“ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ควรเราจะอยู่ในบาปต่อไป เพื่อให้พระคุณมีมากยิ่งขึ้นหรือ อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย………..” (โรม 6:1-2)
รักร่วมเพศเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในตัวผม เป็นอะไรที่ผมไม่สามารถควบคุมได้ ผมไม่อาจหยุดนิสัยหรือเปลี่ยนแปลง ความปรารถนาที่อยู่ภายใน ผมรู้ดีว่าผมตกอยู่ในความบาป แต่สิ่งที่ผมไม่เคยรู้ คือ มันมีทางออก การที่ผมเป็นโฮโม บางส่วนคงเกิดจากอารมณ์และความปรารถนาฝ่ายกายที่ผมโหยหามาเสมอ ซึ่งทำให้ผมกลายเป็นพวกต่อต้านสังคมและถลำลึกลงไปในความบาปที่ให้ความสุขเพียงชั่วครู่และเป็นแต่เปลือกนอก ผลบั้นปลายที่ผมได้รับคือความหายนะ ผมท้อแท้ใจหมดหวังและโดดเดี่ยว ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ในหมู่คริสเตียน แบบนักท่องเที่ยว คือแวะไปเวียนมาในระหว่างที่ตัวเองยังใช้ชีวิตแบบพวกรักร่วมเพศ ผมเหมือนคนที่แอบดูชีวิตผู้คนผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูป คือไม่กล้าเข้าไปมีส่วนร่วมหรืออุทิศตัวจริงๆจังๆ ผมรู้สึกว้าเหว่ที่สุด ปี ค.ศ.1984 เป็นปีที่ผมเข้าไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่ง ความสัมพันธ์ครั้งนั้นตึงเครียด เพราะผมกังวลและรู้สึกผิดในใจ แต่ผมก็มีประสบการณ์กับมัน ผมรู้แต่ว่าอย่างน้อยผมก็ได้รับสิ่งที่ต้องการ คือความรักความอบอุ่นอะไรบางอย่าง แต่แล้วหลังจากที่ผมใคร่ครวญอยู่ระยะหนึ่ง ประกอบกับตัวเองทำใจไม่ได้ ทุกอย่างเลยต้องจบลง ผมรู้สึกหดหู่มาก แล้วความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นความขมขื่นและการเกลียดชังตัวเองในเวลาต่อมา พระธรรมเลวีนิติ 18:22 บอกว่า “เจ้าอย่าสมสู่กับผู้ชายใช้ต่างผู้หญิง เป็นสิ่งพึงรังเกียจ” คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในความคิดของผม มันคอยเตือนผมว่า สิ่งที่ผมกำลังทำ พฤติกรรมทุกอย่างของผม เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสะอิดสะเอียน มีคนแนะนำให้ผมขอรับคำปรึกษา จากองค์การบางแห่ง แต่ตอนนั้นผมไม่เชื่อว่าผมจะสามารถหนีพ้นชีวิตแบบโฮโมได้ ผมได้แต่หวังว่าผม จะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับความบาปนี้อย่างปกติสุข ผมเคยอธิษฐานหลายครั้งเกี่ยวกับปัญหานี้ แต่ผมไม่ได้รับคำตอบเลยตลอดหลายปี ทำให้ผมรู้สึกว่าพระเจ้าปฏิเสธผม ผมเฝ้าถามตัวเองว่า ทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้ผมต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดและความพ่ายแพ้แบบนี้ ผมโกรธพระเจ้าและสิ้นหวัง
ปี ค.ศ. 1987 ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมฟื้นฟู ผมเริ่มสัมผัสกับอำนาจแห่งการสรรเสริญและการอธิษฐาน ตลอดสัปดาห์นั้นผมได้เรียนรู้ที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจริงๆ รับรู้สภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า นมัสการพระองค์ในฐานะพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นผมยังไม่กล้าอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง การประชุมครั้งนั้นผมได้รู้จักเพื่อนใหม่คนหนึ่ง เขามาอธิษฐานเผื่อผม ในขณะที่เขาอธิษฐานเผื่อผมนั้น ผมเริ่มสัมผัสถึงความรักขององค์พระเยซูคริสต์ จนผมเองก็ประหลาดใจ เป็นไปได้หรือ…..ที่พระองค์จะทรงรักผมและยอมรับตัวผม ? ผมเริ่มต้นสารภาพบาปที่ผมทำผิดต่อพระเจ้า และขอกลับใจใหม่หันหลังจากพฤติกรรมรักร่วมเพศ ผมสลัดความกลัวต่างๆทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นการกลัวความล้มเหลวและกลัวถูกคนปฏิเสธ ผมตัดสินใจเลือกพระเจ้าและแผ่นดินสวรรค์ด้วยใจที่ร้อนรน ผมตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะละทิ้งชีวิตที่หลบๆซ่อนๆและความคิดที่บ่อนทำลายลงเสีย ผมต้องการอย่างสุดหัวใจที่จะได้แผ่นดินสวรรค์และได้เป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ทรงปลดปล่อยผมให้หลุดพ้นจากแนวการดำเนินชีวิตแบบโฮโมฯ ผมเลิกทำพฤติกรรมเหล่านั้น ผมรู้สึกได้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ พระองค์ทรงยอมรับผมเป็นบุตร และให้ความเป็นคนที่สมบูรณ์แก่ผม ตอนนี้ผมมีอิสระที่จะเชื่อฟังพระองค์ด้วยตัวเอง มีอิสระที่จะเลือกทางที่ถูกต้องด้วยตัวเอง ในวินาทีที่ผมตัดสินใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนแปลงท่าทีในใจของผม เดี๋ยวนี้ผมสามารถยืนอย่างสง่าต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ผมสามารถสรรเสริญพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี ผมรู้ว่าผมไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ พระองค์ต่างหากที่ทรงเปลี่ยนผม พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่มีฤทธิ์อำนาจนำให้ผมกลับใจใหม่ ต่อจากนี้ไปผมจะไม่ดำเนินชีวิตแบบคริสเตียนทัวร์อีก ผมรู้แล้วว่าผมเป็นใครและผมเป็นของใคร ผมเป็นประชากรของพระเจ้าและเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ ผมยังคงเจอการทดลอง ที่จริงทุกคนก็คงต้องเจอการทดลองบางอย่างเสมอ ผมเองยังถูกทดลองให้ทำบาปในเรื่องรักร่วมเพศบ่อยๆ แต่ผมตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยอมถูกคล้องด้วยโซ่ตรวนบาปชนิดนี้อีก ผมรู้ซึ้งกับการทดลองนี้อย่างดีว่าเป็นอย่างไร และผมเลือกแล้วที่จะต่อต้านมันและมีชีวิตอยู่ด้วยชัยชนะของพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ผมพบผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาดี แทนที่ผมจะจับจ้องที่ร่างกายของเขาด้วยใจริษยาหรือคิดวางแผนในทางที่ไม่ดี ผมจะมองเขาด้วยสายตาใหม่ คือสายตาที่มองเขาเป็นบุคคลหนึ่งที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ เป็นบุคคลที่มีจิตวิญญาณนิรันดรในตัวเขา ผมเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสแทนการพึ่งพาความรู้สึกของตัวเองในทุกๆเวลา อารมณ์และความปรารถนาของผมจะไม่ใช่สิ่งที่กำหนดตัวตนของผมอีกต่อไป ตัวตนของผมจะตั้งรากฐานอยู่บนสิ่งที่พระเจ้าตรัส นั่นคือ ผมเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว ! เมื่อผมเต็มใจเลือกแผ่นดินสวรรค์และเปลี่ยนทิศทางการเดิน พระเจ้าทรงเปลี่ยนชีวิตของผม ผมอยากกล่าวเหมือนอย่างที่ดาวิดกล่าวไว้ คือที่ท่านพึงพอใจกับการจัดเตรียมของพระเจ้า (สดุดี 40) ผมเองก็กล่าวได้อย่างเต็มปากแล้วว่า :- “ข้าพเจ้าได้เพียรรอคอยพระเจ้า พระองค์ทรงเอนพระองค์ลงฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นมาจากหลุมอันน่าสลด ออกมาจากเลนตม แล้ววางเท้าของข้าพเจ้าลงบนศิลา กระทำให้ย่างเท้าของข้าพเจ้ามั่นคง พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากของข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรงกลัว และวางใจในพระเจ้า”