ผู้หญิงชาวซีเรียฟีนิเซียเป็นคนต่างศาสนาหรือ?
คำถาม ทำไมพระธรรมมาระโก7:26 ฉบับมาตรฐานจึงแปล ผู้หญิงที่อยู่ในเมืองไทระและเมืองไซดอนว่าเป็นคนต่างศาสนา?
คำตอบ ก่อนอื่นขอให้เราดูบริบทของพระธรรมข้อนี้ก่อน พระธรรมตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมมาระโก 7:24-30 ที่บันทึกว่า
พระองค์จึงเสด็จออกจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งประสงค์จะไม่ให้ใครรู้ แต่พระองค์ไม่อาจหลบพ้นได้เพราะผู้หญิงคนหนึ่งที่มีลูกสาวเล็กๆ ถูกผีโสโครกสิง ทันทีที่ได้ยินข่าวของพระองค์ก็มาเฝ้าและกราบลงที่พระบาทหญิงผู้นี้มีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย เป็นคนต่างศาสนา นางทูลอ้อนวอนขอให้พระองค์ขับผีออกจากลูกสาวของนาง พระเยซูตรัสกับนางว่า “ให้ลูกๆ กินกันอิ่มเสียก่อน เพราะว่าไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกๆ โยนให้กับพวกสุนัข” แต่นางทูลตอบว่า “จริงเจ้าค่ะ แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินอาหารเหลือเดนของลูกๆ” แล้วพระองค์ตรัสกับนางว่า “เพราะถ้อยคำนี้ท่านจงกลับไปเถิด ผีออกจากตัวลูกสาวของท่านแล้ว” หญิงผู้นั้นเมื่อกลับไปยังบ้านของตน ก็พบว่าลูกนอนอยู่บนที่นอนและผีออกจากตัวแล้ว
จากบริบทของพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าชื่อเสียงของพระเยซูได้เลื่องลือไปถึงดินแดนของคนต่างชาติ เมื่อพระองค์ไปอยู่ในเขตแดนของไทระและไซดอนซึ่งอยู่นอกอาณาเขตของคนยิวนั้น พระองค์ไม่ได้มีพระประสงค์ที่จะบอกให้ใครรู้ แต่มีแม่ของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ถูกผีโสโครกสิง จึงได้มาหาพระเยซูเพื่อต้องการให้พระองค์ช่วยเหลือ เรารู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย และฉบับมาตรฐานได้ระบุต่อไปว่า เธอ “เป็นคนต่างศาสนา” โดยมีเชิงอรรถอธิบายว่า “ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า เป็นกรีก ซึ่งอาจมีความหมายได้ว่า เป็นพวกนิยมกรีกที่พูดภาษากรีก หรือ เป็นพวกที่ไม่ได้นับถือศาสนาของชาวยิว” ในขณะที่ฉบับ 1971แปลว่า “พูดภาษากรีก” และฉบับประชานิยมแปลว่า “หญิงผู้นี้ไม่ใช่ชาวยิว” ฉบับคาทอลิกแปลว่า “นางไม่ใช่ชาวยิว” โดยมีเชิงอรรถว่า “แปลตามตัวอักษรว่า ‘ชาวกรีก’ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเชื้อชาติ เพราะหญิงคนนั้นเป็นชาวซีเรียฟีนิเซีย แต่ในแง่วัฒนธรรม คือไม่นับถือศาสนายิว เทียบ ยน.7:35; กจ.16:1” ฉบับอมตธรรมร่วมสมัยแปลว่า “หญิงผู้นี้เป็นชาวกรีก” ฉบับ 1940 แปลว่า “พูดภาษาเฮเลน” ในขณะที่พระธรรมเล่มอื่นที่บันทึกเรื่องราวเดียวกันปรากฏอยู่ในพระธรรมมัทธิว 15:21-28 ในข้อที่ 22 ได้ระบุว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นชาวคานาอัน
คำนี้มาจากคำในภาษากรีกคือ “” อ่านว่า “เฮเลนนิส” ซึ่งไวยากรณ์ของคำนี้คือ คำนามที่ทำหน้าที่ประธานเพศหญิงเอกพจน์ และปรากฏเพียงครั้งเดียวในพระคัมภีร์ใหม่ รากศัพท์ของคำนี้ในภาษากรีกมีความหมายกว้างมาก รากศัพท์ของคำนี้พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษส่วนใหญ่แปลว่า “gentiles” ซึ่งมีความหมายพื้นฐานว่า “บรรดาประชาชาติ” หรือ “คนกรีก” Robert A. Guelich ผู้เขียนคำอธิบายพระธรรมมาระโกได้อธิบายข้อความตอนนี้ว่า ถึงแม้คำว่า “กรีก” ในบางครั้งจะหมายถึงวัฒนธรรมกรีก หรือ การพูดภาษากรีก หรือ การศึกษาแบบกรีกของคนชั้นสูง แต่การพูดถึง “บรรดาคนกรีก”ในการประกาศข่าวประเสริฐของคริสตจักรยุคแรกมักจะมีความหมายในด้านศาสนาคือ พวกที่ไม่ได้มีความเชื่อแบบยิว เป็นคนต่างศาสนา เป็นคนต่างชาติ ซึ่งมีพระคัมภีร์หลายตอนที่ได้เปรียบเทียบความเชื่อของคนยิวนั้นแตกต่างจากของคนกรีกหรือต่างชาติ (เช่น โรม 1:16; 2:9, 10; 3:9; 10:12; 1 โครินธ์1:24; 10:32; กาลาเทีย 3:28; โคโลสี 3:11) แม้พระธรรมมาระโกเป็นพระกิตติคุณเล่มที่สั้นที่สุด แต่ผู้เขียนได้ให้คำอธิบายแก่ผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยกับธรรมบัญญัติและวัฒนธรรมของคนยิวได้เข้าใจ และผู้เขียนตั้งใจเขียนให้ผู้อ่านที่เป็นคริสเตียนต่างชาติอ่านมากกว่าเขียนให้ผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนอ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสเตียนที่กำลังถูกกดขี่ข่มเหง เราจึงเห็นว่าพระธรรมมาระโกได้ให้รายละเอียดของผู้หญิงคนนี้มากกว่าพระ ธรรมมัทธิว เพราะในพระธรรมมาระโกได้บอกว่า “หญิงผู้นี้มีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย” การที่พระธรรมมาระโกให้รายละเอียดเช่นนี้แทนที่จะบอกว่าเป็นชาวฟีนิเซียเฉยๆ เพราะต้องการแยกแยะว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นชาวฟีนิเซียที่มาจากทางตอนเหนือของทวีปอัฟริกา
ดังนั้นคำว่า “เฮเลนนิส” ในมาระโก 7:26 จึงไม่ควรแปลว่า “คนกรีก” หรือ “คนต่างชาติ” เพราะมาระโกได้ระบุชัดเจนว่าเธอมีเชื้อสายอะไร และการแปลว่า “เธอไม่ใช่คนยิว” ก็ไม่ได้ช่วยอะไรแก่ผู้อ่าน เพราะได้ระบุชัดเจนแล้วว่าเธอมีเชื้อชาติอะไร เธอก็ต้องไม่ใช่คนยิวแน่นอน และจุดเด่นของเรื่องนี้ที่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระธรรมตอนนี้คือ เรื่องความเชื่อของผู้หญิงคนนี้ที่สนทนากับพระเยซูคริสต์จนทำให้ลูกสาวของเธอได้รับการรักษาจากพระองค์ พระเยซูไม่ได้ตอบสนองความต้องการของเธอในตอนแรก แถมยังเปรียบเทียบเธอว่าเป็นเหมือนสุนัข ซึ่งคนยิวมักจะเปรียบเทียบคนต่างชาติว่าเป็นเหมือนสุนัข แต่แทนที่เธอจะโกรธพระเยซู เธอกลับฉวยโอกาสต่อยอดจากคำเปรียบเทียบนั้นโดยการพูดว่า “จริงเจ้าค่ะ แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินอาหารเหลือเดนของลูกๆ” คำพูดนี้ของเธอได้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของเธอ ซึ่งคำพูดตอนนี้ของเธอได้รับการยกย่องจากพระเยซูว่า เธอมีความเชื่อทำให้ลูกเธอหาย โดยพระเยซูไม่ต้องเสด็จไปบ้านของเธอ
ดังนั้นคำแปลที่เหมาะสมกับบริบทนี้คือ “คนต่างศาสนา” เพราะได้อธิบายให้เราเห็นว่า ถึงแม้ผู้หญิงคนนี้เป็นคนต่างศาสนาคือ ไม่ได้นับถือศาสนาของคนยิว และถูกคนยิวดูถูกว่าเป็นเหมือนสุนัข แต่ความเชื่อของเธอก็มากกว่าคนยิวทั่วๆ ไป ทั้งๆ ที่พระเยซูเสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนยิว แต่เพราะพวกเขาไม่เชื่อและไม่ต้อนรับพระองค์ พวกเขาจึงไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า ในทางตรงกันข้ามผู้หญิงคนนี้ไม่ได้นับถือศาสนาของคนยิว แต่มีความเชื่อ ลูกสาวของเธอจึงได้รับการรักษา เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับเรื่องราวของเอลียาห์กับหญิงม่ายในเมืองศาเรฟัท ซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองไซดอน (1 พงศ์กษัตริย์ 17:7-24)
คำว่า “ต่างศาสนา” ปรากฏในพระธรรมอีกตอนหนึ่งคือ 1 โครินธ์ 12:2 ซึ่งฉบับมาตรฐาน ฉบับ 1971 และฉบับคาทอลิกแปลเหมือนกัน แต่คำนี้มาจากคำศัพท์กรีกอีกตัวหนึ่งคือ “” อ่านว่า “เอ็ทเน” ซึ่งมาจากรากศัพท์ว่า “” อ่านว่า “เอ็ทนอส” ซึ่งคำกรีกนี้จะแปลว่า “ต่างชาติ” ก็ได้ แต่จากบริบทของ 1 โครินธ์ 12:2 ซึ่งอาจารย์เปาโลกล่าวว่า “พวกท่านรู้แล้วว่าแต่ก่อนที่ยังเป็นคนต่างศาสนาอยู่นั้น พวกท่านถูกชักจูงและนำให้หลงไปนับถือรูปเคารพซึ่งพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยทางใด” คำว่า “เอ็ทเน” น่าจะแปลว่า “ต่างศาสนา” มากกว่า “ต่างชาติ” เพราะคริสเตียนชาวโครินธ์ยังคงสภาพเป็นคนต่างชาติอยู่ถึงแม้พวกเขาได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาเปลี่ยนไปจากเดิมคือ ความเชื่อ ในอดีตของพวกเขานั้นยังไม่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์จึงเป็นคนต่างศาสนา
เมื่อเราพิจารณาการแปลของพระคัมภีร์ทั้งสองตอนแล้ว เราจะเห็นว่าคำกรีกแต่ละคำนั้นอาจจะมีความหมายได้หลายความหมาย การที่ผู้แปลจะตัดสินใจว่าจะแปลอย่างไรนั้น จำเป็นต้องพิจารณาบริบทของพระธรรมตอนนั้นๆ ให้รอบคอบ และหากบริบทใดมีความซับซ้อนก็จำเป็นต้องมีเชิงอรรถให้ผู้อ่านเลือกคำแปลที่แตกต่างออกไป
- ศาสนาจารย์ ดร.เสรี หล่อกัณภัย
- ภาพ LUMO project