​ดา​ถ้อย​คำ​ที่​เขียน​ไว้​ใน​หมวด​ธรรม​บัญ​ญัติ​ของ​โม​เสส ใน​หมวด​ผู้​เผย​พระ​วจนะ และ​ใน​หมวด​เพลง​สดุดี​ที่​กล่าว​ถึง​เรา​นั้น จำ​เป็น​จะ​ต้อง​สำ​เร็จ”แล้ว​พระ​องค์​ทรง​ช่วย​ให้​ใจ​ของ​พวก​เขา​สว่าง​เพื่อ​จะ​ได้​เข้า​ใจ​พระ​คัม​ภีร์พระ​องค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “มี​ถ้อย​คำ​เขียน​ไว้​อย่าง​นั้น​ว่า พระ​คริสต์​จะ​ต้อง​ทน​ทุกข์​และ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย​ใน​วัน​ที่​สามและ​จะ​ต้อง​ประ​กาศ​ทั่ว​ทุก​ประ​ชา​ชาติ​ใน​พระ​นาม​ของ​พระ​องค์​เรื่อง​การ​กลับ​ใจ​ใหม่ เพื่อ​การ​ยก​บาป โดย​เริ่ม​ต้น​ที่​กรุง​เย​รู​ซา​เล็ม” ( ลูกา 24:44-47)

พระเยซูคริสต์ทรงอ้างพระคัมภีร์เดิมครบทั้งสามหมวด คือหมวดธรรมบัญญัติ หมวดผู้เผยพระวจนะ และหมวดเพลงสดุดีหรือหมวดข้อเขียน ซึ่งวิธีการแบ่งหมวดที่พระเยซูคริสต์ทรงกล่าวถึงนี้เป็นการแบ่งหมวดตามการแบ่งหมวดของคนยิว พระองค์ได้ย้ำว่า  สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์นั้นจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม และเป็นสิ่งที่จะต้องประกาศไปทั่วโลก ดังนั้น หากเราไม่อ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะไม่มีเนื้อหาที่จะประกาศ

เรื่องราวในพระคัมภีร์ใหม่ไม่ใช่เรื่องแต่ง
ในสมัยคริสตจักรยุคแรกอัครสาวกเปโตรถูกกล่าวหาว่าเอาเรื่องนิยายมาเล่าให้ฟัง ท่านจึงได้ตอบโต้ว่า “เพราะ​ว่า​เรา​ไม่​ได้​คล้อย​ตาม​นิยาย​ที่​แต่ง​ขึ้น​อย่าง​ชาญ​ฉลาด เมื่อ​เรา​ได้​ประ​กาศ​ให้​พวก​ท่าน​ทราบ​ถึง​ฤทธา​นุภาพ และ​การ​เสด็จ​กลับ​มา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​ทั้ง​หลาย แต่​เรา​เป็น​สักขี​พยาน​ถึง​ความ​ยิ่ง​ใหญ่​ของ​พระ​องค์เพราะ​ว่า​คราว​เมื่อ​พระ​องค์​ทรง​ได้​รับ​พระ​เกียรติ​และ​พระ​สิริ​จาก​พระ​เจ้า​พระ​บิดา และ​พระ​สุร​เสียง​จาก​พระ​สิริ​อัน​ยิ่ง​ใหญ่​ได้​มา​ถึง​พระ​องค์​ว่า “ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​บุตรของ​เรา​และ​เป็น​ที่​รัก​ของ​เรา เรา​พอ​ใจ​ท่าน​ผู้​นี้​มาก”พวก​เรา​เอง​ก็​ได้​ยิน​พระ​สุรเสียง​นี้​จาก​สวรรค์ ขณะ​ที่​เรา​อยู่​กับ​พระ​องค์​ที่​ภูเขา​บริ​สุทธิ์​นั้นและ​เรา​มี​คำ​เผย​พระ​วจนะ​ที่​แน่​นอน​ยิ่ง​กว่า​นั้น​อีก จะ​เป็น​การ​ดี​ถ้า​พวก​ท่าน​จะ​เอา​ใจ​ใส่​คำ​นั้น เพราะ​คำ​นั้น​เป็น​เสมือน​ตะเกียง​ที่​ส่อง​สว่าง​ใน​ที่​มืด จน​กว่า​แสง​อรุณ​จะ​ขึ้น และ​ดาว​รุ่ง​จะ​ผุด​ขึ้น​ใน​ใจ​ของ​พวก​ท่านท่าน​ทั้ง​หลาย​ต้อง​เข้า​ใจ​ข้อ​นี้​ก่อน คือ​ผู้​หนึ่ง​ผู้​ใด​จะ​ตี​ความ​หมาย​คำ​ของ​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​ใน​พระ​คัม​ภีร์​เอา​เอง​ไม่​ได้เพราะ​ว่า​คำ​ของ​ผู้​เผย​พระ​วจนะ​นั้น ไม่​ได้​มา​จาก​ความ​ประ​สงค์​ของ​มนุษย์​เลย แต่​มนุษย์​กล่าว​คำ​ซึ่ง​มา​จาก​พระ​เจ้า ตาม​ที่​พระ​วิญ​ญาณ​บริ​สุทธิ์​ทรง​ดล​ใจ​เขา (2 เปโตร 1:16-21)

เมื่อเราอ่านพระธรรมตอนนี้ เราจะพบว่าอัครสาวกเปโตรได้แก้ข้อหา 2 ประเด็นใหญ่เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นทั้งในสมัยของผู้เขียนและสมัยของเราในปัจจุบัน พวกที่ต่อต้านคำสอนของคริสตชนได้กล่าวหาว่า ความเชื่อเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด และความเชื่อเรื่องนี้เกิดจากการตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะผิดไป แต่อัครสาวกเปโตรได้โต้แย้งว่า ความเชื่อนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนนิยาย แต่ตั้งอยู่บนสักขีพยานซึ่งตัวท่านเปโตรและอัครสาวกอีก 2 คนได้เห็นพระเยซูคริสต์ตอนที่พระองค์ทรงจำแลงพระกาย และพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงจากฟ้าด้วย อัครสาวกเปโตรถือว่าการจำแลงพระกายของพระคริสต์นั้นเป็นการเปิดเผยถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เพราะขณะที่ท่านอยู่บนภูเขาตอนที่ท่านเห็นพระเยซูทรงจำแลงพระกาย ท่านเองได้ยินพระสุรเสียงจากพระเจ้ายืนยันว่า พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า การเชื่อมโยงเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูกับการจำแลงพระกายนี้ก็ปรากฏในพระคัมภีร์ตอนอื่นด้วยคือ ในพระธรรมมาระโก 8:38-9:8

นอกจากนี้ประโยคที่อัครสาวกเปโตรได้ยินนั้นเป็นประโยคที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมคือ พระธรรมสดุดี 2:7ที่บันทึกว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว” ท่านได้ตีความหมายพระคัมภีร์ตอนนี้ว่าเป็นการเผยพระวจนะถึงพระเยซูคริสต์ และได้อ้างว่าการตีความของท่านนั้นได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่อ้างถึงพระคัมภีร์ พวกเขาหมายถึงพระคัมภีร์เดิม เพราะในสมัยของพวกเขายังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ พวกที่ต่อต้านความเชื่อนี้กล่าวหาว่า ความคิดนี้มาจากความคิดของมนุษย์ แต่อัครสาวกเปโตรโต้แย้งว่า ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมนั้นได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ก่อนแล้วว่ามาจากพระเจ้าโดยตรง แสดงว่าผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่นั้นมีความมั่นใจในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เดิม สิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ใหม่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์เดิม

การเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมมีทั้งที่สำเร็จแล้วในพระคัมภีร์ใหม่ และยังไม่สำเร็จ
หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่าคำเผยพระวจนะที่ปรากฏในพระคัมภีร์เดิมนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นในสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้ว และเสนอว่าเราไม่จำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมอีกแล้ว คำเผยพระวจนะหลายอย่างที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จในสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้วก็จริง เช่น เรื่องการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ แต่ก็ยังมีคำเผยพระวจนะอีกหลายตอนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิมที่ยังไม่สำเร็จ เช่น เรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์

หากเราพิจารณาคำเผยพระวจนะในพระธรรมวิวรณ์ซึ่งมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ยังไม่เกิดขึ้นนั้น ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ได้ถูกกล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิมอยู่แล้ว เช่น ในวิวรณ์ 21:24-25 ได้กล่าวถึงว่านครเยรูซาเล็มใหม่ จะไม่ต้องมีการปิดประตูทั้งกลางวันและกลางคืนเพราะประชาชาติต่างๆ จะเดินโดยอาศัยแสงสว่างจากนครนั้น และกษัตริย์ทั้งหลายในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้าในนครนั้น และคำเผยพระวจนะในลักษณะนี้ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในอิสยาห์ 60:11 ความว่า

“บรรดา​ประ​ตู​เมือง​ของ​เจ้า​จะ​เปิด​อยู่​เสมอ มัน​จะ​ไม่​ถูก​ปิด​ทั้ง​กลาง​วัน​และ​กลาง​คืน เพื่อ​คน​จะ​นำ​ความ​มั่ง​คั่ง​ของ​บรร​ดา​ประ​ชา​ชาติ​มา​ยัง​เจ้า และ​บรรดา​พระ​รา​ชา​ของ​เขา​จะ​ถูก​นำ​ให้​เข้า​ร่วม​ขบวน”

ในพระธรรมวิวรณ์ 22:1 ได้มีการบรรยายว่า ท่านยอห์นได้เห็นแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิต ไหลมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า ในทำนองเดียวกันท่านเอเสเคียลได้เผยพระวจนะในพระธรรมเอเสเคียล 47:1 ว่า พระนิเวศหลังใหม่จะมีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระนิเวศ และยิ่งกว่านั้นน้ำนี้จะไหลไปยังทะเลตาย (ดูพระธรรมเอเสเคียล 47:8 ที่กล่าวถึงอารบาห์) และทำให้เกิดสิ่งมีชิวิตขึ้นมามากมาย ซึ่งในปัจจุบันนี้เราก็รู้ว่า ไม่มีปลาอยู่ในทะเลตายเลย เพราะความเค็มของน้ำนั้นเค็มมาก ปลาอยู่ไม่ได้ แต่คำเผยพระวจนะนี้กลับบอกว่าจะมีปลามากมาย ซึ่งปัจจุบันนี้เหตุการณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ในพระธรรมเอเสเคียล 47:12 ยังบันทึกว่า ตามสองฝั่งของแม่น้ำจะมีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหารปลูกไว้ ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ ทุกเดือน ซึ่งคำเผยพระวจนะนี้สอดคล้องกับที่บันทึกไว้ในพระธรรมวิวรณ์ 22:2ดังนั้นเราจะเห็นว่าคำเผยพระวจนะที่ยังไม่สำเร็จในพระคัมภีร์เดิม ถูกนำมาเผยซ้ำในพระคัมภีร์ใหม่ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น นอกจากนั้น ในพระธรรมวิวรณ์ 22:2 ยังได้กล่าวถึงต้นไม้แห่งชีวิตที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในพระธรรมปฐมกาล 2:9และไม่ได้ถูกกล่าวถึงอีกเลย เพราะเมื่อมนุษย์คู่แรกทำบาป ก็ไม่ได้มีโอกาสกินผลจากต้นไม้นี้เลย จนกว่าจะได้กินในอนาคต

ดังนั้น คำเผยพระวจนะหรือคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวอ้างในพระคัมภีร์ใหม่ และยังรอคอยเวลาที่จะสำเร็จครบถ้วนในอนาคต เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า เนื้อหาของพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่มีความเกี่ยวข้องกัน และยังต่อเนื่องกันอีกด้วย พระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้มาแทนที่พระคัมภีร์เดิม เราจึงยังคงต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมต่อไป

พระเยซูอ้างอิงพระคัมภีร์เดิมเมื่อพระองค์ทรงสอน
เมื่อพระเยซูทรงสั่งสอนประชาชนอิสราเอล พระองค์มักจะอ้างคำสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม เช่น เมื่อพวกฟาริสีมาสอบถามพระองค์เรื่องการหย่าร้าง (พระธรรมมัทธิว 19:3-6)พระองค์ก็ได้อ้างพระธรรม 2 ตอนในปฐมกาล (พระธรรมปฐมกาล 1:27 และ 2:24) มาอธิบายให้พวกเขาฟังการอ้างพระธรรมทั้งสองตอนนี้

พระองค์อ้างสิทธิอำนาจของพระธรรมทั้งสองตอนนี้ ด้วยการอ้างพระธรรมทั้งสองข้อนี้ พระเยซูทรงปฏิเสธการตีความหมายของคนยิวบางกลุ่มที่อ้างว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้มีการหย่าร้าง  แต่มีกรณียกเว้นคือ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ซื่อสัตย์ หรือทำผิดประเวณี ซึ่งโดยหลักการแล้วเป็นการล้มเลิกการแต่งงานไป พระเยซูไม่ทรงอนุญาตให้มีการหย่า (พระธรรมมัทธิว 5:32) พระองค์ยังคงอ้างพระธรรมในพระคัมภีร์เดิมอีกหลายเล่ม เช่น พระองค์อ้างพระธรรมอพยพ 16:4, 5 ในพระธรรมยอห์น 6:13ทรงอ้างพระธรรมเลวีนิติ 20:9ในพระธรรมมาระโก 7:10  ทรงอ้างพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติถึง 3 ครั้งเมื่อถูกมารทดลอง ดูพระธรรมมัทธิว 4:4, 7, 10  ซึ่งอ้างพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 8:3; 6:16; 6:13

พระธรรมสดุดีเป็นพระธรรมอีกเล่มหนึ่งที่ถูกกล่าวอ้างโดยพระคัมภีร์ใหม่บ่อยมาก และเป็นเล่มที่พระเยซูโปรดปรานเล่มหนึ่ง ตัวอย่างเช่นในพระธรรมมัทธิว 21:42 พระ​เยซู​ตรัส​ว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​ยัง​ไม่​ได้​อ่าน​ใน​พระ​คัม​ภีร์​หรือ ที่​ว่า ‘ศิลา​ที่​บรร​ดา​ช่างก่อ​สร้าง​ทิ้ง​แล้วกลับ​กลาย​เป็น​ศิลา​มุม​เอก สิ่ง​นี้​เป็น​มา​จาก​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า เป็น​สิ่ง​อัศ​จรรย์​ประ​จักษ์​แก่​ตาของ​เรา’ (อ้างอิงมาจากพระธรรมสดุดี 118:22-23)

ดังนั้น เราไม่ควรมองข้ามความสำคัญของพระคัมภีร์เดิม เพราะแม้แต่พระเยซูคริสต์เองยังทรงให้ความสำคัญต่อพระคัมภีร์เดิมอย่างมาก

พยานหลักฐานจากหนังสือม้วนทะเลตาย
Norman L. Geisler [Baker Encyclopedia of Christian Apologetics, Baker Reference Library (Grand Rapids, MI: Baker Books, 1999)หน้า 187]ผู้เขียนบทความเรื่อง หนังสือม้วนทะเลตายได้สรุปให้เราเห็นว่าการค้นพบหนังสือม้วนทะเลตายนั้นยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรู เพราะพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูซึ่งคัดลอกต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนานกว่าพันปีนั้นมีข้อผิดพลาดน้อยมาก เมื่อมีการเปรียบเทียบพระคัมภีร์เดิมฉบับหนังสือม้วนทะเลตายซึ่งเป็นเอกสารโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี (ปี 100 ก่อน ค.ศ.) กับพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรูโบราณที่คัดลอกต่อเนื่องกันมาซึ่งมีอายุห่างกันประมาณ 1,000 ปี (ค.ศ. 900) แล้วพบว่ามีความแตกต่างกันน้อยมาก

เราแน่ใจได้ว่าข้อความในพระคัมภีร์เดิมที่ถูกอ้างอิงโดยพระคัมภีร์ใหม่นั้น ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นในสมัยพระคัมภีร์ใหม่อย่างแน่นอน เพราะพระคัมภีร์เดิมฉบับหนังสือม้วนทะเลตายนั้นปรากฏอยู่ก่อนพระคัมภีร์ใหม่ประมาณเกือบ 200 ปี นั่นคือส่วนที่เป็นคำเผยพระวจนะหรือคำพยากรณ์นั้นไม่ใช่เขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นข้อความเดิมที่ถูกกล่าวไว้ล่วงหน้าเป็นเวลานานก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น

ก่อนจะมีการบันทึกพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เดิมก็ได้ถูกแปลจากภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีกซึ่งถูกเรียกว่า ฉบับเซปทัวจินต์ (LXX)  เพราะในเวลานั้นภาษากรีกเป็นภาษาสากล และคนยิวจำนวนมากอ่านภาษาฮีบรูไม่ได้ ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่เมื่อจะอ้างอิงพระคัมภีร์เดิมนั้นมักจะอ้างจากพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีก ดังนั้นความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีกนี้จึงมีความสำคัญมาก การค้นพบหนังสือม้วนทะเลตายนี้ ช่วยยืนยันว่าเนื้อความที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีกน่าเชื่อถือเท่าเทียมกับภาษาฮีบรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อความของฉบับฮีบรูแตกต่างจากฉบับกรีก

ตัวอย่างของชิ้นส่วนที่พบในถ้ำคุมรานชิ้นหนึ่งคือ พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 32:8 ได้บันทึกว่า“ตามจำนวนบรรดาบุตรของพระเจ้า” ซึ่งพระคัมภีร์ฉบับภาษากรีกแปลว่า “บรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า” ซึ่งจะมีเนื้อความเหมือนกับพระธรรมปฐมกาล 6:4; พระธรรมโยบ 1:6; 2:1 และ 38:7 ส่วนพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 32:8 ฉบับภาษาฮีบรูใช้คำว่า “ตามจำนวนบรรดาลูกของอิสราเอล”จากข้อมูลภาษาฮีบรูที่พบในถ้ำคุมรานนี้แสดงให้เห็นว่า การแปลของฉบับภาษากรีกนั้นก็มีความน่าเชื่อถือเหมือนกัน เพราะว่า วลีที่ว่า “บุตรของพระเจ้า” นั้นอาจจะหมายถึง “ทูตสวรรค์” หรือ “คนอิสราเอล” ก็ได้ เพราะคนอิสราเอลได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า (ดูพระธรรมโฮเชยา. 1:10)และในการแปลพระคัมภีร์ไทยฉบับมาตรฐานของพระธรรมโยบ 1:6 และ 2:1 ได้แปลโดยใช้คำว่า “เหล่าทูตสวรรค์” และใส่เชิงอรรถว่า “ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า บรรดาบุตรของพระเจ้า” ส่วนโยบ 38:7 นั้นใช้คำว่า “บรรดาบุตรของพระเจ้า” และมีเชิงอรรถว่า “หมายถึง เหล่าทูตสวรรค์”

อีกตัวอย่างหนึ่งคือพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรูของพระธรรมอพยพ 1:5 มีข้อความว่า 70 คน ในขณะที่ฉบับกรีกซึ่งถูกอ้างอิงในพระธรรมกิจการ 7:14 บันทึกว่า 75 คน แต่จากชิ้นส่วนของอพยพ 1:5 ที่เราพบในทะเลตายอ่านว่า 75 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่สอดคล้องกับฉบับกรีก ผู้อ่านสามารถดูตัวอย่างเพิ่มเติมได้จาก Norman L. Geisler, Baker Encyclopedia of Christian Apologetics, Baker Reference Library, (หน้า 187–188) ดังนั้น เราจะเห็นว่าการค้นพบหนังสือม้วนทะเลตายที่ถูกเก็บไว้ในทะเลทรายกว่า 2,000 ปี เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า พระคัมภีร์เดิมเป็นหนังสือที่น่าเชื่อถือ และผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ก็ได้อ้างอิงเนื้อหาจากพระคัมภีร์เดิมอยู่บ่อยๆ และถึงแม้บางครั้งข้อความที่อ้างอิงพระคัมภีร์เดิมจากภาษากรีกจะมีความแตกต่างจากภาษาฮีบรูบ้าง แต่ข้อความที่เราพบในพระคัมภีร์เดิมฉบับหนังสือม้วนทะเลตายก็ได้ยืนยันให้เราเห็นว่า พระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีกก็น่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้มีอยู่น้อยมาก

จำนวนสำเนาโบราณของพระคัมภีร์เดิมมีจำนวนมาก
คนยิวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์เดิมมาก พวกเขานอกจากจะทำการเก็บรักษาคำสอนด้วยการคัดลอกต่อๆ กันมาแล้ว พวกเขาก็พยายามเก็บรักษาสำเนาเหล่านี้ไว้เป็นที่เป็นทาง จนนักวิชาการสมัยหลังได้ค้นพบสำเนาโบราณเหล่านั้น และนำมาศึกษาต่อๆ กัน สำเนาโบราณเหล่านั้นเป็นหลักฐานที่มีมากเกินพอว่า พระคัมภีร์เดิมนั้นน่าเชื่อถือ Moshe Goshen-Gottstein ได้ประมาณจำนวนเอกสารโบราณของพระคัมภีร์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ทั่วโลกว่ามีมากกว่าหลายหมื่นฉบับ [Norman L. Geisler and William E. Nix, A General Introduction to the Bible, Rev. and expanded. (Chicago: Moody Press, 1986),  หน้า358.]

หลักคำสอนของคริสตชนมีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์เดิม
เมื่อเราพูดถึงหลักคำสอนของคริสตชนที่สำคัญๆ เราไม่สามารถปฎิเสธพระคัมภีร์เดิมได้เลย เพราะคำสอนพื้นฐานหลายอย่างนั้นก็เป็นคำสอนที่มาจากพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้เลือกที่จะเปิดเผยพระองค์เองผ่านทางพระคัมภีร์เดิม

หลักคำสอนพื้นฐานของคริสตชนได้แก่ พระยาห์เวห์ (พระเจ้า) เป็นผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งในโลกนี้ซึ่งคำสอนนี้ได้ปรากฏในพระธรรมปฐมกาล 2 บทแรก พระธรรมโยบบทที่ 38-41 และในพระธรรมสดุดี 104 พระธรรมทั้ง 3 ตอนนี้พูดถึงรายละเอียดของการทรงสร้างที่แตกต่างกัน แต่ก็ได้ย้ำถึงการที่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ถ้าคริสตชนไม่อ่านพระคัมภีร์เดิมก็จะไม่รู้ว่าคำสอนนี้มาจากไหน

หลักคำสอนที่สำคัญประการที่สองคือ การที่มนุษย์ทุกคนตกอยู่ในอำนาจของความบาปก็เพราะมนุษย์ทุกคนสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คู่แรกคืออาดัมและเอวา ซึ่งเรื่องราวนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 3 นอกจากนั้นคำสาปแช่งที่พระเจ้าทรงสาปแช่งงูนั้นมีคำตรัสที่น่าสนใจคือ “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย” (พระธรรมปฐมกาล 3:15)  โดยปกติแล้ว พงศ์พันธุ์ของมนุษย์จะสืบเชื้อสายมาทางผู้ชาย ไม่ได้มาทางผู้หญิง แต่คำสาปแช่งนี้ได้สำเร็จจริงในสมัยพระคัมภีร์ใหม่คือในพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นเพียงผู้เดียวที่เป็นพงศ์พันธุ์ของผู้หญิง เพราะพระองค์เกิดจากผู้หญิงพรหมจารี พระองค์เป็นเพียงผู้เดียวที่จัดการกับมารได้

หลักคำสอนที่สำคัญประการที่สามคือ ผลของความบาป อาจารย์เปาโลได้กล่าวถึงผลของความบาปที่ทำให้เกิดความตายนั้นเริ่มมาจากอาดัม (พระธรรมโรม 5:14)อาดัมเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมด แต่ต่อมาพระเยซูได้เป็นตัวแทนอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากอาดัม จึงไม่ได้ตกอยู่ในอิทธิพลของความบาปของอาดัม พระเยซูคริสต์มีอิทธิพลในทางตรงกันข้ามกับอาดัม การกระทำที่ชอบธรรมครั้งเดียวของพระองค์จึงสามารถช่วยให้คนทั้งหลายที่วางใจในพระองค์หลุดพ้นจากอำนาจของความบาปได้ เช่นเดียวกับการละเมิดครั้งเดียวของอาดัมที่ทำให้คนทั้งโลกตกอยู่ในความบาป (พระธรรมโรม 5:15-21)การอ้างอิงของอาจารย์เปาโลนี้ถือว่า เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา พระคัมภีร์เดิมจึงเป็นเบื้องหลังที่สำคัญสำหรับพระคัมภีร์ใหม่

หลักคำสอนที่สำคัญประการที่สี่คือ คริสตชนเชื่อว่า พระเยซูเป็นลูกแกะที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ ถ้าเราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะไม่เห็นความสำคัญและความจำเป็นของการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าเมื่อคนอิสราเอลได้ทำผิดบาปต่อพระเจ้า การที่พระเยซูต้องตายนั้นก็เพื่อไถ่เราให้พ้นจากความผิดบาปตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ พระธรรมเลวีนิติเป็นพระธรรมเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์เดิมที่ได้อธิบายเรื่องการถวายบูชาไว้อย่างละเอียด

พระเยซูเองทรงศึกษาพระคัมภีร์เดิม
ในวัยเด็กของพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ตั้งพระทัยในการศึกษาพระคัมภีร์เดิมอย่างจริงจัง พระองค์ได้ซักถามพวกอาจารย์อยู่ในพระวิหารนานมากกว่า 3 วัน (พระธรรมลูกา 2:41-47)เมื่อพระองค์ถูกพวกฟาริสีซึ่งเป็นพวกเคร่งครัดในศาสนาท้าทาย พระองค์ก็ได้โต้แย้งกับพวกเขาด้วยการอ้างเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิมมาชี้ให้พวกเขาเห็น เช่น เมื่อพวกฟาริสีเห็นสาวกของพระเยซูเด็ดรวงข้าวและขยี้ด้วยมือแล้วกินในวันสะบาโต พวกเขาก็ตำหนิสาวกว่า ทำผิดข้อห้ามในวันสะบาโต พระเยซูจึงตอบโต้พวกเขา โดยยกเรื่องราวที่ดาวิดและพรรคพวกได้รับประทานขนมปังเฉพาะพระพักตร์ ซึ่งคนธรรมดารับประทานไม่ได้ มีแต่ปุโรหิตเท่านั้นที่รับประทานได้ (พระธรรมลูกา 6:1-5)หากเราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะไม่เข้าใจบริบทของเรื่องราวที่พระเยซูกล่าวถึง

สรุป
ผมหวังว่าบทความสั้นๆ นี้จะช่วยให้เราเห็นคุณค่าและความสำคัญของพระคัมภีร์เดิม และจะเอาจริงเอาจังในการอ่านพระคัมภีร์เดิมมากขึ้น เพื่อจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างครบถ้วนและเป็นพรแก่คนอื่นๆ ต่อไป

  • ศาสนาจารย์ ดร.เสรี หล่อกัณภัย
  • ภาพ www.olivetree.com/