ทำไมคริสตชนไทยจึงต้องอ่านพระคัมภีร์เดิม?
พระคัมภีร์เดิมเป็นของคนยิวพวกเดียวหรือเป็นของคริสตชนด้วย
ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่า พระคัมภีร์เดิม เป็นพระคัมภีร์ของคนยิวพวกเดียว เราเป็นคริสตชน เราได้รับความรอดแล้ว เราไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมอีกต่อไป เราอ่านแต่พระคัมภีร์ใหม่ก็พอ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง พระคัมภีร์ของคริสตชนนั้นประกอบด้วยพระคัมภีร์เดิมและใหม่ เมื่อคริสตชนพูดถึงพระคัมภีร์หมายถึงพระคัมภีร์เดิมและใหม่
ในสมัยของพระเยซูคริสต์เมื่อพระองค์ทรงกล่าวถึงพระคัมภีร์ พระองค์หมายถึงพระคัมภีร์เดิม เพราะในสมัยของพระองค์ พระคัมภีร์ใหม่ยังไม่ได้เกิดขึ้น พระเยซูได้อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์นั้น แท้ที่จริงเป็นพระสัญญาของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ได้ปรากฏกับสาวกของพระองค์หลายครั้ง ครั้งหนึ่งได้ปรากฏขณะที่พวกเขากำลังประชุมอยู่
พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราบอกไว้กับท่านทั้งหลายขณะที่เรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาถ้อยคำที่เขียนไว้ในหมวดธรรมบัญญัติของโมเสส ในหมวดผู้เผยพระวจนะ และในหมวดเพลงสดุดีที่กล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ”แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สามและจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในพระนามของพระองค์เรื่องการกลับใจใหม่ เพื่อการยกบาป โดยเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม” ( ลูกา 24:44-47)
พระเยซูคริสต์ทรงอ้างพระคัมภีร์เดิมครบทั้งสามหมวด คือหมวดธรรมบัญญัติ หมวดผู้เผยพระวจนะ และหมวดเพลงสดุดีหรือหมวดข้อเขียน ซึ่งวิธีการแบ่งหมวดที่พระเยซูคริสต์ทรงกล่าวถึงนี้เป็นการแบ่งหมวดตามการแบ่งหมวดของคนยิว พระองค์ได้ย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์นั้นจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม และเป็นสิ่งที่จะต้องประกาศไปทั่วโลก ดังนั้น หากเราไม่อ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะไม่มีเนื้อหาที่จะประกาศ
เรื่องราวในพระคัมภีร์ใหม่ไม่ใช่เรื่องแต่ง
ในสมัยคริสตจักรยุคแรกอัครสาวกเปโตรถูกกล่าวหาว่าเอาเรื่องนิยายมาเล่าให้ฟัง ท่านจึงได้ตอบโต้ว่า “เพราะว่าเราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด เมื่อเราได้ประกาศให้พวกท่านทราบถึงฤทธานุภาพ และการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย แต่เราเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์เพราะว่าคราวเมื่อพระองค์ทรงได้รับพระเกียรติและพระสิริจากพระเจ้าพระบิดา และพระสุรเสียงจากพระสิริอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเราและเป็นที่รักของเรา เราพอใจท่านผู้นี้มาก”พวกเราเองก็ได้ยินพระสุรเสียงนี้จากสวรรค์ ขณะที่เราอยู่กับพระองค์ที่ภูเขาบริสุทธิ์นั้นและเรามีคำเผยพระวจนะที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าพวกท่านจะเอาใจใส่คำนั้น เพราะคำนั้นเป็นเสมือนตะเกียงที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวรุ่งจะผุดขึ้นในใจของพวกท่านท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์เลย แต่มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา (2 เปโตร 1:16-21)
เมื่อเราอ่านพระธรรมตอนนี้ เราจะพบว่าอัครสาวกเปโตรได้แก้ข้อหา 2 ประเด็นใหญ่เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นทั้งในสมัยของผู้เขียนและสมัยของเราในปัจจุบัน พวกที่ต่อต้านคำสอนของคริสตชนได้กล่าวหาว่า ความเชื่อเรื่องนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด และความเชื่อเรื่องนี้เกิดจากการตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะผิดไป แต่อัครสาวกเปโตรได้โต้แย้งว่า ความเชื่อนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนนิยาย แต่ตั้งอยู่บนสักขีพยานซึ่งตัวท่านเปโตรและอัครสาวกอีก 2 คนได้เห็นพระเยซูคริสต์ตอนที่พระองค์ทรงจำแลงพระกาย และพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงจากฟ้าด้วย อัครสาวกเปโตรถือว่าการจำแลงพระกายของพระคริสต์นั้นเป็นการเปิดเผยถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เพราะขณะที่ท่านอยู่บนภูเขาตอนที่ท่านเห็นพระเยซูทรงจำแลงพระกาย ท่านเองได้ยินพระสุรเสียงจากพระเจ้ายืนยันว่า พระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า การเชื่อมโยงเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูกับการจำแลงพระกายนี้ก็ปรากฏในพระคัมภีร์ตอนอื่นด้วยคือ ในพระธรรมมาระโก 8:38-9:8
นอกจากนี้ประโยคที่อัครสาวกเปโตรได้ยินนั้นเป็นประโยคที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมคือ พระธรรมสดุดี 2:7ที่บันทึกว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว” ท่านได้ตีความหมายพระคัมภีร์ตอนนี้ว่าเป็นการเผยพระวจนะถึงพระเยซูคริสต์ และได้อ้างว่าการตีความของท่านนั้นได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่อ้างถึงพระคัมภีร์ พวกเขาหมายถึงพระคัมภีร์เดิม เพราะในสมัยของพวกเขายังไม่มีพระคัมภีร์ใหม่ พวกที่ต่อต้านความเชื่อนี้กล่าวหาว่า ความคิดนี้มาจากความคิดของมนุษย์ แต่อัครสาวกเปโตรโต้แย้งว่า ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมนั้นได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ก่อนแล้วว่ามาจากพระเจ้าโดยตรง แสดงว่าผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่นั้นมีความมั่นใจในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เดิม สิ่งที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ใหม่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์เดิม
การเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมมีทั้งที่สำเร็จแล้วในพระคัมภีร์ใหม่ และยังไม่สำเร็จ
หลายคนมักจะเข้าใจผิดว่าคำเผยพระวจนะที่ปรากฏในพระคัมภีร์เดิมนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นในสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้ว และเสนอว่าเราไม่จำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมอีกแล้ว คำเผยพระวจนะหลายอย่างที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จในสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้วก็จริง เช่น เรื่องการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ แต่ก็ยังมีคำเผยพระวจนะอีกหลายตอนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิมที่ยังไม่สำเร็จ เช่น เรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์
หากเราพิจารณาคำเผยพระวจนะในพระธรรมวิวรณ์ซึ่งมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ยังไม่เกิดขึ้นนั้น ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ได้ถูกกล่าวไว้ในพระคัมภีร์เดิมอยู่แล้ว เช่น ในวิวรณ์ 21:24-25 ได้กล่าวถึงว่านครเยรูซาเล็มใหม่ จะไม่ต้องมีการปิดประตูทั้งกลางวันและกลางคืนเพราะประชาชาติต่างๆ จะเดินโดยอาศัยแสงสว่างจากนครนั้น และกษัตริย์ทั้งหลายในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้าในนครนั้น และคำเผยพระวจนะในลักษณะนี้ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในอิสยาห์ 60:11 ความว่า
“บรรดาประตูเมืองของเจ้าจะเปิดอยู่เสมอ มันจะไม่ถูกปิดทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อคนจะนำความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติมายังเจ้า และบรรดาพระราชาของเขาจะถูกนำให้เข้าร่วมขบวน”
ในพระธรรมวิวรณ์ 22:1 ได้มีการบรรยายว่า ท่านยอห์นได้เห็นแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิต ไหลมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า ในทำนองเดียวกันท่านเอเสเคียลได้เผยพระวจนะในพระธรรมเอเสเคียล 47:1 ว่า พระนิเวศหลังใหม่จะมีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระนิเวศ และยิ่งกว่านั้นน้ำนี้จะไหลไปยังทะเลตาย (ดูพระธรรมเอเสเคียล 47:8 ที่กล่าวถึงอารบาห์) และทำให้เกิดสิ่งมีชิวิตขึ้นมามากมาย ซึ่งในปัจจุบันนี้เราก็รู้ว่า ไม่มีปลาอยู่ในทะเลตายเลย เพราะความเค็มของน้ำนั้นเค็มมาก ปลาอยู่ไม่ได้ แต่คำเผยพระวจนะนี้กลับบอกว่าจะมีปลามากมาย ซึ่งปัจจุบันนี้เหตุการณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ในพระธรรมเอเสเคียล 47:12 ยังบันทึกว่า ตามสองฝั่งของแม่น้ำจะมีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหารปลูกไว้ ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ ทุกเดือน ซึ่งคำเผยพระวจนะนี้สอดคล้องกับที่บันทึกไว้ในพระธรรมวิวรณ์ 22:2ดังนั้นเราจะเห็นว่าคำเผยพระวจนะที่ยังไม่สำเร็จในพระคัมภีร์เดิม ถูกนำมาเผยซ้ำในพระคัมภีร์ใหม่ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น นอกจากนั้น ในพระธรรมวิวรณ์ 22:2 ยังได้กล่าวถึงต้นไม้แห่งชีวิตที่ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในพระธรรมปฐมกาล 2:9และไม่ได้ถูกกล่าวถึงอีกเลย เพราะเมื่อมนุษย์คู่แรกทำบาป ก็ไม่ได้มีโอกาสกินผลจากต้นไม้นี้เลย จนกว่าจะได้กินในอนาคต
ดังนั้น คำเผยพระวจนะหรือคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวอ้างในพระคัมภีร์ใหม่ และยังรอคอยเวลาที่จะสำเร็จครบถ้วนในอนาคต เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า เนื้อหาของพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่มีความเกี่ยวข้องกัน และยังต่อเนื่องกันอีกด้วย พระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้มาแทนที่พระคัมภีร์เดิม เราจึงยังคงต้องอ่านพระคัมภีร์เดิมต่อไป
พระเยซูอ้างอิงพระคัมภีร์เดิมเมื่อพระองค์ทรงสอน
เมื่อพระเยซูทรงสั่งสอนประชาชนอิสราเอล พระองค์มักจะอ้างคำสอนที่อยู่ในพระคัมภีร์เดิม เช่น เมื่อพวกฟาริสีมาสอบถามพระองค์เรื่องการหย่าร้าง (พระธรรมมัทธิว 19:3-6)พระองค์ก็ได้อ้างพระธรรม 2 ตอนในปฐมกาล (พระธรรมปฐมกาล 1:27 และ 2:24) มาอธิบายให้พวกเขาฟังการอ้างพระธรรมทั้งสองตอนนี้
พระองค์อ้างสิทธิอำนาจของพระธรรมทั้งสองตอนนี้ ด้วยการอ้างพระธรรมทั้งสองข้อนี้ พระเยซูทรงปฏิเสธการตีความหมายของคนยิวบางกลุ่มที่อ้างว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้มีการหย่าร้าง แต่มีกรณียกเว้นคือ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ซื่อสัตย์ หรือทำผิดประเวณี ซึ่งโดยหลักการแล้วเป็นการล้มเลิกการแต่งงานไป พระเยซูไม่ทรงอนุญาตให้มีการหย่า (พระธรรมมัทธิว 5:32) พระองค์ยังคงอ้างพระธรรมในพระคัมภีร์เดิมอีกหลายเล่ม เช่น พระองค์อ้างพระธรรมอพยพ 16:4, 5 ในพระธรรมยอห์น 6:13ทรงอ้างพระธรรมเลวีนิติ 20:9ในพระธรรมมาระโก 7:10 ทรงอ้างพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติถึง 3 ครั้งเมื่อถูกมารทดลอง ดูพระธรรมมัทธิว 4:4, 7, 10 ซึ่งอ้างพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 8:3; 6:16; 6:13
พระธรรมสดุดีเป็นพระธรรมอีกเล่มหนึ่งที่ถูกกล่าวอ้างโดยพระคัมภีร์ใหม่บ่อยมาก และเป็นเล่มที่พระเยซูโปรดปรานเล่มหนึ่ง ตัวอย่างเช่นในพระธรรมมัทธิว 21:42 พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือ ที่ว่า ‘ศิลาที่บรรดาช่างก่อสร้างทิ้งแล้วกลับกลายเป็นศิลามุมเอก สิ่งนี้เป็นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นสิ่งอัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาของเรา’ (อ้างอิงมาจากพระธรรมสดุดี 118:22-23)
ดังนั้น เราไม่ควรมองข้ามความสำคัญของพระคัมภีร์เดิม เพราะแม้แต่พระเยซูคริสต์เองยังทรงให้ความสำคัญต่อพระคัมภีร์เดิมอย่างมาก
พยานหลักฐานจากหนังสือม้วนทะเลตาย
Norman L. Geisler [Baker Encyclopedia of Christian Apologetics, Baker Reference Library (Grand Rapids, MI: Baker Books, 1999)หน้า 187]ผู้เขียนบทความเรื่อง หนังสือม้วนทะเลตายได้สรุปให้เราเห็นว่าการค้นพบหนังสือม้วนทะเลตายนั้นยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรู เพราะพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูซึ่งคัดลอกต่อเนื่องกันมาเป็นเวลายาวนานกว่าพันปีนั้นมีข้อผิดพลาดน้อยมาก เมื่อมีการเปรียบเทียบพระคัมภีร์เดิมฉบับหนังสือม้วนทะเลตายซึ่งเป็นเอกสารโบราณที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี (ปี 100 ก่อน ค.ศ.) กับพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรูโบราณที่คัดลอกต่อเนื่องกันมาซึ่งมีอายุห่างกันประมาณ 1,000 ปี (ค.ศ. 900) แล้วพบว่ามีความแตกต่างกันน้อยมาก
เราแน่ใจได้ว่าข้อความในพระคัมภีร์เดิมที่ถูกอ้างอิงโดยพระคัมภีร์ใหม่นั้น ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นในสมัยพระคัมภีร์ใหม่อย่างแน่นอน เพราะพระคัมภีร์เดิมฉบับหนังสือม้วนทะเลตายนั้นปรากฏอยู่ก่อนพระคัมภีร์ใหม่ประมาณเกือบ 200 ปี นั่นคือส่วนที่เป็นคำเผยพระวจนะหรือคำพยากรณ์นั้นไม่ใช่เขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นข้อความเดิมที่ถูกกล่าวไว้ล่วงหน้าเป็นเวลานานก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้น
ก่อนจะมีการบันทึกพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เดิมก็ได้ถูกแปลจากภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีกซึ่งถูกเรียกว่า ฉบับเซปทัวจินต์ (LXX) เพราะในเวลานั้นภาษากรีกเป็นภาษาสากล และคนยิวจำนวนมากอ่านภาษาฮีบรูไม่ได้ ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่เมื่อจะอ้างอิงพระคัมภีร์เดิมนั้นมักจะอ้างจากพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีก ดังนั้นความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีกนี้จึงมีความสำคัญมาก การค้นพบหนังสือม้วนทะเลตายนี้ ช่วยยืนยันว่าเนื้อความที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีกน่าเชื่อถือเท่าเทียมกับภาษาฮีบรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อความของฉบับฮีบรูแตกต่างจากฉบับกรีก
ตัวอย่างของชิ้นส่วนที่พบในถ้ำคุมรานชิ้นหนึ่งคือ พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 32:8 ได้บันทึกว่า“ตามจำนวนบรรดาบุตรของพระเจ้า” ซึ่งพระคัมภีร์ฉบับภาษากรีกแปลว่า “บรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า” ซึ่งจะมีเนื้อความเหมือนกับพระธรรมปฐมกาล 6:4; พระธรรมโยบ 1:6; 2:1 และ 38:7 ส่วนพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 32:8 ฉบับภาษาฮีบรูใช้คำว่า “ตามจำนวนบรรดาลูกของอิสราเอล”จากข้อมูลภาษาฮีบรูที่พบในถ้ำคุมรานนี้แสดงให้เห็นว่า การแปลของฉบับภาษากรีกนั้นก็มีความน่าเชื่อถือเหมือนกัน เพราะว่า วลีที่ว่า “บุตรของพระเจ้า” นั้นอาจจะหมายถึง “ทูตสวรรค์” หรือ “คนอิสราเอล” ก็ได้ เพราะคนอิสราเอลได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า (ดูพระธรรมโฮเชยา. 1:10)และในการแปลพระคัมภีร์ไทยฉบับมาตรฐานของพระธรรมโยบ 1:6 และ 2:1 ได้แปลโดยใช้คำว่า “เหล่าทูตสวรรค์” และใส่เชิงอรรถว่า “ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า บรรดาบุตรของพระเจ้า” ส่วนโยบ 38:7 นั้นใช้คำว่า “บรรดาบุตรของพระเจ้า” และมีเชิงอรรถว่า “หมายถึง เหล่าทูตสวรรค์”
อีกตัวอย่างหนึ่งคือพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษาฮีบรูของพระธรรมอพยพ 1:5 มีข้อความว่า 70 คน ในขณะที่ฉบับกรีกซึ่งถูกอ้างอิงในพระธรรมกิจการ 7:14 บันทึกว่า 75 คน แต่จากชิ้นส่วนของอพยพ 1:5 ที่เราพบในทะเลตายอ่านว่า 75 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่สอดคล้องกับฉบับกรีก ผู้อ่านสามารถดูตัวอย่างเพิ่มเติมได้จาก Norman L. Geisler, Baker Encyclopedia of Christian Apologetics, Baker Reference Library, (หน้า 187–188) ดังนั้น เราจะเห็นว่าการค้นพบหนังสือม้วนทะเลตายที่ถูกเก็บไว้ในทะเลทรายกว่า 2,000 ปี เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า พระคัมภีร์เดิมเป็นหนังสือที่น่าเชื่อถือ และผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ก็ได้อ้างอิงเนื้อหาจากพระคัมภีร์เดิมอยู่บ่อยๆ และถึงแม้บางครั้งข้อความที่อ้างอิงพระคัมภีร์เดิมจากภาษากรีกจะมีความแตกต่างจากภาษาฮีบรูบ้าง แต่ข้อความที่เราพบในพระคัมภีร์เดิมฉบับหนังสือม้วนทะเลตายก็ได้ยืนยันให้เราเห็นว่า พระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีกก็น่าเชื่อถือเช่นเดียวกัน ความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้มีอยู่น้อยมาก
จำนวนสำเนาโบราณของพระคัมภีร์เดิมมีจำนวนมาก
คนยิวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์เดิมมาก พวกเขานอกจากจะทำการเก็บรักษาคำสอนด้วยการคัดลอกต่อๆ กันมาแล้ว พวกเขาก็พยายามเก็บรักษาสำเนาเหล่านี้ไว้เป็นที่เป็นทาง จนนักวิชาการสมัยหลังได้ค้นพบสำเนาโบราณเหล่านั้น และนำมาศึกษาต่อๆ กัน สำเนาโบราณเหล่านั้นเป็นหลักฐานที่มีมากเกินพอว่า พระคัมภีร์เดิมนั้นน่าเชื่อถือ Moshe Goshen-Gottstein ได้ประมาณจำนวนเอกสารโบราณของพระคัมภีร์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ทั่วโลกว่ามีมากกว่าหลายหมื่นฉบับ [Norman L. Geisler and William E. Nix, A General Introduction to the Bible, Rev. and expanded. (Chicago: Moody Press, 1986), หน้า358.]
หลักคำสอนของคริสตชนมีพื้นฐานมาจากพระคัมภีร์เดิม
เมื่อเราพูดถึงหลักคำสอนของคริสตชนที่สำคัญๆ เราไม่สามารถปฎิเสธพระคัมภีร์เดิมได้เลย เพราะคำสอนพื้นฐานหลายอย่างนั้นก็เป็นคำสอนที่มาจากพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าได้เลือกที่จะเปิดเผยพระองค์เองผ่านทางพระคัมภีร์เดิม
หลักคำสอนพื้นฐานของคริสตชนได้แก่ พระยาห์เวห์ (พระเจ้า) เป็นผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งในโลกนี้ซึ่งคำสอนนี้ได้ปรากฏในพระธรรมปฐมกาล 2 บทแรก พระธรรมโยบบทที่ 38-41 และในพระธรรมสดุดี 104 พระธรรมทั้ง 3 ตอนนี้พูดถึงรายละเอียดของการทรงสร้างที่แตกต่างกัน แต่ก็ได้ย้ำถึงการที่พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ถ้าคริสตชนไม่อ่านพระคัมภีร์เดิมก็จะไม่รู้ว่าคำสอนนี้มาจากไหน
หลักคำสอนที่สำคัญประการที่สองคือ การที่มนุษย์ทุกคนตกอยู่ในอำนาจของความบาปก็เพราะมนุษย์ทุกคนสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์คู่แรกคืออาดัมและเอวา ซึ่งเรื่องราวนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 3 นอกจากนั้นคำสาปแช่งที่พระเจ้าทรงสาปแช่งงูนั้นมีคำตรัสที่น่าสนใจคือ “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย” (พระธรรมปฐมกาล 3:15) โดยปกติแล้ว พงศ์พันธุ์ของมนุษย์จะสืบเชื้อสายมาทางผู้ชาย ไม่ได้มาทางผู้หญิง แต่คำสาปแช่งนี้ได้สำเร็จจริงในสมัยพระคัมภีร์ใหม่คือในพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์เป็นเพียงผู้เดียวที่เป็นพงศ์พันธุ์ของผู้หญิง เพราะพระองค์เกิดจากผู้หญิงพรหมจารี พระองค์เป็นเพียงผู้เดียวที่จัดการกับมารได้
หลักคำสอนที่สำคัญประการที่สามคือ ผลของความบาป อาจารย์เปาโลได้กล่าวถึงผลของความบาปที่ทำให้เกิดความตายนั้นเริ่มมาจากอาดัม (พระธรรมโรม 5:14)อาดัมเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมด แต่ต่อมาพระเยซูได้เป็นตัวแทนอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้เกิดจากอาดัม จึงไม่ได้ตกอยู่ในอิทธิพลของความบาปของอาดัม พระเยซูคริสต์มีอิทธิพลในทางตรงกันข้ามกับอาดัม การกระทำที่ชอบธรรมครั้งเดียวของพระองค์จึงสามารถช่วยให้คนทั้งหลายที่วางใจในพระองค์หลุดพ้นจากอำนาจของความบาปได้ เช่นเดียวกับการละเมิดครั้งเดียวของอาดัมที่ทำให้คนทั้งโลกตกอยู่ในความบาป (พระธรรมโรม 5:15-21)การอ้างอิงของอาจารย์เปาโลนี้ถือว่า เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องที่ถูกแต่งขึ้นมา พระคัมภีร์เดิมจึงเป็นเบื้องหลังที่สำคัญสำหรับพระคัมภีร์ใหม่
หลักคำสอนที่สำคัญประการที่สี่คือ คริสตชนเชื่อว่า พระเยซูเป็นลูกแกะที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ ถ้าเราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะไม่เห็นความสำคัญและความจำเป็นของการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าเมื่อคนอิสราเอลได้ทำผิดบาปต่อพระเจ้า การที่พระเยซูต้องตายนั้นก็เพื่อไถ่เราให้พ้นจากความผิดบาปตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ พระธรรมเลวีนิติเป็นพระธรรมเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์เดิมที่ได้อธิบายเรื่องการถวายบูชาไว้อย่างละเอียด
พระเยซูเองทรงศึกษาพระคัมภีร์เดิม
ในวัยเด็กของพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ตั้งพระทัยในการศึกษาพระคัมภีร์เดิมอย่างจริงจัง พระองค์ได้ซักถามพวกอาจารย์อยู่ในพระวิหารนานมากกว่า 3 วัน (พระธรรมลูกา 2:41-47)เมื่อพระองค์ถูกพวกฟาริสีซึ่งเป็นพวกเคร่งครัดในศาสนาท้าทาย พระองค์ก็ได้โต้แย้งกับพวกเขาด้วยการอ้างเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิมมาชี้ให้พวกเขาเห็น เช่น เมื่อพวกฟาริสีเห็นสาวกของพระเยซูเด็ดรวงข้าวและขยี้ด้วยมือแล้วกินในวันสะบาโต พวกเขาก็ตำหนิสาวกว่า ทำผิดข้อห้ามในวันสะบาโต พระเยซูจึงตอบโต้พวกเขา โดยยกเรื่องราวที่ดาวิดและพรรคพวกได้รับประทานขนมปังเฉพาะพระพักตร์ ซึ่งคนธรรมดารับประทานไม่ได้ มีแต่ปุโรหิตเท่านั้นที่รับประทานได้ (พระธรรมลูกา 6:1-5)หากเราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เดิม เราก็จะไม่เข้าใจบริบทของเรื่องราวที่พระเยซูกล่าวถึง
สรุป
ผมหวังว่าบทความสั้นๆ นี้จะช่วยให้เราเห็นคุณค่าและความสำคัญของพระคัมภีร์เดิม และจะเอาจริงเอาจังในการอ่านพระคัมภีร์เดิมมากขึ้น เพื่อจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างครบถ้วนและเป็นพรแก่คนอื่นๆ ต่อไป
- ศาสนาจารย์ ดร.เสรี หล่อกัณภัย
- ภาพ www.olivetree.com/