น่าปรารถนายิ่งกว่าทองคำ
ดิฉันชื่อศิริวรรณ ชุณหรุ่งโรจน์ นามสกุลเดิม “บุตรดา” ปัจจุบันอายุ 36 ปี สามีชื่อคุณอภิศักดิ์ ชุณหรุ่งโรจน์ อายุ 38 ปี เรามีบุตรสองคนชื่อน้องแมน (7 ขวบ) และน้องแหม่ม (2 ขวบ)
ปัจจุบันดิฉันและสามีประกอบกิจการส่วนตัวด้านการขายสินค้าเวชภัณฑ์โรงพยาบาล บ้านเดิมของดิฉันอยู่ที่บ้านบุ่งน้ำเต้า อ. หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์ พ่อแม่มีอาชีพทำไร่ทำนาและค้าขาย และมีลูก 3 คน ดิฉันเป็นลูกคนเล็ก ในวัยเด็กมีหลายสิ่งที่ดิฉันรับรู้เกี่ยวกับบ้านของเราคือ ครอบครัวของเรายากจนมากจนไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมด้วย และที่บ้านบุ่งน้ำเต้ามีโบสถ์คริสเตียนอยู่แห่งหนึ่งและพี่น้องทางฝ่ายแม่นับถือคริสต์หลายคนรวมทั้งแม่ด้วย แต่เมื่อแม่แต่งงานกับพ่อ แม่ถูกกีดกันไม่ให้ไปโบสถ์ ไม่ให้เชื่อพระเจ้า พ่อแม่มีปากเสียงกันบ่อยๆ และในที่สุดแม่ก็เลิกเป็นคริสเตียนไปโดยปริยาย แต่ไม่ว่าแม่จะนับถือศาสนาอะไร แม่เป็นคนใจดีและให้กับคนอื่นเสมอ ตัวดิฉันเองจะถูกพ่อเลือกให้เป็นคนไปทำบุญที่วัดเสมอทั้งๆ ที่พี่ชายกับพี่สาวน่าจะทำพิธีกรรมต่างๆ ได้ดีกว่า และนอกจากนั้น ดิฉันได้รอดตายจากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ ในหมู่บ้าน เช่น รอดจากโรคไข้เลือดออกเมื่ออายุยังไม่ถึงขวบ และเมื่อโตขึ้นก็รอดจากโดนกับระเบิดของผู้ก่อการร้ายในเพชรบูรณ์ซึ่งทำให้เด็กตายไปหลายคน ดิฉันเป็นลูกคนเล็กแต่รู้สึกฝังใจตั้งแต่เด็กจนโตว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน และให้ความเอาใจใส่ไม่เท่ากันเพราะพี่ชายและพี่สาวมักจะได้สิ่งที่เขาต้องการเสมอ ส่วนดิฉันจะไม่เคยได้สิ่งที่ต้องการเหมือนอย่างพี่ๆ
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมฯ 6 ดิฉันได้งานทำในบริษัทขายเวชภัณฑ์ และเมื่ออายุ 24 ปี ได้สมรสกับคุณอภิศักดิ์ซึ่งมีเชื้อสายจีนและขณะนั้นเป็นพุทธศาสนิกชนที่บูชาพระหลายองค์ ฝันร้ายในอดีต เช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป ดิฉันชอบทำบุญทำทานเพราะกลัวบาปและอยากไปสวรรค์ แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าจะทำบุญด้วยวิธีใด ดิฉันไม่เคยจดจำว่าตนเองได้ทำดีแค่ไหน แต่เมื่อใดที่ทำบาปก็จะจดจำฝังใจ ครั้งหนึ่งในอดีต ดิฉันคิดว่าได้เคยทำบาปและคิดที่จะต้องสร้างโบสถ์ให้กับวัดแห่งหนึ่งเพื่อลบบาปนั้น แต่แล้วก็ยกเลิกไปไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ ในอดีตดิฉันรู้ตัวว่าผูกพันกับเรื่องวิญญาณและมักจะฝันเห็นสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตมีแต่ความหวาดกลัวตั้งแต่เล็กจนโต ฟังแม่เล่า ความรู้สึกว่าตนเองมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องวิญญาณและทำบุญเท่าใดก็ไม่รู้สึกเต็มอิ่ม ประกอบกับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่ได้รับความสนใจจากพ่อแม่พี่น้องตั้งแต่เด็ก เป็นเหมือนตัวคนเดียวที่ต้องตะเกียกตะกายด้วยตนเองทุกอย่าง จิตใจของดิฉันจึงไม่ค่อยจะมีความสุขและมีความว้าเหว่อยู่ในใจลึกๆ
เมื่อดิฉันและสามีไปเปิดตลาดธุรกิจที่ จ. อุดรธานี และคลอดลูกชายคนโตเมื่ออายุ 30 ปี ดิฉันเคยยืนเกาะรั้วบ้านมองไปรอบตัวด้วยความว้าเหว่และสงสัยว่าเราเกิดมาทำไม ตอนเป็นเด็กเคยได้ยินเรื่องพระเยซูจากแม่ แม่บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสร้างมนุษย์ ดิฉันก็ถามตนเองว่าพระเยซูสร้างเรามาทำไม สร้างมาแล้วทำไมไม่ให้พ่อแม่ที่รักเรามาด้วย วันที่รู้สึกเช่นนั้น แม่ได้มาเยี่ยมพี่ชายซึ่งทำงานอยู่ที่อุดรฯ เช่นเดียวกัน ตอนนั้นแม่ได้กลับมาหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่แก่ตัวลง เกิดเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ และพ่อก็ไม่ขัดขวางแล้ว เมื่อเจอแม่ แม่ได้คุยกับดิฉันและสามีเรื่องความรักที่พระเยซูผู้เป็นพระเจ้ามีให้กับมนุษย์ทุกคน แม่บอกว่าในแผ่นดินของพระเจ้ามีความสุขบริบูรณ์รอเราอยู่และไม่มีความทุกข์ทรมานใดๆ เราแค่เข้าไปอยู่ในรั้วของแผ่นดินสวรรค์ก็ยังดี เพราะเท่ากับว่าเราได้อยู่ในแผ่นดินสวรรค์แล้ว ดิฉันรู้สึกเต็มตื้นกับเรื่องที่ได้ยินจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้ รู้สึกว่าความรักของพระเยซูที่แม่กำลังพูดถึงนั้นคือสิ่งที่เราโหยหามาตลอด ใช่เลย! นี่คือความสุขที่เราต้องการ และเป็นความสุขที่ไม่ต้องซื้อ ดิฉันตัดสินใจอยากจะลองไปโบสถ์คริสต์ในอุดรฯ ทันที และวันนั้นดิฉันได้บอกสามีว่า “พรุ่งนี้ (วันอาทิตย์) ฉันจะพาลูกไปโบสถ์ (คริสตจักร) คุณจะไปด้วยหรือไม่ก็ได้” คุณอภิศักดิ์ก็ตอบว่า “ฟังแม่เล่าแล้ว ก็อยากจะไปโบสถ์ด้วย” ดิฉันทั้งดีใจและประหลาดใจเพราะคุณอภิศักดิ์นับถือพระของเขาอย่างเคร่งครัด ไม่น่าที่จะยอมคล้อยตามดิฉันง่ายๆ ส่วนตัวดิฉันคิดว่าทางนี้คือทางที่น่าเลือก
ขายศาสนา ?
แต่ก้าวแรกของการไปโบสถ์คริสเตียนก็รู้สึกว่าไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง และที่ไม่สามารถจะทำใจได้ในตอนนั้นก็คือเราจะต้องซื้อพระคัมภีร์อ่านเอง ดิฉันต้องใช้เงินถึง 700 บาทเพื่อซื้อพระคัมภีร์ 2 เล่มให้กับตนเองและสามี จึงรู้สึกว่าโดนหลอกเข้าให้แล้ว ที่วัดพุทธมีหนังสือให้อ่านฟรีมากมายไม่เห็นจะต้องซื้อ เราน่าจะเชื่อพ่อที่บอกแล้วว่าให้ระวังตัว ดิฉันคิดว่าคงไม่เอาด้วยแล้วแต่ก็รู้สึกเสียดายแผ่นดินสวรรค์ที่แม่เล่าให้ฟังเป็นอย่างยิ่ง แม้จะรู้สึกไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง ดิฉันก็ยังไปร่วมประชุมที่คริสตจักรและชอบเพลงคริสเตียนที่ร้องว่า “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์” วันเวลาผ่านไป ดิฉันก็ยังครุ่นคิดอยู่ว่าไม่อยากเป็นคริสเตียนแล้วเพราะยังไม่ทันไรก็ต้องเสียเงินแล้ว วันหนึ่ง ดิฉันได้พูดกับสามีว่าให้เราอธิษฐานขอให้พระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่าพระเจ้าต้องการให้เราคิดอย่างไร หากเราไม่เห็นอะไร เราก็จะกลับไปทางเดิมของเรา คืนวันนั้น ลูกชายซึ่งอายุได้ 3 – 4 เดือน นอนหลับในท่าชูนิ้วชี้ทั้งสองมือขึ้น เรารู้สึกว่าลูกกำลังบอกว่า “เราเป็นหนึ่งในความรักของพระคริสต์” ตามเนื้อเพลงที่เราชอบร้องที่คริสตจักร แต่เราก็คิดว่าเป็นท่านอนธรรมดาของเด็ก ไม่มีความหมายอะไรมากกว่านั้น ทั้งคืนแม้จะไม่ค่อยสบายใจแต่ดิฉันก็นอนหลับดี พอใกล้รุ่งสาง ดิฉันได้ยินเสียงบอกว่า “เราไม่ได้ขายศาสนาแก่ท่าน แต่เราขายชีวิตให้แก่ท่าน” คำพูดนั้นทำให้ดิฉันได้คิด คนที่ “ขายชีวิต” ย่อมไม่ได้ทำเพื่อเงินและสิ่งที่ดิฉันกำลังจะเสียไปก็คือชีวิต พระเจ้าจึงต้องบอกดิฉันเช่นนั้นเพื่อให้เราเข้าใจ ดิฉันรับรู้ได้ตั้งแต่วันนั้นว่าพระเจ้ารักเราจริงๆ และเราไม่ควรจะคิดเสียดายกับเงินทองเล็กน้อยซึ่งเป็นของฝ่ายโลก ดิฉันจึงคิดอยากจะรับใช้งานของพระเจ้าในสิ่งที่ทำได้ทั้งที่ขณะนั้นฐานะของดิฉันและสามีไม่ดีเลย ความเป็นอยู่ก็ฝืดเคืองลุ่มๆ ดอนๆ เวลานั้น คริสตจักรที่ดิฉันไปร่วมประชุมกำลังจะปรับปรุงอาคารและต้องการทุนทรัพย์ ดิฉันอธิษฐานทูลกับพระเจ้าว่าอยากจะช่วยปรับปรุงโบสถ์แต่ไม่ได้มีเงินมากมาย คำตอบที่ดิฉันได้ยินในใจคือ “เราจะดูแลเจ้าภายใน 120 – 140 วัน” ระหว่างนั้น ดิฉันได้นำสินค้าเวชภัณฑ์ชิ้นเล็กๆ เช่น กระเป๋าใบละ 20 บาท มาขายให้สมาชิกของคริสตจักร เพื่อจะมีเงินมาช่วยปรับปรุงโบสถ์ตามที่ตั้งใจไว้ ทุกเช้าวันเสาร์และอาทิตย์ดิฉันจะได้ยินเสียงเพลงก้องกระหึ่มในหูฟังแล้วชื่นใจมาก ทำให้รู้สึกกระตือรือร้นอยากจะไปโบสถ์ และวันอาทิตย์ก็จะอุ้มลูกขึ้นรถเมล์ไป
ช่วงนั้นใกล้คริสต์มาสแล้ว อย่างไรก็ดี ก่อนคริสต์มาส 1 อาทิตย์ ดิฉันได้เงินจากการขายของแค่ 1,700 บาท จึงคิดว่าคงจะช่วยเหลือโบสถ์ได้แค่นั้น แต่โดยที่ไม่ทราบสาเหตุ พี่ชายของดิฉันซึ่งไม่ได้เป็นคริสเตียน ได้โทรศัพท์มาบอกว่าเห็นดิฉันอุ้มลูกเดินผ่านบ้านเขาทุกวันอาทิตย์ เขาเห็นว่าดิฉันชอบไปโบสถ์ จึงอยากจะอาสาช่วยปรับปรุงโบสถ์โดยการปูพรม ติดวอลเปเปอร์ และปรับปรุงไม้กางเขนให้ และเขาก็ได้ช่วยตามที่บอกไว้จนเสร็จโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ส่วนเงิน 1,700 บาทจากการขายของของดิฉันก็นำมาทำผ้าม่านกลมกลืนกับวอลเปเปอร์ และงานทุกอย่างก็เสร็จทันฉลองคริสตมาสในปีนั้นพอดี ในเวลานั้น ดิฉันมาเชื่อพระเจ้ายังไม่ถึงปี ยังไม่รู้เลยว่าคริสเตียนเขาขอบคุณพระเจ้ากันอย่างไร แต่ดิฉันก็สัมผัสได้ว่าการเอื้อเฟื้อของพี่ชายเป็นคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของดิฉันอย่างน่าแปลกใจ ปัจจุบันเวลาผ่านไป 4 – 5 ปีแล้ว พี่ชายยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่เขามีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในทุกด้าน ดิฉันเชื่อว่านั่นคือพระพรสำหรับน้ำใจของเขาในการมีส่วนร่วมปรับปรุงพระวิหารของพระเจ้า
ป่วยหนักและเริ่มแจกพระคัมภีร์
ในปี 2001 ดิฉันและสามีได้ย้ายเข้ามากรุงเทพฯ ดิฉันได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สองแต่แท้งไป ตั้งแต่นั้นมาก็ล้มป่วยกลายเป็นคนไม่แข็งแรง มีอาการหัวใจโตและเกือบจะเป็นอัมพฤกษ์ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย มีแต่จะอ้วนขึ้นเพราะรับน้ำเกลือ สุขภาพแย่ลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นต้องมีคนพยุงไปไหนมาไหน ดิฉันรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นคนขี้บ่นขี้โมโหจนจำไม่ได้ว่าทำอะไรไม่ดีไปบ้าง จึงได้อธิษฐานทูลพระเจ้าว่าเราคงได้ทำอะไรผิดไปมากจึงได้เป็นเช่นนี้ ขอให้พระเยซูคริสต์ช่วยชำระความผิดของดิฉันด้วย พลันก็มีเสียงเกิดขึ้นในใจว่าให้รักษาด้วยวิธีอบตัว เมื่อสามีทราบ เขาได้ห้ามไว้เพราะเกรงว่าจะไปเป็นลมอยู่คนเดียว แต่ดิฉันก็อดทนเดินไปใช้บริการอบตัวที่ร้านเสริมสวยและทำได้ประมาณ 1 อาทิตย์ก็รู้สึกดีขึ้นและแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จึงได้ใช้วิธีอบตัวเสริมจากการรักษาทางการแพทย์ด้วย เมื่อเจ็บป่วยขนาดนี้ ดิฉันคิดว่าตนเองอาจจะไปจากโลกนี้เมื่อไหร่ก็ได้ และหากจะต้องไปพบพระเยซูคริสต์ผู้รักเรามากมาย เราคงจะต้องเสียใจที่ทำงานเพื่อพระองค์น้อยไป ดังนั้น ในขณะที่ยังมีโอกาส ก็อยากจะแจกจ่ายพระคำของพระเจ้าให้กับผู้อื่น เพราะมีข้อพระคัมภีร์บอกว่า ทุกสิ่งในโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแต่พระคำของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง จะยั่งยืนและมีค่ากับชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง ดิฉันเริ่มทำตามความคิดนี้ ครั้งแรกสุดก็ซื้อหนังสือเพลงชีวิตคริสเตียนด้วยเงินประมาณ 1,700 บาทด้วยความเกรงใจสามี เพราะตั้งแต่ดิฉันล้มป่วยเขาก็ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียว ทั้งค่ารักษาพยาบาลสำหรับตนเองก็เป็นเงินสูงมาก แต่แม้จะเกรงใจสามี ดิฉันก็ยังมีภาระใจที่จะซื้อพระคัมภีร์ไว้แจกต่อไป ดิฉันหาเบอร์โทรศัพท์ของสมาคมพระคริสตธรรมไทยผ่าน 1133 และสั่งซื้อพระคัมภีร์และหนังสือคริสเตียนเป็นเงินถึง 4,000 บาท แล้วนำพระคัมภีร์ไปแจกที่คริสตจักรที่บ้านเกิดที่เพชรบูรณ์เป็นจุดแรก ที่นั่นมีป้าคนหนึ่งมารับพระคัมภีร์เล่มละแค่ร้อยกว่าบาทด้วยมือสั่นและน้ำตาไหล ส่วนที่อำเภอหล่มเก่า ศิษยาภิบาลของคริสตจักรทับเบิกซึ่งเป็นคริสตจักรชาวม้ง สู้อุตส่าห์เดินทางลงมาถึงตีนเขาเพื่อรับจดหมายตลอดจนพระคัมภีร์ภาษาม้งซึ่ง ส่งไปทาง รสพ. เพราะการสื่อสารไปไม่ถึงบนเขา ภาพเหล่านี้เป็นแรงบรรดาลใจให้ดิฉันแจกพระคัมภีร์ต่อไปเพื่อคนจะได้รับข่าว ประเสริฐของพระเยซูคริสต์และรับความรักของพระองค์เช่นเดียวกับที่เราได้รับ ขั้นต่อมา ดิฉันใช้วิธีเปิดหนังสือคริสเตียนไดเร็คทอรี่ (สมุดรายชื่อหน่วยงานคริสเตียน) และติดต่อถามไปยังคริสตจักรต่างจังหวัดว่าต้องการพระคัมภีร์หรือไม่ แล้วก็ส่งพระคัมภีร์ออกไปตามที่เขาต้องการ
อุปสรรคขัดขวางการรับบัพติศมา
ในปีเดียวกันนั้น ขณะที่ร่างกายยังอ่อนเปลี้ยอยู่มากๆ และได้เริ่มแจกพระคัมภีร์ให้แก่คริสตจักรในท้องที่ห่างไกลความเจริญแล้ว ดิฉันและสามีคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเข้าพิธีรับบัพติศมาเพื่อประกาศตนเป็นคริสเตียนอย่างเป็นทางการ และเราจะเข้าพิธีนี้พร้อมกันที่คริสตจักรธนบุรีซึ่งเราเป็นสมาชิกเมื่อมาอยู่กรุงเทพฯ พระคุณของพระเจ้าได้มีมายังครอบครัวของเราอย่างเด่นชัด พระองค์เอาชนะอุปสรรคทั้งหมดที่ขัดขวางเราอย่างเกินความเข้าใจ
ในช่วงนั้น เราได้พาลูกชายคนโตอายุ 2 ขวบไปฝากไว้กับยายที่เพชรบูรณ์เพื่อดิฉันจะได้มีเวลาพักฟื้น แต่แล้วเกิดเหตุน้ำท่วมภูเขาถล่มที่เพชรบูรณ์ เมื่อเราเดินทางไปรับลูก ปรากฏว่าทั้งบ้านย้ายหนีน้ำไปอยู่ที่ไหนไม่ทราบ เราต้องออกตามหาอยู่นาน เมื่อพบแล้วจะกลับกรุงเทพฯ ทางไหน น้ำก็ท่วมทางไปหมดไม่ว่าจะเป็นทางเพชรบูรณ์ ทางจังหวัดเลย หรือชัยภูมิ ลูกก็ไม่สบายมีไข้สูงและมีโอกาสที่จะชักได้ตลอดเวลา และวันอาทิตย์ที่จะถึงนั้นเป็นวันที่เราจะเข้าพิธีรับบัพติศมาแล้ว ดิฉันกับสามีได้พูดหนุนใจกันว่าแม้มารขัดขวางไม่ให้เราเป็นลูกของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าพระเจ้าเลือกเราแล้ว จะไม่มีสิ่งใดขัดขวางเราได้ เราได้ตัดสินใจว่าจะต้องเลือกทางใดหนึ่งเพื่อจะกลับกรุงเทพฯ ให้ได้ และเราก็ได้พบว่าทางที่เราเลือกนั้น มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่เราจะพึ่งพาได้หากจำเป็นเพราะลูกยังมีไข้สูงอยู่ ท้ายที่สุดเราก็มาถึงกรุงเทพฯ ด้วยความปลอดภัยและนำลูกเข้าโรงพยาบาล อย่างไรก็ดี ในวันเสาร์ก่อนถึงวันรับบัพติศมา เราไม่มีคนมาช่วยเฝ้าลูกที่โรงพยาบาล เราก็แจ้งไปที่คริสตจักรธนบุรีว่าคงจะต้องเลื่อนการรับบัพติศมาออกไป เช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์พอดี พระเจ้าได้นำพาให้มีญาติทางฝ่ายสามีมาช่วยเฝ้าหลาน ดิฉันจึงได้รีบโทรศัพท์ไปยืนยันกับทางคริสตจักรว่าจะไปรับบัพติศมาอย่างแน่นอน มีเสียงไชโยดังลั่นจากคนกลุ่มใหญ่ทางปลายสายฝั่งโน้นทำให้เรารู้ว่าทางคริสตจักรกำลังอธิษฐานเผื่อเราอย่างใจจดใจจ่อ แล้วเราก็ได้รับบัพติศมาพร้อมกันในวันนั้น
สำหรับครอบครัวทางฝ่ายสามีซึ่งมีเชื้อสายจีนและนับถือพระหลายองค์ แม้จะไม่แสดงอาการต่อต้านในเรื่องนี้ แต่ในระยะแรกๆ ที่เรามาเป็นคริสเตียนและประสบปัญหาทางการเงินซึ่งเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจทั้งประเทศ เขาก็จะเตือนว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้วไม่ดี ให้กลับไปหาความเชื่อเดิมเพื่อจะมีกินมีใช้ ส่วนเราสองคนเชื่ออย่างสุดจิตสุดใจว่าพระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเราและจะประทานสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอ และเราก็ได้รับตามที่เราเชื่อ แจกพระคัมภีร์ต่อไป ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของดิฉันย่อมไม่ใช่เหตุบังเอิญ แม้ร่างกายจะไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน แต่ดิฉันแน่ใจว่าพระเจ้าได้วางเราไว้ในที่ที่มีความสุขที่สุด ความเจ็บป่วยกลับเป็นพรต่อชีวิตครอบครัวในหลายๆ ด้าน จากเดิมที่เราเคยทำงานตัวเป็นเกลียวทั้งสองคน ไม่มีเวลาเหลือให้ครอบครัว เมื่อมาเจ็บป่วยและออกทำงานกับสามีไม่ได้ ปัจจุบันก็อยู่บ้านดูแลลูก ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ ให้ชีวิตเป็นที่นมัสการและสรรเสริญพระเจ้า และจัดการงานแจกพระคัมภีร์ต่อไป แต่เดิมเราเคยเป็นผู้หญิงเก่ง เป็นคนริเริ่มธุรกิจ สามีจะทำอะไรก็ต้องปรึกษาเรา บางครั้งเรารู้สึกหงุดหงิดที่สามีดูอ่อนแอและไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด และครั้งหนึ่งก็บ่นออกมา พระเจ้าก็ให้เราละอายใจที่ตัวเราเองต่างหากที่ไม่เคยเปลี่ยน คนที่ควรจะปรับปรุงคือตนเอง และเมื่อเรายอมเปลี่ยนแปลงทุกอย่างก็ดีขึ้น โดยความบกพร่องฝ่ายร่างกาย บัดนี้พระเจ้าได้เปลี่ยนให้สามีเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างแท้จริง ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือแม้สามีจะทำงานหาเงินอยู่คนเดียว ต้องออกต่างจังหวัดและกลับบ้านเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ เขาก็ยังสนับสนุนงานแจกพระคัมภีร์ด้วยใจยินดี แน่นอนที่กิจกรรมนี้ย่อมต้องใช้เงินมาก ดิฉันรู้สึกเกรงใจสามีแต่ก็ได้ขออนุญาตใช้เงินในส่วนที่ตนเองมีสิทธิ์จะใช้ได้ รวมทั้งได้ให้สามีกับแม่เป็นผู้รับสิทธิ์ในเงินประกันชีวิตเพื่อแลกกับเงินในส่วนที่จะต้องนำมาซื้อพระคัมภีร์แจก แม่เองเคยสอนว่าไม่ว่าเราจะถวายอะไร พระเจ้าก็จะเก็บสิ่งนั้นไว้ให้เราพร้อมบำเหน็จในสวรรค์ ข้อความนี้เป็นความชุ่มชื่นใจเสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ดิฉันป่วยหนักจนใกล้จะตายหลายครั้ง บางช่วงเราอาจจะหยุดแจกพระคัมภีร์ชั่วคราวเพราะยังไม่มีเงินพอ แต่แล้วสามีก็จะโทรศัพท์มาบอกว่าขายของได้แล้ว เก็บเงินลูกค้าได้แล้ว นั่นก็หมายความว่าเรามีทุนพอที่จะแจกพระคัมภีร์ต่อไปได้ และแม้บางวันที่เราตั้งใจจะไม่ขายเพื่อจะออกไปเยี่ยมเยียนเพื่อนคริสเตียนที่หายหน้าหายตาไปจากคริสตจักร ก็จะมีการสั่งซื้อเข้ามาจากโรงพยาบาลซึ่งเป็นลูกค้าประจำโดยเราไม่จำเป็นต้องออกไปหาเขา ทำให้ยอดขายไม่ตก ดิฉันพูดได้ว่าเราไม่เคยอยู่ในสภาพยากไร้ แท้จริงความเป็นอยู่ของเราดีขึ้นกว่าในอดีตซึ่งเราเคยแทบจะหมดเนื้อหมดตัวมาก็หลายครั้ง
ทำแล้วได้อะไร ?
เมื่อย่างเข้าปีที่ 11 ของการแต่งงาน มีหลายคนถามว่าเราได้อะไรกับสิ่งที่ทำอยู่เพราะนอกจากพระคัมภีร์แล้ว ดิฉันมักจะแจกจ่ายเสื้อผ้าทั้งของตนเอง สามี และลูก ให้กับคนยากไร้ที่ได้พบเห็น จนบางครั้งทั้งบ้านเหลือเสื้อผ้าติดตัวอยู่เท่าที่จำเป็น ทำให้สามีหงุดหงิดและบางครั้งเป็นปากเสียงกัน นานวันเข้า ดิฉันก็เริ่มจะรู้สึกไม่ดีและอยากจะขอโทษลูกและสามีที่ทำร้ายจิตใจเขามานาน ด้วยการเอาเสื้อผ้าที่เขารักทั้งเก่าและใหม่ไปยกให้คนอื่นหลายครั้ง และตั้งใจว่าจะเลิก “แจก” แล้ว เลิกแจกพระคัมภีร์และพยายามจะไม่มองคนยากจนที่ไม่มีเสื้อผ้าจะพันกาย แต่ก่อนจะเลิกจริงขอแจกพระคัมภีร์อีกสัก 50 เล่มเป็นครั้งสุดท้าย! วันที่คิดเช่นนั้น ดิฉันมองไปที่บ้านของเรา มองไปที่รถของเรา มองเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ ทุกอย่างมีราคา ดิฉันก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิดต่อพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงให้แก่เรามากมายเหลือเกิน มากเกินกว่าที่เราจะตอบแทนด้วยสิ่งที่เราคิดว่าได้ให้แก่เพื่อนมนุษย์ การเสริมกำลังของพระองค์ในเวลาที่เราขาดกำลังก็ช่างชัดเจนเหลือเกิน สามีและลูกเป็นพรในการรับใช้พระเจ้าตลอดมา น้องแมนลูกชายคนโตก็มีส่วนช่วยในการห่อพระคัมภีร์ส่งตั้งแต่เขาอายุแค่ 6 ขวบ และพระเจ้าได้เมตตาตอบคำอธิษฐานวิงวอนของเขาเพราะเขาอยากมีน้องสาวที่ “สวยเหมือนนางฟ้า” ทั้งๆ ที่แพทย์ในสองโรงพยาบาลใหญ่เคยลงความเห็นว่าดิฉันไม่สามารถมีลูกได้อีกเพราะ แท้งมามากกว่าหนึ่งครั้งและร่างกายไม่แข็งแรง แม้จะทำกิ๊ฟท์หรือวิธีใดที่ต้องใช้เงินเป็นแสนก็เป็นไปไม่ได้ แต่แล้วร่างกายของดิฉันก็ปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นอย่างอัศจรรย์จนในที่สุดก็ ตั้งครรภ์ได้เองและให้กำเนิดลูกสาวที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกคนหนึ่งคือน้องแหม่ม ปัจจุบันอายุ 2 ขวบ
เมื่อเราทำได้ ทุกวันนี้ “โครงการแบ่งปันพระพร” ของเรายังดำเนินอยู่ต่อไป เรายังเปิดสมุดโทรศัพท์คริสเตียน เพื่อส่งพระคัมภีร์ให้คริสตจักรที่อยู่ไกลๆ โดยมุ่งไปยังพื้นที่ภาคอีสานก่อน เป้าหมายคือ 100 เล่มต่อครั้ง ปีละ 2 – 3 ครั้งแล้วแต่ทุนทรัพย์ เฉลี่ยแล้วคริสตจักรหนึ่งจะได้รับครั้งละ 20 เล่มหรือตามจำนวนที่ขอมา เราดีใจที่เขาอยากได้พระคัมภีร์ ลูกชายคนโตอายุแค่ 7 ขวบ ก็มีส่วนช่วยในการห่อพระคัมภีร์ส่ง เราทำทุกอย่างด้วยตนเองและยินดีรับภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยไม่ขอความช่วยเหลือจากใครเพราะรู้ว่าเงินหายาก ทั้งนี้ ดิฉันได้ขอร้องให้คริสตจักรที่ได้รับพระคัมภีร์เหล่านั้นไม่ให้อ้างถึงชื่อของเรา แต่ขอให้ใช้พระคัมภีร์เป็นสื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงต่อไป และดิฉันก็ไม่เก็บจดหมายขอบคุณไว้เป็นหลักฐานใดๆ เราทำเช่นนี้เพื่อตอบแทนพระคุณของพระเจ้าที่เติมเต็มชีวิตของเรา ช่วยให้คนบาปอย่างเราได้รับความรอด สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เราจะมีติดตัวไปรายงานต่อพระเจ้าเมื่อไปจากโลกนี้ เราอยากให้พระเยซูคริสต์ยิ้มได้บ้างเมื่อพระองค์คิดถึงเรา และเราอยากมองตาพระองค์ได้ในวันนั้นเมื่อเราอยู่เบื้องหน้าพระองค์ สุดท้ายนี้ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องที่ได้รับพระคัมภีร์ ขออย่าให้ท่านกระวนกระวายที่จะต้องรู้ว่าผู้ที่ส่งพระคัมภีร์นั้นอยู่ที่ไหนเพราะเราเป็นคนธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวย พระพรทุกอย่างมาจากพระเจ้า ขาดพระองค์ก็จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ เมื่อท่านได้รับพระพรก็ขอให้สรรเสริญพระเจ้าเพราะพระองค์มีค่าสมควรแก่การสรรเสริญอย่างสูงสุด
ขอให้ท่านอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเข้มแข็งที่จะต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ด้วยกำลังจากพระองค์ เพื่อท่านได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ และเราจะได้พบกันที่นั่นเพื่อสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดีร่วมกัน “เมื่อมีปัญหาในคริสตจักร จะมีคนเฝ้าคอยดูความวิบัติ หากเราเป็นคนนั้นที่เฝ้ารอดูความวิบัติของคนอื่น วันหนึ่งเมื่อเขามีโอกาสคุกเข่าอธิษฐานสารภาพกับพระเจ้า เขาก็จะไม่กลายเป็นคนชอบธรรมหรือ ? แล้วเราซึ่งเป็นคนที่คอยดูความวิบัติก็จะไม่กลายเป็นคนอธรรมหรือ ? แล้วเราก็จะไม่ต้องรับโทษนั้นแทนเขาหรือ ? และถ้าวันใดที่คนนั้นลุกขึ้นแบกกางเขนเข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้า เราก็จะกลายเป็นคนอยู่นอกรั้ว แต่งตัวสวยงาม แต่ไม่สามารถเข้าไปในแผ่นดินของพระเจ้าได้ ให้เราทุกคนชำระตนเองมุ่งสู่ทางแห่งแผ่นดินสวรรค์และอย่าลืมดึงพี่น้องที่หลงผิดให้กลับใจและเดินไปพร้อมกับเรา เพราะจริงๆ แล้วไม่มีใครดีเลิศ ทุกคนย่อมมีเวลาที่จะอ่อนแอด้วยกันทั้งนั้น” ศิริวรรณ ชุณหรุ่งโรจน์
จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้าและอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น (สุภาษิต 3: 5 – 6) กฎหมายของพระเจ้ารอบคอบและฟื้นฟูจิตวิญญาณ กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นแน่นอน กระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา ข้อบังคับของพระเจ้านั้นถูกต้อง กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง ความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจดถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริงและชอบธรรมทั้งสิ้น น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงจากรวง อนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นที่ตักเตือนผู้รับใช้ของพระองค์ การที่จะรักษาข้อความเหล่านั้นก็ได้บำเหน็จอันใหญ่ยิ่ง (สดุดี 19:7 – 11)
- คุณศิริสรรณ ชุณหรุ่งโรจน์