บทเรียนยิ่งใหญ่จากอิสราเอล
ผู้เผยพระวจนะโฮเชยากล่าวว่า “เมื่ออิสราเอลยังเด็ก เราก็รักเขา… เราจูงเขาด้วยสายแห่งความเมตตา” (ฉชย.11:1,4) สายใยแห่งรักนี้ไม่เคยหายไปจากอิสราเอล ผู้เขียนเป็นพยานได้เพราะเห็นด้วยตาตนเองเมื่อไปทัศนศึกษาที่อิสราเอลหนึ่งสัปดาห์ ในอดีตเคยเดินทางไปอิสราเอลในปี 2010 ผู้เขียนได้ท่องเที่ยวไปตามสถานที่สำคัญต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ และต่อมาในเดือนมีนาคม 2016 ก็มีโอกาสกลับไปเยือนที่นั่นเป็นครั้งที่สอง
อิสราเอลเป็นประเทศเล็กๆ มีพื้นที่ใหญ่กว่าจังวัดเชียงใหม่เพียงเล็กน้อย (ประมาณ 20,770 ตร.กม.) แต่มีบทบาทในสังคมโลกมากมาย เป็นข่าวตามสื่อต่างๆ เสมอ นับตั้งแต่ประกาศเป็นรัฐอิสราเอลในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1948 จนถึงปัจจุบัน รวมเวลา 69 ปี ที่คนยิวได้เปลี่ยนแผ่นดินแห้งแล้งให้กลายเป็นแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ เวลานานนับสองพันปีที่แผ่นดินนี้อยู่ใต้การปกครองของคนข่างชาติ นับตั้งแต่พระวิหารถูกทำลายใน ค.ศ. 70 แผ่นดินนี้ถูกคนต่างชาติครอบครอง บางส่วนถูกทิ้งร้าง กลายเป็นทะเลทรายเวิ้งว้าง ต้นไม้ถูกตัด ไม่มีใครสนใจทำนุบำรุง แต่ประมาณ 70 ปีที่แล้ว ชาวยิวรุ่นใหม่ได้กลับไปสร้างชาติ พวกเขาต่างหวงแหนแผ่นดินของบรรพบุรุษ เพราะแผ่นดินนี้ได้มาโดยการซื้อจากชาวพื้นเมืองด้วยราคาแพงพวกเขาใช้เงินจำนวนมหาสารซื้อที่ดินว่างเปล่า แห้งแล้ง ต่อมาเมื่อมีการพื้นฟูสภาพ พัฒนา บำรุงดิน อิสราเอลยุคใหม่กลายเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ มัคคุเทศก์ชาวยิวเล่าให้ฟังว่า เมื่อที่ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้น คนที่ขายให้กลับอยากได้คืน จึงเกิดเป็นสงครามแย่งชิงพื้นที่ ดังนั้น พวกเขาจึงต้องซื้อแผ่นดินนี้ถึงสองครั้งคือ ครั้งแรกซื้อด้วยเงินที่แสนแพง และครั้งที่สองซื้อด้วยเลือดเนื้อของพวกเขาเอง แน่นอนที่เดียว พวกเขารักและหวงแหนแผ่นดินแห่งพระสัญญายิ่งหนัก
วันนี้แผ่นดินที่ร้างเปล่ากลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าในทุกด้าน ประเทศต่างๆ เดินทางไป ศึกษาดูงานพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดของคนยิว อิสราเอลเป็นประเทศที่ทรัพยากรธรรมชาติน้อยมาก ไม่มีบ่อน้ำมันเหมือนเพื่อนบ้าน แต่มีทรัพยากรมนุษย์ที่เก่งกาจ ปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระดับสูงเกือบสามแสนคน ร่วมกันสร้างชาติจากจำนวนประชากร 8 ล้านคน กลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจระดับต้นๆ ของโลก รายได้ประชากรเฉลี่ยต่อหัว 1.3 ล้านบาทต่อปี(อันดับที่ 24 ของโลก) อิสราเอลแม้จะอยู่ท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่เป็นมิตร แต่กลับมีความก้าวหน้าทุกด้าน มีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปทำธุรกิจแม้มีความเสี่ยงสูง แสดงถึงศักยภาพของประเทศเล็กๆ แห่งนี้
เวลาผ่านไปนับจากการไปเยื่อนครั้งแรก แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า จากแผ่นดินที่เคยเป็นทะเลทราย คนยิวสามารถเอาชนะความแห้งแล้งได้ วันนี้มองไปทางไหนในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มีแต่ความเขียวขจี ไร่นามีต้นข้าวสาลี องุ่น อินทผลัม กล้วย มะม่วง และพืชอีกหลากหลายชนิดที่ไม่น่าปลูกขึ้นได้กลางทะเลทราย กลับเบ่งบานงดงาม อิสราเอลเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าการเกษตรเหล่านี้ ขณะที่รายได้เป็นหลักสำคัญของอิสราเอลคือ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีระดับสูงด้านต่างๆ มีการพัฒนาทะเลทรายเนเกฟ ทางตอนใต้ของประเทศให้เป็นซิลิคอนแวเลย์แห่งใหม่ของโลก (ชมได้จากรายการจาก “วอยซ์ทีวี” ‘Start-up Nation’คิดอย่างไร..ใหญ่อย่างอิสราเอล รายการ Global Village ประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 http://showa.voicetv.co.th./global-village/458925.htm และStart-up Nation ‘ซิลิคอนแวลีย์แห่งอิสราเอล” รายการGlobal Villageประจำวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2560 http://showa.voicetv.co.th./global-village/461067.him)
ชนชาติแห่งพันธสัญญาในแผ่นดินแห่งคำสัญญา
แผ่นดินอิสราเอลมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ย้อนกลับไปในสมัยอับราฮัมบรรพบุรุษของพวกเขา พระเจ้าทรงเรียกท่านออกจากเมืองฮาราม ท่านได้ละทิ้งชีวิตที่สุขสบาย เดินทางไปยังดินแดนที่ทรงสัญญาไว้ พระเจ้าตรัสว่า “(1) เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ (2) เราจะอวยพรเจ้า (3) จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต (4) แล้วเจ้าจะเป็นพร… (5) บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า” (ปฐม. 12:1-3)
พระประสงค์ที่สำคัญที่สุดของพระเจ้าในการเลือกชนชาติอิสราเอลก็คือ เพื่อ “พวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา” (อพยพ 19:5-6) พระเจ้าทรงเลือกชนชาตินี้ให้ทำหน้าที่เป็น “ปุโรหิต” เป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เพื่อให้แผนการไถ่มนุษย์ให้รอดจากบาปสำเร็จ โดยทรงสัญญาว่าจะให้พระผู้ไถ่มาจากชนชาตินี้
เหตุที่พระเจ้าทรงเลือกอิสราเอล “ท่านเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกท่านออกจากชนชาติทั้งสิ้นที่อยู่บนพื้นโลก ให้มาเป็นชนชาติของพระองค์ เป็นของล้ำค่าของพระองค์ ที่พระยาห์เวห์ทรงรักและทรงเลือกท่านทั้งหลายนั้นไม่ใช่เพราะท่านทั้งหลายมีมากกว่าชนชาติอื่น เพราะในบรรดาชนชาติทั้งหลาย ท่านมีจำนวนน้อยที่สุด แต่เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักท่านทั้งหลาย และพระองค์ทรงรักษาคำปฏิญาณซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกท่าน” (ฉธบ.7:6-8)
บันทึกในพระคัมภีร์ทำให้เราทราบความเป็นมา ของชนชาติอิสราเอล และพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชนชาตินี้ ตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับชนชาติยิวเมื่อเทียบพวกเขากับชนชาติอื่นในยุคนั้น วันนี้ มหาอำนาจของโลกโบราณอย่างอียิปต์โบราณ บาบิโลน มิโด-เปอร์เชีย กรีซ และโรมัน ล้วนสูญหายไปตามการเวลา แต่อิสราเอลชนชาติเล็กๆ กลับดำรงอยู่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ชนชาตินี้ยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกมาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงการที่พระเจ้าทรงรักษาพันธสัญญาของพระองค์อย่างเหนียวแน่น แม้เวลาผ่านไปนานสักเท่าใดก็ตาม พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ตามที่ทรงสัญญาว่า “แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเราจนถึงพันชั่วอายุคน” (อพย.20:6)
โมเสสกล่าวว่า “พระยาห์เวห์จะทรงทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง ทำให้สูงขึ้นเท่านั้นไม่ใช่ต่ำลง” (ฉธบ.28:11-13) ขณะเดียวกันพระเจ้าทรงเตือนว่า หากพวกท่านไม่เชื่อฟัง จะได้รับผลตรงข้ามกัน “แต่ถ้าท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และไม่ระวังที่จะทำตามพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้และคำสาปแช่งเหล่านี้จะลงมาเหนือท่านและตามท่านทัน” (ฉธบ.28:15-68)
แผ่นดินแห่งพระสัญญาวันนี้
หลายท่านคงอยากทราบว่าบ้านเมืองในอิสราเอลวันนี้ ซึ่งมีอายุยาวนานนับตั้งแต่คนอิสราเอลอพยพเข้าไปอยู่ในคานาอันจนถึงปัจจุบันกว่า 3,300 ปี อยู่ในสภาพอย่างไร เป็นตามที่พระสัญญาของพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมหรือไม่ จากการเดินทางทัศนศึกษาตามเมืองต่างๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเมืองเก่าแก่ มีความก้าวหน้าเข้าเหมือนเมืองอื่นทั่วโลก แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นเมืองโบราณไว้ให้ผู้มาเยือนได้ย้อนอดีตยาวนานนับหลายพันปีได้อย่างไม่น่าเชื่อ
กรุงเยรูซาเล็ม
นครหลวงเก่าแก่ที่สุดของโลก ดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เยรูซาเล็ม ซึ่งมีความหมายว่า นครแห่งสันติ ปรากฏครั้งแรกในพระธรรมโยชูวา 15:63 กษัตริย์ดาวิดทรงสถาปนาให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง และกษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างวิหารหลังแรก หลังจากกลับจากเป็นเชลยในบาบิโลน เอสราและเนหะมีย์ได้สร้างวิหารหลังที่สอง กษัตริย์เฮโรดทรงปฏิสังขรณ์ให้สวยงาม และถูกทำลายในปี ค.ศ.70 โดยกองทัพโรมัน คงเหลือกำแพงฝั่งตะวันตกมาจนถึงทุกวันนี้
เยรูซาเล็มในวันนี้ยังคงความเป็นนครแห่งศาสนาที่มีผู้นับถือกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกได้แก่ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม มีศาสนิกชนจำนวนมากจากทั่งโลกไปเยี่ยมเยือนไม่ขาดสายตลอดทั้งปี
สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และพระคัมภีร์อื่นๆ ยังคงมีอยู่เหมือนสมัยของพระเยซู สระเบธซาธา บริเวณที่ตั้งพระวิหาร ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งสุเหล่าของชาวมุสลิม ยังคงหลงเหลือสภาพโดยรอบให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอดีต แม้แต่ก้อนหินบนถนนอันเก่าแก่ ภูเขามะกอกเทศ และต้นมะกอกอายุนับพันปี สถานที่พระเยซูทรงอธิษฐานก่อนถูกจับไปไต่สวน บ้านของมหาปุโรหิตคายาฟาส สถานที่สอบสวนและที่คุมขังพระเยซู ถนนที่พระเยซูทรงแบกกางเขน ย้ำให้คริสเตียนมั่นใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เป็นหลักฐานให้เห็นว่าเรื่องราวที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นความจริง
สถานที่และหลักฐานเป็นเสมือนใบรับรองความถูกต้องของพระคัมภีร์ คือ การค้นพบสำเนาต้นฉบับพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมในภาษาฮีบรูที่ถ้ำ “คุมราน” ใกล้ทะเลตาย ซึ่งมีเนื้อหาสาระตรงกับพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมที่เราใช้ในปัจจุบันยกเว้นพระธรรมเอสเธอร์ สิ่งเหล่านี้ยืนยั่นให้ผู้เชื่อมั่นใจได้ว่า พระธรรมที่เรามีอยู่ในมือมีความเที่ยงตรงตามต้นฉบับภาษาเดิม แสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันและความเสียสละของธรรมจารย์ อาลักษณ์ ผู้คัดลอกพระคัมภีร์เหล่านั้น
เมืองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และพระคริสต์
ตลอดการเดินทางของคณะท่องเที่ยว เราแวะเยี่ยมเมืองต่างๆ เพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์เช่น เมืองซีซารียา เมืองท่าสร้างโดยกษัตริย์เฮโรดมหาราช เพื่อถวายพระเกียรติแก่ซีซาแห่งโรมัน เมืองยัฟฟา บ้านของนางโดรคัส เมืองเบธเลเฮ็ม สถานที่ประสูติของพระเยซูและเรายังเห็นทุ่งหญ้าคนเลี้ยงแกะ เมืองเยรีโคที่ยังคงมีกองหินและดินแสดงถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต แม้ปัจจุบันทั้งสองเมืองนี้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐปาเลสไตน์ คนที่นี่ยินดีเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชม
เมืองนาซาเร็ธ บ้านของมารีย์และโยเซฟ ไม่ไกลจากทะเลกาลิลี พระเยซูทรงเติบโตและเริ่มพระราชกิจที่นี่ ขณะของเราไปพักที่ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี ด้านทิเบเรียส ไปเยี่ยมชม “คิบบุตซ์” (Kibbutz) “คินเนเรท” หนึ่งในจำนวน 250 ชุมชมเกษตรกรรมตามชนบท มีการจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตรมากมายหลายชนิด ที่นี่มีผลิตผลเช่น อินทผลัม ซึ่งมีขนาดใหญ่ รสชาติดีเยี่ยม คิบบุตซ์แห่งนี้ เริ่มต้นจากความว่างเปล่า ผืนดินเมื่อชาวยิวไปตั้งรกรากมีต้นไม้เพียงต้นเดียว แต่วันนี้อุดมสมบูรณ์ด้วยสวนอินทผลัม และพืชอีกนาๆชนิด
เราได้สัมผัสบรรยากาศบนภูเขาคารเมล สถานที่ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ต่อสู้กับปุโรหิตพระบาอัล มองเห็นทุ่งราบยิสเรเอล และเมกิดโด วันนี้มีแต่ความเขียวขจีและไร่สวน เราดื่มด่ำบรรยากาศบนภูเขาแห่งการเทศนาบนฝั่งทะเลกาลิลี จากนั้นลงเรือไปท่องทะเล ซึมซับบรรยากาศความเงียบ มโนภาพพระเยซูทรงประทับอยู่บนเรือกับสาวก ทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า วิถีชีวิตชาวกาลิลีสมัยนั้นเป็นอย่างไร เมืองคาเปอรนาอุม ศูนย์กลางการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูกับเหล่าสาวก (มัทธิว 4:13) เป็นที่ตั้งของธรรมศาลาที่พระเยซูและสาวกเข้านมัสการ บริเวณริมฝั่งทะเลกาลิลีที่พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน ทรงพบกับสาวกหลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย สภาพแวดล้อมของทะเลสาบแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไม่มากหนัก
พระพรสู่คนยิวรุ่นปัจจุบัน
สถานที่อีกแห่งหนึ่งสำหรับผู้ไปเยือนอิสราเอลจะไม่พลาดไปเยี่ยมชม คืออนุสรณ์สถานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 “ยาด วาเชม” ซึ่งเก็บวัตถุพยานและข้อมูลต่างๆ ของเหตุการณ์ในอดีตอันโหดร้าย การทำลายเผ่าพันธุ์ยิวในยุโรป ทำให้เราเห็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับชนชาตินี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่อดีต และปัจจุบัน มีทั้งพระพรและความทุกข์ยากที่ชาวยิวได้รับ จนหล่อหลอมให้ชนชาตินี้เข้มแข็งและเป็นนักต่อสู้ มีการเปรียบชนชาติอิสราเอลเป็นเหมือนต้นมะกอกเทศแม้ถูกตัดเหลือเพียงตอ ก็ยังผลิใบใหม่ได้ เมื่อรับน้ำและแสงแดด
คนจำนวนมากสงสัยว่า อะไรเป็นเหตุผลสำคัญของการทำลายชนชาตินี้ ตั้งแต่การสร้างชนชาติแห่งพันธสัญญาในยุคพระคัมภีร์เดิม คำตอบก็เพราะซาตานต้องการทำลายแผนการไถ่บาปของพระเจ้าโดยพระเยซู ผู้จะมาประสูติในอิสราเอล แต่ซาตานทำไม่สำเร็จ มันพ่ายแพ้ต่อพระองค์อย่างราบคาบ การทำลายของมันจะยังคงดำเนินต่อไป เป้าหมายที่เราไม่ควรลืมก็คือ อิสราเอลฝ่ายจิตวิญญาณ ที่มันต้องทำลาย เพราะเราประกาศการไถ่บาปของพระเยซูและการที่พระองค์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง
แม้ซาตานทำลายชนชาตินี้อย่างหนักหน่วง พระเจ้าก็ทรงมอบพระพรอันยิ่งใหญ่ให้แก่ชาวยิว ในด้านสติปัญญา ความรู้ จากสถิติผู้ได้รับรางวัลโนเบล รางวัลสำหรับผู้สร้างคุณูปการ ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวโลกในด้าน ฟิสิกส์ เคมี การแพทย์ วรรณกรรม เศรษฐศาสตร์ และสันติภาพ ตั้งแต่ ค.ศ.1901 เป็นต้นมา ในบรรดา 881 คน ที่ได้รับเป็นชาวยิวหรือเชื้อสายยิวจำนวน 197 คน แม้จำนวนประชากรยิวมีเพียงร้อยละ 2 ของประชากรโลก โดยแยกเป็นกลุ่มดังนี้
- ด้านเคมี 36 รางวัล คิดเป็นร้อยละ 21
- เศรษฐศาสตร์ 30 รางวัล คิดเป็นร้อยละ 38
- วรรณกรรม 15 รางวัล คิดเป็นร้อยละ 13
- สันติภาพ 9 รางวัล คิดเป็นร้อยละ 9
- ฟิสิกส์ 52 รางวัล คิดเป็นร้อยละ 52
- การแพทย์ 55 คิดเป็นร้อยละ 26
(อ่านรายชื่อและภาพชาวยิวที่ได้รับรางวัลทั้งหมด https://en.wikipedia.org/wiki/Listof Jewish Nobel laureates)
ผู้ได้รับรางวัลโนเบล เหล่านี้เป็นพรแก่ชาวโลกอย่างมหาศาล เช่น นพ.เบนยามิน รูบิน ผู้ค้นคิดเข็มฉีดยาป้องกันโรคฝีดาษ นพ.โจนาส ซอล์ก ผู้คิดค้นวัคซีนโปลิโอ ดร.เกอทรูด เอลเลียน (1918-1999) คิดค้นยารักษาลูคีเมีย เซอร์ เบอร์ นาร์ด คัตซ์ ได้รับรางวัลโนเบลจากผลงานการเปลี่ยนกล้ามเนื้อหัวใจ และบุคคลที่ทั่วโลกรู้จักดี อัลเบิร์ต ไอสไตน์ เป็นต้น
นอกจากนี้ มีคนเชื้อสายยิวอีกเป็นจำนวนมากที่เป็นนักประดิษฐ์ เช่น นายชาลส์ แอดเลอร์ ผู้คิดค้นสัญญาณไฟจาราจร นายเบนโน สเต้าท์ ผู้คิดค้นเหล็กปลอดสนิม นายปีเตอร์ ชูลส์ ผู้คิดค้นสายไฟเบอร์อ๊อปติก และอีกมากมาย (ค้นหารายชื่อนักประดิษฐ์เชื้อสายยิวได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Category:Jewishinventors)
มีผู้กล่าวว่า ชนชาติอิสราเอลคือชนชาติที่มีชีวิตให้ชาวโลกรับรู้ว่ามีพระเจ้า ชนชาติที่เลือกสรรเพื่อเป็นชาติปุโรหิต ตั้งแต่อดีต แม้พวกเขาล้มเหลวในการทำหน้าที่ในการประกาศพระคริสต์ พระพรทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ยังคงอยู่ และพระพรเดียวกันนี้ พระเจ้ายินดีมอบให้แก่บุตรของพระองค์ทุกคน ทุกชาติ ที่แสวงหา ทูลขอจากพระเจ้า คริสตชนทั้งหลายและประเทศใดก็ตามที่ตอบสนองแผนการไถ่โลกให้รอดของพระองค์ ก็จะได้พระพรเหมือนกับที่ชาวอิสราเอลได้รับ วันนี้ขอให้คำกล่าวนี้ยังคงเป็นความจริงอย่างที่ผ่านมา “พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า ในสมัยที่ 10 คนจากทุกชาติทุกภาษา จะยึดชายเสื้อคลุมของยิว(คริสตชน) คนหนึ่งไว้แล้วกล่าวว่า ‘ขอให้เราไปกับท่านทั้งหลายเถิด เพราะเราได้ยินว่า พระเจ้าสถิทกับพวกท่าน’”(ศคย. 8:23)
อิสราเอลฝ่ายจิตวิญญาณทั้งหลาย อิสราเอลฝ่ายเนื้อหนังซื้อแผ่นดินของเขาด้วยเงินและเลือดเนื้อของพวกเขา ส่วนเราทั้งหลายนั้น แผ่นดินสวรรค์และเยรูซาเล็มใหม่ “พระเจ้าทรงซื้อพวกท่านด้วยราคาสูง” (1 โครินธ์ 7:23)ด้วยพระกายและพระโลหิตของพระองค์ จงรักษา หวงแหน และดูแลจิตวิญญาณของท่านจนถึงวันที่พระองค์เสด็จมาประทานชีวิตครบบริบูรณ์และอยู่กับพระองค์ตลอดนิรันดร์ ขอบคุณ เบธเอลทัวร์ โดยคุณนวลลออ ตระการไพโรจน์ ที่นำกลุ่มของเราไปทัศนศึกษาในครั้งนี้ ท่านที่สนใจไปทัศนศึกษาติดต่อได้ที่ พันธกิจเบธเอลทัวร์ 147 หมู่บ้านศรีชวาลา ถนนรามคำแหง 21 (ซอยนวศรี) แขวงพลับพลา เขตวังทองหลวง กรุงเทพ ฯ 10310 โทร.02-318-2356-7http://www.bethltour.com
เชิญศึกษาเพิ่มเติม https://themuslimtimes.info/2012/01/26/why-are-jews-so-powerful-and-muslims-so-powerless/
- ศาสนาจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ อินสม
- ภาพ www.touristisrael.com