ทำไมพระคัมภีร์ไทยจึงอ่านเข้าใจยาก?

ทำไมพระคัมภีร์ไทยจึงอ่านเข้าใจยาก?

คำถาม : พระคัมภีร์ไทยอ่านเข้าใจยาก ทำอย่างไรจึงจะทำให้อ่านเข้าใจง่ายๆ เหมือนภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษที่สื่อได้ชัด?

คำตอบ : ก่อน จะตอบคำถามข้างต้น ก็อยากจะเท้าความเดิมสักเล็กน้อย เพื่อทบทวนความเข้าใจผู้อ่าน ก่อนจะสานต่อสิ่งใหม่ คือจากการตอบคำถามทีผู้เข้าร่วมสัมมนาการแปลส่งมาในวารสารคริสตสายสัมพันธ์ 2 ฉบับที่แล้ว เราทราบว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การแปลพระคริสตธรรมคัมภีร์ออกมาต่างกันในบาง จุดนั้นก็คือ สำเนาต้นฉบับโบราณที่ยึดถือนั้นต่างกัน อาทิใน เศคาริยาห์ บทที่ 9 ข้อ 15 ท่อนที่สอง พระคัมภีร์ไทยฉบับ 1971 ยึดฉบับแปลกรีก แต่พระคัมภีร์อังกฤษฉบับ NIV ยึดสำเนาฉบับฮีบรู เป็นต้น

ตอนนี้ให้เรามาพิจารณาคำถามกันก่อน
1. ผู้ถามบอกว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยนั้นอ่านเข้าใจยาก คงต้องให้ชัดเจนว่าเป็นฉบับไหน ขององค์การอะไร เพราะปัจจุบันมีหลายฉบับให้อ่าน แต่เข้าใจว่าผู้ถามคงจะหมายถึงฉบับ 1971 ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย ซึ่งใช้กันโดยทั่วไปในคริสตจักร
2. ผู้ถามเข้าใจว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์จีนและอังกฤษอ่านเข้าใจง่ายกว่า และสื่อความหมายชัดเจนกว่า แต่ความจริงก็คือ พระคัมภีร์ทั้งสองภาษาก็มีทั้งฉบับที่อ่านแล้วเข้าใจยาก (อาทิเช่น  ฉบับ CUV ฉบับ KJV เป็นต้น)  และฉบับที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย (อาทิเช่น ฉบับ TCV ฉบับ TEV เป็นต้น)

ถามและถามต่อ
ดังนั้น ขอสรุปตรงนี้ว่า พระคัมภีร์ทั้ง 3 ภาษาคือ ไทย จีน อังกฤษ รวมทั้งภาษาอื่นๆ ก็มีทั้งฉบับที่แปลแล้วอ่านเข้าใจยากและฉบับที่อ่านเข้าใจง่าย แต่ข้อสรุปนั้นไม่ใช่คำตอบ มันกลับทำให้คิดถึงคำถามอื่นๆ อีก คือทำไมพระคัมภีร์บางฉบับอ่านง่าย และบางฉบับอ่านยาก? ทำไมจึงมีฉบับแปลต่างกันทั้งๆ ที่แปลมาจากสำเนาฉบับเดียวกันในภาษาเดิม?  ทำไมต้องมีฉบับแปลทั้งสองแบบให้คนอ่าน?
การตอบคำถามเหล่านี้ไม่ง่ายนัก แต่อยากจะเริ่มต้นตรงนี้คือ อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีฉบับแปลต่างกัน ทั้งๆ ที่ยึดถือสำเนาต้นฉบับโบราณเดียวกัน นั่นก็คือ จุดประสงค์ของการแปลที่ต่างกันนั่นเอง

จุดประสงค์การแปล
เป็นตัวกำหนดหลักในการแปล ซึ่งจะส่งผลมายังผลงาน แปลว่าจะเป็นแบบไหนคือแบบอ่านแล้วเข้าใจยาก หรือแบบอ่านแล้วเข้าใจง่าย เราพอจะแบ่งจุดประสงค์ออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ
1. แบบรักษาคำและสำนวนความให้ตรงหรือใกล้เคียงกับสำเนาต้นฉบับโบราณมากที่สุด จากจุดประสงค์นี้ นำไปสู่   หลักการแปลตามตัวอักษร (Literal Translation หรือ Formal Translation)  ซึ่งทำให้เราได้พระคัมภีร์ที่อ่านแล้วค่อนข้างเข้าใจยาก พระคัมภีร์ที่แปลแบบนี้ได้แก่ ฉบับ KJV ฉบับ ASV ฉบับ NASB เป็นต้น
2. แบบสื่อความหมายของสำเนาต้นฉบับโบราณให้ได้มากที่สุดแก่ผู้อ่านในปัจจุบัน ดังนั้นจึงไม่ยึดติดกับรูปแบบภายนอกของเดิม แต่ใส่ใจที่จะดึงเอาความหมาย มานำเสนอในรูปแบบใหม่ที่ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ จุดประสงค์นี้ให้ความสำคัญกับความหมายมากกว่ารูปแบบ และนำไปสู่หลักการแปลที่ยึดเอาความหมายเป็นหลัก (Meaning based Translation หรือ Dynamic Equivalent Translation) ซึ่งทำให้เราได้พระคัมภีร์ที่อ่านแล้วค่อนข้างเข้าใจง่าย พระคัมภีร์ที่แปลแบบนี้ได้แก่ ฉบับ TEV ฉบับ NLT ฉบับ NCV และฉบับ CEV เป็นต้น อนึ่ง เราควรเข้าใจว่าพระคัมภีร์ฉบับต่างๆ มีความเข้มข้นและเจือจางระหว่างจุดประสงค์ทั้งสองนั้นต่างๆ กันไปยกตัวอย่างฉบับ KJV และฉบับ ASV ค่อนข้างจะแปลตรงตามตัวอักษรมาก ฉบับ TEV แปลแบบยึดเอาความหมายเป็นหลัก ส่วน NIV และ NRSV ก็แปลอยู่กลางๆ ระหว่างตามตัวอักษรกับยึดเอาความหมายเป็นหลัก แต่ค่อนไปทางตามตัวอักษรมากกว่า สำหรับพระคัมภีร์ไทยในปัจจุบัน เรายึดหลัก “as literal as possible and as dynamic as necessary” คือพยายามแปลตามตัวอักษร และต้องเอาความหมายไว้ด้วย เป็นต้น

ประโยชน์ของฉบับแปลทั้ง 2 แบบ
อนึ่ง ในการศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์เพื่อเตรียมคำสอนและคำเทศนานั้น เราต้องการพระคัมภีร์ทั้ง 2 แบบ คือ แบบแปลตามตัวอักษร และแบบแปลโดยยึดเอาความหมายเป็นหลัก จะขอยกตัวอย่างจากพระธรรมโรมบทที่ 16 ข้อ 16
Greet one another with a holy kiss. (ฉบับ RSV, NIV และ NAB), Greet one another with a brotherly kiss. (ฉบับ TEV), Be sure to give each other a warm greeting. (ฉบับ CEV), Give one another a hearty handshake all around. (ฉบับ J.B. Phillips), จงต้อนรับกันด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์ (ฉบับ 1971), จงทักทายกันด้วยธรรมเนียมจูบอันบริสุทธิ์ (ฉบับ 2001), ฉบับ RSV, NIV, และ NAB แปลตามตัวอักษร แต่ฉบับ CEV แปลโดยยึดเอาความหมายเป็นหลัก ฉบับ J.B. Phillips ค่อนข้างแปลเอาความหมายเพื่อคนอังกฤษและอเมริกัน ส่วนฉบับ 1971 และ ฉบับ 2001 มีการเติมคำ “ธรรมเนียม” ลงไปเพื่อให้ผู้อ่านทราบว่า นี่คือขนบธรรมเนียมปฏิบัติของคริสเตียนยุคแรก เป็นการแสดงการทักทายกัน ไม่ได้หมายถึงการแสดงความรักต่อเพศตรงข้าม ความยากง่ายของพระคัมภีร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักการแปลอย่างเดียว บางทีขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของสำเนาต้นฉบับ    โบราณด้วย

เติมคำแต่ไม่เติมความ
ไม่ว่าพระคัมภีร์จะแปลออกมาแบบใดก็ล้วนมีคุณค่าทั้งสิ้นเพราะผู้แปลจะพิถี พิถันและระมัดระวัง ไม่เติมความลงในพระวจนะ แต่อาจเติมคำเพื่อให้ความหมายของพระวจนะชัดยิ่งขึ้น ขอยกตัวอย่างที่ ดร.ยู ซุย ยาน (ที่ปรึกษาการแปลพระคัมภีร์ สหสมาคมฯ ประจำประเทศมาเลเซีย) ให้ไว้ในการสัมมนาการแปล ดังนี้
“ในตอนเช้า เราออกจากธรรมศาสตร์ไปยังธนบุรี ระหว่างทางเราข้ามเจ้าพระยาและเห็นว่าระดับต่ำ”

คนไทยอ่านข้อความนี้ก็พอเข้าใจได้ แต่คนต่างประเทศอ่านก็ไม่เข้าใจทั้งหมด เพราะฉะนั้นหากเราเติมบางคำเข้าไปก็จะช่วยเขาเข้าใจได้ดีขึ้น โดยไม่เปลี่ยนหรือเพิ่มความหมายแต่อย่างใด ข้อความจะเป็นดังนี้

“ในตอนเช้า เราออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปยังเขตธนบุรี ระหว่างทางเราข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา และเห็นว่าระดับน้ำต่ำ”
ขอให้สังเกตว่า เราเติมคำเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ความหมายเดิมแจ่มชัดขึ้น โดยไม่ได้เติมความหมายใหม่ลงไปแม้แต่น้อย อย่างไรก็ดี พระคัมภีร์ก็คือพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ประทานแก่มนุษย์ เพื่อพวกเขาจะรู้จักพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และรู้จักพระวาทะคือ พระเยซูคริสต์ แล้วได้รับชีวิตนิรันดร์ ดังนั้นอย่าให้อะไรเป็นอุปสรรคขัดขวางเราจากการสนิทสนมกับพระเจ้า คือจากการฟังพระองค์ตรัสกับเราผ่านทางพระคัมภีร์เลย Mark Twain กล่าวว่า “คนส่วนมากไม่สบายใจ เมื่ออ่านพระวจนะบางตอนที่ไม่เข้าใจ แต่สำหรับผมแล้ว ผมพบเสมอว่า พระวจนะที่รบกวนจิตใจผมเสมอคือพระวจนะที่ผมเข้าใจดี (แต่ยังไม่ปฏิบัติ)

ตัวอักษรย่อ
ASV    :    American Standard Version
CEV    :    Contemporary English Version
CUV    :    Chinese Union Version
KJV     :    King James Version
NAB    :    New American Bible
NASB  :    New American Standard Bible
NCV    :    New Century Version
NIV     :    New International Version
NRSV  :    New Revised Standard Version
RSV    :    Revised Standard Version
TCV    :    Today’s Chinese Version
TEV    :    Today’s English Version (Good News Bible)

  • อ.ปัญญา โชชัยชาญ
  • ภาพ Pvproductions – Freepik.com