คำพูดนี้ฟังดูน่าประหลาดจริงๆ “ผู้หญิงจะรอดได้ด้วยการมีบุตร” เปาโลคิดอะไรอยู่เมื่อกล่าวเช่นนั้น
อ่านเพิ่มเติมความรอดเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้าประทานให้กับมวลมนุษยชาติ อัครทูตเปาโลกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า มนุษย์จะสามารถรอดได้โดยพระคุณพระเจ้าผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ (อฟ.2:8-9) อย่างไรก็ตาม ในจดหมายฝากฉบับหนึ่งของท่านที่เขียนไปถึงทิโมธีผู้ซึ่งเป็นศิษย์รักของท่าน ท่านได้กล่าวว่า ผู้หญิงจะรอดได้ด้วยการมีบุตร ข้อความนี้ได้สร้างความฉงนให้กับผู้เชื่อทั้งเก่าและใหม่
1 ทธ.2:15
แต่ถึงกระนั้นเธอก็จะได้รับความรอดในการมีบุตร ถ้าหากพวกเธอดำรงอยู่ในความเชื่อ ความรัก และความบริสุทธิ์ ด้วยความสงบเสงี่ยม
เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงทิโมธีผู้ที่ยังเยาว์วัยและศิษย์เอกของท่านซึ่งเป็นผู้ปกครองคริสตจักรที่เอเฟซัส เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ในคริสตจักรซึ่งได้รับอิทธิพลจากสภาวะทางสังคมและวัฒนธรรมของเมืองนั้น เพื่อที่เราจะเข้าใจพระคัมภีร์ข้อนี้ได้อย่างถูกต้อง เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจบริบทของคริสตจักรที่เอเฟซัส
เนื่องด้วยทำเลที่ตั้งสำคัญที่อยู่ทางชายฝั่งด้านตะวันตกของดินแดนที่เป็นประเทศตุรกีในปัจจุบัน เอเฟซัสได้กลายเป็นศูนย์กลางทางพาณิชย์ที่สำคัญของแคว้นและเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของจักรวรรดิโรม นครแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิหารแห่งพระอาร์เทมิสซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของเทพีอาร์เทมิสซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพสตรีและการปกครองที่มีสตรีเป็นใหญ่ เป็นที่กล่าวขานกันว่าพระนางได้ยกสถานะของผู้หญิง ผลที่ตามมาคือ ผู้หญิงหลายคนได้รับการยกย่องและได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ รวมถึงบทบาททางศาสนาภายใต้การดูแลของผู้ปกครองเมืองและภายใต้กฎหมายของโรม
ด้วยสภาวการณ์ทางสังคมและศาสนาเช่นนี้เอง ชุมชนคริสเตียนในเอเฟซัสต้องเผชิญกับปัญหาคำสอนเทียมเท็จบางคำสอนซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานะที่สตรีได้รับในเมืองนี้ และนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่เปาโลหนุนใจทิโมธีให้อยู่ต่อที่เมืองนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว (1 ทธ.1:3) แท้ที่จริงแล้ว เนื้อหาเป็นจำนวนไม่น้อยของจดหมายฉบับนี้ได้กล่าวถึงการจัดการกับปัญหานี้ในคริสตจักร (1 ทธ.1:3-7; 4:1-5; 6:3-5, 20-21) บางส่วนของเนื้อหาก็อาจจะกล่าวพาดพิงถึงปัญหานี้ในทางอ้อม ยกตัวอย่างเช่น เปาโลได้หนุนใจทิโมธีให้ยึดมั่นในความเชื่อที่แท้จริงและไม่หันเหไปจากคำสอนที่ถูกต้องเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับฮีเมเนอัสและอเล็กซานเดอร์ (1 ทธ.1:18-20) สาเหตุหนึ่งที่อาจเป็นไปได้ที่ทำให้ความเชื่อของพวกเขาอัปปางลงคือการที่พวกเขาตัดสินใจติดตามคำสอนเทียมเท็จ คุณสมบัติหนึ่งที่มัคนายกต้องมีคือความกล้าหาญในความเชื่อที่มีอยู่ในพระเยซู (1 ทธ.3:13).
นี่คือบริบทของข้อพระคัมภีร์ 1 ทธ.2:11-15
ไม่ยอมให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือควบคุมผู้ชาย
1 ทธ.2:11-12
11 ให้ผู้หญิงเรียนอย่างเงียบๆ ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง 12 ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือควบคุมผู้ชาย แต่ให้เธออยู่เงียบๆ
หากอ่านผ่านๆ อาจดูเหมือนว่าเปาโลไม่อนุญาตให้ผู้หญิงคนหนึ่งคนใดสอนหรือใช้สิทธิอำนาจเหนือผู้ชาย เปาโลห้ามผู้หญิงทุกคนไม่ให้สอนใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ท่านหนุนใจหญิงสูงอายุให้สอนสิ่งที่ดีงาม (ทต.2:3) แล้วการสอนผู้ชายเล่า เปาโลห้ามผู้หญิงทุกคนไม่ให้สอนผู้ชายใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ เมื่อปริสสิลลาและอาควิลลาได้รู้จักอปอลโลและเห็นศักยภาพในชายคนนี้ พวกเขาก็พาชายคนนี้ไปด้วยและฝึกอบรมเขา (กจ.18:24-26) ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดเปาโลจึงห้ามไม่ให้ผู้หญิงบางคนสอน เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้คือ พวกเขารับคำสอนผิดบางอย่าง คำสอนอะไรหรือที่พวกเขายอมรับ
การล่อลวงเอวา
ปรัชญาหนึ่งของคนกรีกที่แทรกซึมเข้าไปในคริสตจักรและผสมผสานกับความเชื่อคริสเตียนคือปรัชญานอสติค ปรัชญานอสติคเป็นกลุ่มปรัชญาของกรีกโบราณที่มีคำสอนหลักว่า โลกฝ่ายกายภาพเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย แต่โลกฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ควรแสวงหา คนสามารถรับความรอดได้ผ่านทางความรู้ (กนอสิส ในภาษากรีกซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า นอสติค) ที่ถูกปิดซ่อนไว้ซึ่งสามารถรับรู้ได้ผ่านทางการปฏิบัติบางอย่าง เช่น การบำเพ็ญตบะ หรือการปฏิเสธตนเอง
ความเชื่อนอสติคนั้นมีหลายแบบ ส่วนใหญ่จะอธิบายจุดเริ่มต้นของโลกนี้โดยกล่าวถึงองค์ผู้สูงสุดที่สูงยิ่งกว่าพระยาเวห์ของพระคัมภีร์ของคนฮีบรู บางครั้ง องค์ผู้สูงสุดนี้เป็นเพศหญิงไม่ใช่เพศชาย นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าของนอสติคถึงเอวาที่เป็นผู้สร้างอาดัมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความรู้ลี้ลับซึ่งผู้เชื่อปรัชญานี้เท่านั้นที่จะสามารถล่วงรู้ได้ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมเปาโลจึงย้ำว่าอาดัมถูกสร้างก่อนเอวา
1 ทธ.2:13-14
13 เพราะพระเจ้าทรงสร้างอาดัมก่อน แล้วจึงสร้างเอวา 14 และอาดัมไม่ได้ถูกล่อลวง แต่ผู้หญิงถูกล่อลวงและทำบาป
ปรัชญานอสติคเชื่อว่าพระเจ้าแห่ง ปฐก.1-3 เป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจชั้นรอง พระองค์ทรงทำผิดพลาดโดยการสร้างจักรวาลในฝ่ายกายภาพ นั่นเป็นเพราะวัตถุเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย พระเนตรของพระองค์ก็มืดมิดเพราะไม่ตระหนักถึงการมีอยู่จริงขององค์ผู้สูงสุด ซาตานมาเพื่อเปิดเผยความจริงนี้ให้กับเอวาโดยการบอกให้เธอกินผลจากต้นไม้แห่งความรู้ เมื่อเอวาแบ่งผลไม้ผลนี้ให้กับอาดัม เขาทั้งสองก็สามารถแสวงหาองค์ผู้สูงสุดผู้ซึ่งอยู่เหนือโลกฝ่ายกายภาพได้ ด้วยเหตุนี้เอง เอวาจึงมักจะถูกมองเป็นสัญลักษณ์ของการตื่นรู้ฝ่ายจิตวิญญาณผู้ซึ่งนำความประจักษ์แจ้งมายังดวงวิญญาณ
เป็นไปได้ว่าผู้สอนปรัชญานอสติคบางคนยึดถือความเชื่อว่า เอวาไม่ได้ถูกงูหลอก ในทางตรงกันข้าม เธอได้รับรู้ถึงความจริงจากการกินผลจากต้นไม้แห่งความรู้ (กนอสิส ในภาษากรีก) อย่างไรก็ตาม เปาโลกลับมีความเห็นตรงกันข้ามว่า เอวาถูกหลอกอย่างสิ้นเชิงในขณะที่อาดัมรู้ความจริงอยู่เต็มอก เขาไม่ได้ถูกหลอกแต่เลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เอง เปาโลจึงมองว่าผู้ที่ต้องรับผิดชอบในความผิดนี้คืออาดัมไม่ใช่เอวา
จากเราพิจารณาบริบทเช่นนี้ เราก็คงจะเข้าใจได้ว่า เปาโลไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะพูดเรื่องลำดับชั้นของผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เปาโลต้องการที่จะโต้ตอบหลักข้อเชื่อของครูสอนปรัชญานอสติคบางคน
ความรอดผ่านทางการมีบุตร
สิ่งที่เปาโลพูดถึงถัดมาคือการที่ผู้หญิงจะรอดได้โดยการมีบุตร
1 ทธ.2:15
แต่ถึงกระนั้นเธอก็จะได้รับความรอดในการมีบุตร ถ้าหากพวกเธอดำรงอยู่ในความเชื่อ ความรัก และความบริสุทธิ์ ด้วยความสงบเสงี่ยม
เปาโลได้พูดไว้อย่างชัดเจนในจดหมายฝากฉบับอื่นของท่านว่า ความรอดมาโดยทางพระคุณพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่โดยการกระทำของเรา แล้วเหตุใด ท่านจึงกล่าวว่า ผู้หญิงจะรอดได้ด้วยการมีบุตร
ปรัชญานอสติคสอนว่า วัตถุเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายแต่วิญญาณเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น คนจึงควรจะปฏิเสธความสุขในฝ่ายกายภาพซึ่งรวมถึงกิจกรรมทางเพศ สำหรับเปาโลแล้ว การสมรสไม่ได้ทำให้คนหนึ่งคนใดได้รับหรือสูญเสียความรอด เพื่อที่จะโต้ตอบคำสอนผิดเหล่านี้ ท่านจึงย้ำว่า ผู้หญิงสามารถที่จะได้รับความรอดแม้เธอจะแต่งงานและมีบุตรก็ตาม การมีบุตรไม่ได้เป็นเงื่อนไขหรืออุปสรรคของการได้รับความรอด
บทสรุป
เนื่องด้วยพระอาร์เทมิสผู้ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์หลักประจำเมือง ผู้หญิงในเมืองเอเฟซัสได้รับสถานภาพพิเศษบางประการ ผู้หญิงบางคนในคริสตจักรอาจจะใช้สิ่งนี้เป็นเหมือนใบอนุญาตเพื่อทำสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าถูกต้อง รวมทั้งการสอนหรือควบคุมผู้ชายบางคนหรือสามีของพวกเขา นำไปสู่ความวุ่นวายและทำให้คนในคริสตจักรไม่พอใจเนื่องจากเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรม ผู้หญิงบางคนยอมรับคำสอนผิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งปรัชญานอสติค
สาวกนอสติคบางคนเชื่อว่า เอวาไม่ได้ถูกหลอกให้กินผลจากต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่ว ในทางตรงกันข้าม เมื่อเธอกินผลของต้นนั้น เธอกลับได้รับความรู้ที่ถูกปิดซ่อนไว้ พวกนอสติคบางคนสอนว่า องค์ผู้สูงสุดแห่งจักรวาลเป็นเพศหญิง ดังนั้น อาดัมจึงถูกสร้างโดยสตรีเพศนั่นคือเอวา ด้วยเหตุนี้เอง เปาโลจึงโต้แย้งว่า อาดัมถูกสร้างก่อนเอวา
นอสติคสอนว่า วัตถุเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายแต่วิญญาณเป็นสิ่งดี มนุษย์สามารถเข้าถึงความรู้ที่ถูกปิดซ่อนไว้ได้ผ่านทางการปฏิเสธความต้องการฝ่ายกายภาพซึ่งรวมถึงกิจกรรมทางเพศ เปาโลโต้แย้งว่าความรอดไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการสมรส มนุษย์สามารถรับความรอดได้แม้เขาจะแต่งงานและมีบุตร
ดังนั้น เปาโลจึงหยุดยั้งผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่ให้เผยแพร่คำสอนเทียมเท็จ ท่านไม่ได้ห้ามผู้หญิงทุกคนไม่ให้รับใช้ในบทบาทของการสอน ท่านยังได้หยุดพวกเธอไม่ให้ควบคุมผู้ชายเพราะคิดว่าตนมีสถานภาพที่สูงส่ง ท่านไม่ได้เหมารวมว่าผู้หญิงทุกคนไม่สามารถสอนหรือใช้สิทธิอำนาจเหนือผู้ชายได้
- บทความ อาจารย์ ประกิจ ตรีทศายุธ
- ภาพ macrovector – www.freepik.com
- ข้อพระคัมภีร์อ้างอิงมาจาก พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน ThSV
- References
- Kroeger, Richard Clark et al; I Suffer Not a Woman: Rethinking I Timothy 2:11-15 in Light of Ancient Evidence; Grand Rapid: Baker Books; 1998
- Bristow, John T.; What Paul Really Said About Women: The Apostle’s Liberating Views on Equality in Marriage, Leadership, and Love; New York: Harper One; 1991
English version อ่านเพิ่มเติม
Woman Saved through Childbearing
What a strange remark-a woman will be saved through childbearing! What was on Paul’s mind when he said that?
Salvation is one of the greatest gifts God has given to mankind. Apostle Paul made it clear that one can be saved by God’s grace through faith in Jesus Christ, and not through their works (Eph 2:8-9). However, in one of his letters to Timothy, his beloved mentee, the apostle stated that a woman would be saved through childbearing. This statement baffles many believers, old and new alike.
1 Tim 2:15
Yet she will be saved through childbearing—if they continue in faith and love and holiness, with self-control.
Paul wrote this letter to a young Timothy, his protégé who was overseeing the church in Ephesus. He was faced with difficult issues in the congregation, many of which were shaped by the socio-cultural environment of the city. In order to get a good grasp of these verses, we therefore need to understand the context of the Ephesian church.
Located at a prime spot on the West coast of the modern-day Turkey, Ephesus became one of the prominent commercial centres of the region and one of the largest and most important cities in the Roman Empire. The city was dominated by the great Temple of Artemis which housed the statue of the goddess Artemis, a powerful female deity who was a symbol of women’s liberation and matriarchy. She is said to have elevated the female status. As a consequence, certain women enjoyed honours and privileges, as well as religious functions under the oversight of the municipal authorities and within the Roman sets of rules.
Set in this socio-religious climate, the Christian community in Ephesus was plagued by false doctrine, some aspects of which were related to the status given to women in this city. And that was one main reason why Paul urged Timothy to remain there, to resolve the issue (1 Tim 1:3). In fact, a substantial portion of this letter is devoted to tackling this issue in the congregation (1 Tim 1:3-7; 4:1-5; 6:3-5, 20-21). Some other parts might also be alluding to this problem. For example, Paul encouraged Timothy to hold fast to the true faith and not to depart from the right doctrine as what had happened to Hymenaeus and Alexander (1 Tim 1:18-20). One possible cause of their shipwreck of faith was their decision to follow false teaching. One of the qualifications of a deacon is to be confident in the faith that is in Jesus (1 Tim 3:13).
It is in this context that 1 Tim 2:11-15 is set.
Not permitted to teach or to exercise authority over a man
1 Tim 2:11-12
11 Let a woman learn quietly with all submissiveness. 12 I do not permit a woman to teach or to exercise authority over a man; rather, she is to remain quiet.
At first glance, it may appear that Paul did not allow any womon to teach or exercise authority over a man. Did he always forbid a woman to teach? No. He encouraged older women to teach what was excellent (Tit 2:3). How about teaching a man? Did he always keep a woman from teaching a man? No. When Priscilla and her husband, Aquilla, met Apollos and saw great potential in this man, they took him along and trained him (Ac 18:24-26). Then why did Paul forbid some women to teach? One possible reason was that they espoused some false doctrine. What was it?
Deception of Eve
One of the major Greek philosophies that found its way into the church and fused with Christian faith was Gnosticism. Gnosticism is a collection of ancient Greek philosophies with central teaching that the material world is evil but the spiritual world is to be sought. Salvation can be gained through hidden knowledge, or gnosis in Greek, obtainable through certain practices, including asceticism and self-denial.
There are many varieties of Gnosticism, most of which present an explanation of the beginning of the world which features a supreme being far higher than Yahweh of the Hebrew Bible. Sometimes the supreme figure is female rather than male. There is also a Gnostic account of Eve as the creator of Adam, which is part of the secret knowledge only made known to the adherents. That might explain why Paul asserted that Adam was created before Eve.
1 Tim 2:13-14
13 For Adam was formed first, then Eve; 14 and Adam was not deceived, but the woman was deceived and became a transgressor.
Gnosticism relates that the God of Gen 1-3 was one of the lower powers. He made a tragic mistake by creating the physical universe, as matter is associated with evil. God was so blind that He was not even aware of the existence of the supreme power. Satan came to reveal this knowledge to Eve by telling her to eat the fruit of the Tree of Knowledge. As Eve shared the fruit with Adam, they both could now seek the supreme being who was far above the material reality. Therefore Eve was often seen as the principle of spiritual awakening who brought enlightenment to the soul.
Some Gnostic teachers possibly held that Eve was not deceived by the serpent. She rather possessed the full truth from the fruit of the Tree of Knowledge (gnosis in Greek). However, Paul held the opposite view that Eve was completely deceived whereas Adam clearly knew the truth. He was not deceived but wilfully chose to disobey God. Paul then laid the full responsibility on Adam and not Eve.
Within this context, it seems almost certain that Paul’s intention was not to make any statement regarding hierarchy of men and women, but to refute the doctrine of certain Gnostic teachers.
Salvation through childbearing
Then comes a peculiar notion of Paul about woman being saved by childbearing.
1 Tim 2:15
Yet she will be saved through childbearing—if they continue in faith and love and holiness, with self-control.
Paul made it clear in his other epistles that salvation is by God’s grace and not by our deeds. How come he says that woman will be saved through childbearing?
Gnostics held that material is evil but spirit is good. One must therefore deny any physical pleasures, including sexual activities. However, for Paul, marriage neither qualifies or disqualifies anyone from salvation. In order to refute their teaching, he affirmed that a woman could be saved even if she was married and bore a child. Childbearing is neither a condition for nor a hindrance of salvation.
Conclusion
Due to the prominent city goddess Artemis, women in Ephesus received certain status of privilege. Some women in the church might take this as a licence to do what seemed right to them, including teaching or dominating men or their husbands, which caused distraction and also offence to the congregation as this was against the culture. Some of these women also espoused certain false doctrine, especially Gnosticism.
Certain Gnostic followers held that Eve was not deceived to eat the fruit of the Tree of Knowledge of Good and Evil. Instead by eating the fruit, she acquired the hidden knowledge. Certain Gnostics taught that the supreme being of the universe was female. Hence Adam was created by a female being, i.e., Eve. Therefore Paul argued that Adam was created before Eve.
Gnostics taught that materials were evil but spirit was good. Humans could gain hidden knowledge through denying physical desires including sexual activities. Paul argued that salvation had nothing to do with marriage. One could be saved even if they were married and had children.
Paul therefore stopped these women from spreading these false teaching and not every woman from the ministry of teaching. He also stopped them from dominating men, thinking that they had a higher status. He did not forbid women to teach or exercise authority over men as a general principle.
- Article : Mr.Prakich Treetasayuth
- Photo : macrovector – www.freepik.com
- Bible quotations are from the English Standard Version
- References
- Kroeger, Richard Clark et al; I Suffer Not a Woman: Rethinking I Timothy 2:11-15 in Light of Ancient Evidence; Grand Rapid: Baker Books; 1998
- Bristow, John T.; What Paul Really Said About Women: The Apostle’s Liberating Views on Equality in Marriage, Leadership, and Love; New York: Harper One; 1991