ผู้แทนกิตติคุณหกแผ่นดินคนแรก 2/13

ผู้แทนกิตติคุณหกแผ่นดินคนแรก

First Ambassador for Thailand Bible Society
คำพยานชีวิต คริสตสายสัมพันธ์ฉบับที่ 2/2013 นี้ ขอแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักกับ คุณอารีย์ ปลั่งประมูล “ผู้แทนกิตติคุณ” คนแรกของสมาคมพระคริสตธรรมไทย ที่คนอายุ 30 ยังแจ?วยังต้องชิดซ้ายเมื่อเจอสาวแกร่ง 60 ที่แจ?วกว่า… แต่กว่าจะมาเป็นผู้แทนกิตติคุณหนทางชีวิตของท่านผู้นี้ ล้มลุกคลุกคลาน มีความยากลำบาก แต่ท่านผ่านมาได้และมั่นใจว่าพระเจ้าคือผู้ทรงจัดเรียงช่วงชีวิตของท่านไว้ อย่างลงตัวและมีเวลาที่เหมาะสม ท่านวางใจในพระองค์วันต่อวัน !!!

คุณอารีย์ช่วยเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กให้ฟังสักนิดนะคะ
ดิฉัน เกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน (เตี่ยจีน-แม่ไทย) มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน ตัวเองเป็นลูกคนโต (มีน้องชายร่วมบิดา 4 คน ต่างบิดา 1 คนและน้องสาวต่างบิดา 3 คน) ดิฉันมีพ่อ 2 คน เนื่องจากพ่อ (เตี่ยคนแรก) เสียชีวิตตอนดิฉันอายุ 8 ขวบ จากนั้น 2 ปีต่อมา ดิฉันอายุ 10 ขวบ แม่จึงแต่งงานใหม่ ชีวิตในวัยเด็กไม่มีโอกาสเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ต้องช่วยเตี่ยช่วยแม่ทำงานและดูแลน้องๆ กว่าจะได้เข้าโรงเรียนก็อายุ 7 ขวบแล้ว พอจบ ป.4 ก็ไม่ได้เรียนต่อออกมาช่วยทำงานและเลี้ยงน้อง พร่ำบ่นให้แม่ฟังอยู่ตลอดว่าอยากเรียนหนังสือ แม่ก็ตอบมาตลอดว่า “ช่วยแม่ทำงานเถอะลูกๆๆๆๆ” แต่ในที่สุด แม่ทนเสียงรบเร้า การพร่ำบ่นไม่ไหว อนุญาตให้เรียนภาคค่ำจนจบ ระดับ 4 เทียบเท่าสมัยนั้นคือ ม.ศ.3 หรือ ม.3 ขณะนั้น อายุประมาณ 16-17 ปี พอเรียนจบมัธยมต้นภาคค่ำก็อยากเรียนต่อให้จบมัธยมปลาย เพราะอยากเรียนต่อวิทยาลัยครู อยากเป็นครู แต่เมื่อไปบอกแม่ก็ได้รับคำตอบเช่นเดิมว่า “ช่วยแม่ทำงานเถอะ แม่ไม่มีเงินส่งเสียให้เรียนนะลูก” เรื่องการเรียนจึงหยุดไปนับแต่นั้น
.
แม่มีอาชีพตัดเย็บเสื้อกว่าจะได้ค่าตัดเย็บเสื้อแต่ละตัวก็ต่อเมื่อลูกค้ามา จ่าย แทบไม่พอกินไหนจะยังต้องเลี้ยงดิฉันและน้องๆ อีก 8 คน บ่อยครั้งที่แม่ขอร้องดิฉันว่า “อารีย์อยู่ช่วยแม่เย็บเสื้อที่บ้านนี่แหละลูก” แต่ดิฉันมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกคนโตนะ มีน้องๆ ตั้งหลายคนสงสารแม่ต้องช่วยแม่ แม่เป็นช่างตัดเสื้อจะพอเลี้ยงดิฉันและน้องๆ ตั้ง 5 คนในขณะนั้นได้อย่างไรกัน? เลยตัดสินใจขออนุญาตแม่ออกไปหางานทำค่ะ ตอนเริ่มทำงานก็อายุประมาณ 16 ปีเห็นจะได้
.
แล้วคุณอารีย์มาเป็นคริสเตียนได้อย่างไรคะ?
  อัน ที่จริง เตี่ยกับแม่ก็ไม่ได้นับถือคริสต์มาตั้งแต่เกิดนะคะ แม่เล่าให้ฟังว่าเตี่ยกับแม่นับถือพระทั้งไทยและจีนมักจะพาแมและลูกๆ ไปวัดไปไหว้เจ้าไปทำบุญบนบานศาลกล่าว มีคนมาชวนไปโบสถ์หลายครั้งแต่เตี่ยก็ไม่สนใจ จนถึงตอนที่เตี่ยเป็นมะเร็งหลังหูระยะสุดท้าย เตี่ยก็ไปโรงพยาบาลรับการรักษาจากหมอไม่เคยขาด แต่ทางเลือกของเราก็มีน้อยเพราะเรามีเงินน้อย ในอดีตสมัยนั้น โรคมะเร็งยังไม่มียารักษาให้หายผู้ป่วยรับการรักษาด้วยวิธีฉายแสงเพียงวิธี เดียว เตี่ยจึงต้องรับการรักษาตามเงินที่มีและสวัสดิการสังคมที่คนไทยได้รับในสมัย นั้น เตี่ยรู้ว่าไม่หายแน่และเราทุกคนก็รู้ว่าต้องนับถอยหลัง จนมีวันหนึ่ง เตี่ยเดินไปประตูน้ำมีเลือดไหลออกมาจากแผลหลังหูอย่างกับน้ำก๊อกเจอกับอาแปะ ขายลูกบอลเล็กๆ (คนจีนมักเรียกชายแก่สูงวัยว่า อาแปะ) แกเห็นเตี่ยมีเลือดออกมาก จึงแนะนำให้ไปหา อาจารย์บุญมาก กิตติสาร อยู่ที่คริสตจักรกรุงเทพ (ติดวังสวนผักกาดในปัจจุบัน) แล้วขอให้อาจารย์บุญมากอธิษฐานวางมือรักษาสิ เตี่ยตัดสินใจลองทำตามอาแปะนั้นแนะนำ เตี่ยไปหาป้าเนียนซึ่งเป็นเพื่อนของแม่สมัยเรียนตัดเสื้อเป็นคริสเตียนและ เป็นสมาชิกคริสตจักรที่ 2 สามย่าน ขอให้ช่วยพาไปที่คริสตจักรกรุงเทพ หาอาจารย์บุญมาก ป้าเนียนก็พาไปแต่ได้พบกับ ศจ.จรัญ รัตนบุตร แทนเพราะ อ.บุญมาก ไปต่างจังหวัด วันนั้น อ.จรัญเป็นผู้อธิษฐานวางมือให้เตี่ยเลือดที่ไหลอยู่ก็หยุดทันที่เป็นผลให้ เตี่ยตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าไปโบสถ์สม่ำเสมอทุกอาทิตย์ เตี่ยเป็นคริสเตียนคนแรกในครอบครัวตามด้วยแม่และลูกๆ ค่ะ ครอบครัวของเรามีสังคมเพิ่มขึ้น คือ พี่น้องที่คริสตจักรกรุงเทพคอยอธิษฐานเผื่อและมาเยี่ยมเราที่บ้าน และหลังจากเชื่อพระเจ้าอาการของเตี่ยดีขึ้น ถึงแม้จะยังอาเจียนออกมาเป็นเลือดอยู่บ้าง แต่ในที่สุด พระเจ้าก็รับเตี่ยไปอยู่กับพระองค์ แม่ ดิฉันและน้องๆ เชื่อและมั่นใจว่า เตี่ยผู้เป็นที่รักของเราได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์แล้ว ความโศกเศร้าจึงอยู่กับพวกเราได้ไม่นานนัก ทางคริสตจักรกรุงเทพเป็นผู้จัดการพิธีศพของเตี่ยให้อย่างเรียบร้อย
.
หลังจากเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียนแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรบ้างคะ
   หลังจากครอบครัวของเราแม่ตัวดิฉันและน้องๆ เชื่อในพระเจ้าแล้วเราก็ไปโบสถ์ไม่เคยขาดช่วงที่ดิฉันเรียนภาคค่ำก็ได้ รู้จักกับคุณทนงค์ ปลั่งประมูล (คู่ชีวิต) ซึ่งตอนรู้จักกันยังไม่เชื่อพระเจ้าต่อมาแม่และผู้ใหญ่เห็นว่าคบหากันมาตั้ง 8-9 ปี สมควรจะแต่งงานกันได้แล้วแต่ดิฉันตั้งใจว่าจะยอมแต่งงานกับคุณทนงค์ก็ต่อ เมื่อเขาเชื่อพระเจ้าเหมือนกันก่อน จึงอธิษฐานเรื่องนี้จริงจัง พระเจ้าทรงฟังและตอบคำอธิษฐานของดิฉัน ในที่สุด คุณทนงค์ก็เชื่อพระเจ้าทางสมาคมพระคริสตธรรมไทยและทางคริสตจักรกรุงเทพ จึงจัดพิธีแต่งงานให้เมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ.1976 เรามีลูกชาย 2 คน (ปัจจุบันคนโตอายุ 33 ปีและคนเล็กอายุ 25 ปี ทั้งสองคนเรียนจบการศึกษาระดับอุดมศึกษาแล้ว) นอกจากการทำงานประจำที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยและการช่วยแม่ดูแลที่บ้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่ดิฉันจะทำเสมอๆ อย่างมีความสุข คือ การร่วมกิจกรรมกับทางคริสตจักร เช่น ติดตามอาจารย์บุญมาก กิตติสาร (ศิษยาภิบาลของคริสตจักรกรุงเทพฯ) ไปแจกใบปลิวกับผู้คนที่พบตามสถานที่ต่างๆ ตามสวนสาธารณะ อย่างท้องสนามหลวงแล้วก็อยู่ในกลุ่มนักร้องประสานเสียงด้วยค่ะ ดิฉันมีโอกาสไปถวายเพลงกับกลุ่มนักร้องประสานเสียงตามคริสตจักรต่างๆ ตามคำเชิญ จำได้ว่า มีคริสตจักรที่ 1 สำเหร่, คริสตจักรที่ 2 สามย่าน และ คริสตจักรซีโอนตอนเปิดคริสตจักร
.
คุณอารีย์มาทำงานที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยได้อย่างไรคะ
   เริ่มจากตอนเรียนระดับมัธยมต้นภาคค่ำ ดิฉันเห็นรุ่นพี่ที่เรียนภาคค่ำด้วยกันไปสมัครงานที่ บริษัท เนชั่นแนล อยากมีงานทำมีเงินไปให้แม่บ้าง จึงตามพี่ๆเขาไปสมัครด้วย วันนั้นทางบริษัทเรียกสัมภาษณ์ทราบผลและพร้อมรับเข้าทำงานทันที ดิฉันผ่านการสัมภาษณ์และได้เริ่มงานทันทีในวันรุ่งขึ้น ยังจำได้ว่าคนสัมภาษณ์ถามดิฉันว่า “ทำไมถึงมาสมัครงานที่นี่ล่ะ?” ดิฉันตอบไปตรงๆ ว่า ”หนูเห็นพี่ๆ เค้ามาสมัครกัน หนูอยากทำงาน อยากมีเงินไปให้แม่ค่ะ” วันแรกที่เริ่มงานหัวหน้าให้ดูเรื่องการประกอบชิ้นส่วนของพัดลม พอวันที่สองให้ไปพ่นสี เอาล่ะสิ เริ่มกังวลอธิษฐานในใจว่า “พระเจ้า! ลูกเป็นโรคปอด จะบอกทางบริษัทอย่างไรดี ถ้าบอกไปเค้าไม่ให้ทำงานลูกต้องตกงานเดี๋ยวไม่มีเงินไปให้แม่นะ ลูกจะทำอย่างไรดีช่วยลูกด้วยเถิด!” (ดิฉันเป็นวัณโรคปอด ซึ่งหมอสั่งห้ามไม่ให้สูดดมกลิ่นเคมีเหล่านี้อยู่แล้ว) เลิกงานเย็นนั้นกลับมาบ้านนั่งร้องไห้ไปอธิษฐานไปขอพระเจ้าว่า “ถ้าพระเจ้าให้ทำงานที่นี่ลูกยินดีแต่ขออย่าให้ลูกป่วยเลยนะไม่อยากตกงาน” ขณะที่นั่งร้องไห้อยู่ ก็มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาหาดิฉันและยื่นจดหมายให้บอกดิฉันว่าจดหมายนี้ คุณครูฉวี ภิรมย์วงศ์ (ผู้จัดการสำนักงานสมาคมพระคริสตธรรมไทยและเป็นสมาชิกคริสตจักรกรุงเทพ) ฝากท่านถือมาให้ดิฉันรับจดหมายและเปิดออกอ่านพบเนื้อความว่า สมาคมพระคริสตธรรมไทยต้องการรับเด็กทำงานในฝ่ายแปลพระคัมภีร์ ดิฉันเชื่อพระเจ้าและตั้งใจจะรับใช้พระเจ้าเมื่อมีโอกาสอยู่แล้วจึงตอบตกลง ทันที เช้าวันรุ่งดิฉันฝากจดหมายลาออกกับพี่ที่รู้จักกันไปให้หัวหน้า จำได้ว่าชื่อ “คุณประโยชน์” พี่คนนั้นกลับมาเล่าให้ฟังว่า “อารีย์ เอ็งเขียนอะไรไปมั่ง หัวหน้าเอ็งอ่านแล้วอ่านอีกๆ อ่านแล้ววาง วางแล้วอ่านอยู่อย่างนั้นทั้งวันเลย” ดิฉันนึกถึงตอนที่คุณประโยชน์สัมภาษณ์ท่านถามดิฉันว่า “ถ้ารับหนูเข้าทำงานจะอยู่นานไหมตามพี่ๆ เขามาถ้าเขาออกหนูจะออกตามเขาหรือเปล่า” จำได้ว่าคำตอบของดิฉัน คือ “ถ้าหนูทำงานได้ดีหนูอยู่ได้ หนูก็ไม่ออกหรอกค่ะ” แต่ที่ไหนได้ วันที่ 3 ของการทำงานดิฉันก็ออกเป็นคนแรกเลยเริ่มงานวันแรกที่สมาคมพระคริสตธรรมไทย (อาคารสำนักงานหลังเดิมที่ ถ.สาทรเหนือ) ตรงกับวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ.1969 ด้วยตำแหน่ง Office Girl คล้ายๆ กับ เสมียนประจำสำนักงาน ดิฉันจะมาถึงสมาคมฯ แต่เช้าตรู่กวาดถูพื้นทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนที่เจ้านายจะมาถึงสำนัก งาน ดิฉันจะช่วยงานทุกอย่างที่ทำได้ไม่ว่าจะเป็นส่งจดหมาย-พัสดุไปรษณีย์ติดต่อ ธนาคาร ไปสถานทูตยื่นเอกสารขอวีซ่าให้เจ้านายที่เป็นชาวต่างชาติ ไปกรมสรรพากรเพื่อขอทำใบผ่านภาษีให้เจ้านายชาวต่างชาติ ต่อมาได้ช่วยฝ่ายแปลพระคัมภีร์พิมพ์ดีดงานแปลได้วิชาพิมพ์ดีดมาจากโรงเรียน สอนพิมพ์ดีด ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้กันอย่างปัจจุบัน ช่วงนั้น ศจ.ชอย (Rev.Chan Y.Choi) เป็นเลขาธิการ ทำงานร่วมกับมิชชั่นนารีภายใต้การดูแลของสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล United Bible Societies อีกที (คือ Dr.William A Smally-ผู้ดูแลงานแปลพระคัมภีร์ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก) งานหลักของสมาคมฯ คือ แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาไทยฝ่ายแปลเป็นผู้ทำงานนี้ โดยมีกรรมการยกร่างคำแปลและผู้แปลหลายท่านเป็นคณะทำงานหนึ่งในนั้นมีกรรมการ ฝ่ายคาทอลิกร่วมด้วย คือ พระคุณเจ้ายอด พิมพิสาร และขณะนั้น ฝ่ายแปลกำลังแปลและเตรียมจัดพิมพ์พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับประชานิยม ดิฉันรับมอบหมายให้เป็นผู้พิมพ์ในฉบับยกร่างแรกๆ แต่เมื่อผ่านขั้นตอนรับรองคำแปลของคณะกรรมการยกร่างคำแปลเป็นที่สิ้นสุดแล้ว หากยังมีส่วนที่ต้องแก้ไข คุณจิตรบรรจง พิมพรัตน์ (กรรมการยกร่างคำแปล) จะเป็นผู้พิมพ์สุดท้ายเองก่อนส่งต้นฉบับให้โรงพิมพ์ พิมพ์เป็นเล่มออกมา พระคัมภีร์ฉบับประชานิยม แปลและจัดพิมพ์สำเร็จใน ปี ค.ศ. 1980 โดยส่งพิมพ์ที่ โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช ได้รับการสนับสนุนถวายค่าจัดพิมพ์จากสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล หรือ United Bible Societies (UBS) เมื่อจัดพิมพ์เสร็จสิ้น ในพิธีมอบถวายพระคัมภีร์ฉบับประชานิยม สมาคมฯ ได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีด้วย เป็นเหตุการณ์ที่ดิฉันประทับใจไม่รู้ลืมจนวันนี้นอกจากพิมพ์พระคัมภีร์แล้ว ดิฉันมีหน้าที่จัดส่งหนังสือฟรีรายเดือนชื่อ PA (จำชื่อเต็มไม่ได้) ให้กับผู้แปลตามประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแปลพระคัมภีร์ของ ดร.ไนดา (บิดาแห่งการแปล) มี Dr.William A Smalley เป็นบรรณาธิการ บางครั้งดิฉันเป็นผู้ช่วยพิมพ์ตามคำสั่งของ Mrs.Toby Kamphu เลขานุการของ Dr.W A Smally และดิฉันเป็นผู้ชั่งน้ำหนักใส่ซองติดแสตมป์นำขึ้นรถตุ๊กๆ 2 คันไปส่งที่ไปรษณีย์กลางประจำทุกเดือนทำงานมาได้ระยะหนึ่ง ศจ.ชอย มาถามว่า “อยากเรียนไหม?” ท่านต้องการพัฒนาบุคลากรสมาคมฯ โดยเฉพาะด้านการใช้ภาษาอังกฤษ ดิฉันได้ยินเป็นเรื่องเรียน รีบตอบว่า “อยากเรียนค่ะ” เพราะในใจเรียกร้องเสมอว่าอยากเรียนต่อให้จบระดับ ม.ปลาย ถึงอุดมศึกษาโดยจะไปเรียนหลังงานเลิก 4 โมงเย็น แต่แม่ก็ไม่สนับสนุนเลยภายหลังทราบว่า ศจ.ชอย จะส่งไปเรียนภาษาอังกฤษดิฉันก็ยังขอบคุณพระเจ้าอยู่ดี ถือเป็นการได้ความรู้เหมือนกัน จากนั้น ดิฉันจึงได้ไปเรียนภาษาอังกฤษที่สถาบัน AUA ทำให้ดิฉันมีทักษะด้านการใช้ภาษาอังกฤษในการทำงานมากขึ้น ปี ค.ศ.1971 ศจ.ชาน วาย ชอย หมดวาระเลขาธิการ คณะกรรมการอำนวยการสมาคมฯ ยุคนั้นได้เชิญ ศจ.บุญครอง ปิฎกานนท์ (ศิษยาภิบาลคริสตจักรอิมมานูเอล) มารับตำาแหน่งเลขาธิการแทน อยู่ในวาระ 4 ปี (ค.ศ.1971-1975) สมัยของท่านเป็นช่วงที่สมาคมฯ มีการเปลี่ยนแปลงภายในมาก เลขาธิการต้องมาพักอยู่ในอาคารสมาคมฯ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งส่วนรวมและส่วนที่เป็นของเลขาธิการ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำมันรถ เมื่อ ศจ.บุญครอง อุทิศกาย ใจและเวลาอย่างเต็มที่ให้กับงานสมาคมฯ จนครบวาระ 4 ปี ท่านขอลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการกลับไปเป็นศิษยาภิบาลเต็มเวลาที่คริสตจักร อิมมานูเอลตามเดิม คณะกรรมการอำนวยการฯ สมัยนั้น นำโดย ศจ.จรูญ วิชัยดิษฐ์ (ประธานฯ) จึงเรียนเชิญ ศจ.ทรงเดช กุสาวดี เข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการเป็นลำดับต่อมา (ค.ศ. 1975-1986) โครงการแปลและจัดพิมพ์พระคัมภีร์ฉบับประชานิยมเสร็จสิ้นแล้ว ดิฉันได้รับมอบหมายให้ย้ายมาช่วยงานฝ่ายขายเต็มตัวนับแต่นั้น
.
รู้สึกอย่างไรคะ เมื่อต้องเป็นคนขายพระคัมภีร์
ครั้งหนึ่งที่สมาคมฯ เริ่มนำพระคัมภีร์ไปจำหน่ายในงานที่ ศจ.ทรงเดช ไปเทศนา ท่านเล่าว่า “ที่ประชุมเขาถามผมว่าเดี๋ยวนี้สมาคมฯ มาขายพระคัมภีร์กินแล้วหรือ?” ดิฉันเรียน ศจ.ทรงเดชว่า “ในมุมมองของอารีย์ ซึ่งเป็นทั้งพนักงานสมาคมฯ และเป็นคริสตชนคนหนึ่งที่ต้องอ่านพระคัมภีร์ และเห็นความสำคัญของพระคัมภีร์อยู่แล้วขอเสนอให้อาจารย์ บอกกับคริสตชนตามจริงว่า สมาคมฯ ต้องขายพระคัมภีร์ ไม่ใช่แจกพระคัมภีร์ เราอยากให้พี่น้องคริสตชนเห็นคุณค่าของพระวจนะพระเจ้า และคนทั่วไปเห็นคุณค่าของพระวจนะพระเจ้าด้วยนะคะ”สำหรับดิฉัน โดยส่วนตัวแล้วมั่นใจว่า การขายพระคัมภีร์คือพันธกิจมากกว่าธุรกิจ ขอยกตัวอย่างเรื่อง แมรี่ โจนส์ นะคะ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์เมื่อ 200 ปีเศษที่ผ่านมา บันทึกไว้โดยสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล หรือ United Bible Societies (UBS) เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ในเวลส์ สหราชอาณาจักร เธอรู้จักพระเจ้าเธอรู้ว่าพระคัมภีร์มีคุณค่าอย่างไร เมื่อรู้ว่าพระคัมภีร์ได้ถูกแปลออกมาเป็นเล่มแล้ว เธอปรารถนาอยากจะครอบครองเป็นเจ้าของสัก 1 เล่มและพิมพ์ออกมาเพียงแค่ไม่กี่เล่มเท่านั้น สำหรับเด็กผู้หญิงที่เกิดใน
.
ครอบครัวยากจนการจะจ่ายเงินเพื่อซื้อพระคัมภีร์ 1 เล่มนั้น ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินให้ได้เพียงพอกับราคาพระคัมภีร์ 1 เล่ม (ซึ่งราคาสูง) และต้องเกิดจากการรู้คุณค่าของพระคัมภีร์จริงๆ ในสมัยนั้นพระคัมภีร์ยังไม่ได้พิมพ์อย่างแพร่หลาย จึงมีราคาสูงและต้องเข้าไปซื้อถึงในตัวเมือง ซึ่งห่างไกลจากที่อาศัยของแมรี่ โจนส์…เธอเก็บหอมรอมริบ ทำงาน
.
อย่างหนักเพื่อจะมีพระคัมภีร์เป็นของตัวเอง จนถึงวันหนึ่งที่เธอสะสมเงินได้มากพอเธอดีใจมาก หัวใจพองโตจนลืมระยะทางไกลที่ต้องเดินทางใจของเธอจดจ่ออยู่กับพระคัมภีร์ เท่านั้น แต่เมื่อเดินทางไปถึง…พระคัมภีร์เล่มนั้นถูกขายไปแล้ว แมรี่ โจนส์ เสียดายและเสียใจมากการแปลพระคัมภีร์ 1 เล่มมีกระบวนการมากมาย ต้องใช้เวลาต้องใช้บุคลากรที่เสียสละ มีความเชี่ยวชาญ มีภาระใจ มีต้นทุนที่ประมาณค่ามิได้พระคัมภีร์ 1 เล่มที่คริสตชนจะจ่ายราคาจึงไม่ควรเปรียบเป็นเครื่องมือหากินนะคะ และปัจจุบัน พระคัมภีร์ได้แปลเป็นภาษาต่างๆ มากมายทั่วโลกกว่า 2,000 ภาษาเพื่อให้ผู้คนได้อ่านพระคัมภีร์ในภาษาของตัวเองเข้าใจ มันคือคุณค่าที่สมควรจ่ายราคาค่ะ คริสตชนทุกคนที่ได้อ่านพระวจนะได้รู้แล้วว่ากว่าพระคัมภีร์จะเป็นเล่มนั้นมี ความเป็นมาและมีคุณค่าเพียงใดก็ควรจะตอบสนองต่อพระวจนะและให้คุณค่ากับพระ วจนะอย่างสมควรเช่นกัน ดิฉันเห็นตัวอย่างจาก อาจารย์บุญมาก กิตติสาร (ศิษยาภิบาลของคริสตจักรกรุงเทพ) เวลาท่านไปประกาศไปแจกใบปลิวตามสถานที่ต่างๆ ไปตามชุมชน นั้น ท่านก็ซื้อหนังสือพระกิตติคุณของสมาคมฯ ไปขายในราคาเล่มละสลึง ซึ่งก็มีคนซื้อและคนที่ซื้อก็เป็นคนทั่วไปไม่ใช่คนที่เป็นคริสตชนอีกต่างหาก แล้วเมื่อดิฉันมาเป็นพนักงานสมาคมฯ ได้เห็นอาสาสมัครนำพระกิตติคุณไปขายเล่มละบาท ก็มีคนซื้อในเมื่อคนที่ไม่ใช่พนักงานสมาคมฯ นำพระวจนะของพระเจ้าไปขายและคนทั่วไปก็ยอมจ่ายเงินซื้อ แล้วทำไม สมาคมฯ จะขายเองบ้างไม่ได้ล่ะ!!! ยิ่งเป็นพี่น้องคริสตชนด้วยกันแล้ว เรายิ่งต้องสนับสนุนกันและกันสิคะ ก่อนหน้านั้น สมาคมฯ มีพนักงานน้อย เวลาที่เลขาธิการไปเทศนานอกสถานที่ฝ่ายขายก็จะหาอาสาสมัครนำหนังสือพระ กิตติคุณทั้ง 4 ไปจำหน่ายในที่นั้นๆ ด้วย ราคาเพียงเล่มละ 1 บาท อาสาสมัครจะได้ 75% สมาคมฯ ได้ 25% เมื่อดิฉันย้ายไปอยู่ฝ่ายขาย เป็นพนักงานฝ่ายขายเต็มตัวเริ่มจากเป็นพนักงานขาย ต่อมาได้รับมอบหมายให้ดูแลฝ่ายขายกับคลังสินค้า (สต๊อกพระคัมภีร์) ร่วมกับเจ้าหน้าที่บัญชีชื่อ คุณมณีรัตน์ พงษ์เพียจันทร์ ดิฉันก็เต็มใจและมองว่าคนที่ทำงานในหน้าที่ฝ่ายขายและสต๊อก ต้องเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ถ้าเราสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยพระเจ้าจะให้เรา สามารถดูแลของใหญ่ได้ ช่วงนั้น หน้าร้านมีคนมาซื้อพระคัมภีร์เรื่อยๆ ครั้งหลังๆ ลูกค้าก็ต่อรองขอรับพระคัมภีร์ไปก่อน จ่ายทีหลัง (ขอเครดิต) ดิฉันก็คุยกับผู้ใหญ่ว่า ถ้าเขามาซื้อซ้ำซื้อเพิ่มได้ก็แสดงว่าเขาขายได้ ผู้ใหญ่เห็นด้วย เรามาถูกทาง ระบบการขายปลีกและเครดิตจึงเริ่มขึ้นเป็นรูปธรรมตั้งแต่นั้นมาค่ะรวมถึงการ เริ่มต้นงานขายนอกสถานที่ด้วย ดิฉันเสนอ ศจ.ทรงเดช ว่า เวลาท่านไปเทศนาที่ไหน ให้พนักงานของสมาคมฯ เป็นคนนำพระคัมภีร์และหนังสือที่สมาคมฯ พิมพ์ไปขายเองแทนการส่งอาสาสมัครไปดีไหม โดยดิฉันและคุณมณีรัตน์จะเป็นผู้รับผิดชอบจัดพระคัมภีร์ไปขายและขายเอง จำได้ว่างานใหญ่งานแรกที่ฝ่ายขายเริ่มไปออกบูธคือ งาน “รุ่งอรุณแห่งชัยชนะ” ของสภาคริสตจักรในประเทศไทย หลังจากนั้น ก็ยังมีอีกหลายๆ งาน ที่สมาคมฯ เริ่มนำพระคัมภีร์และหนังสือไปจำหน่าย แต่ละที่แต่ละแห่งที่ไปก็แตกต่างกันมีความยากง่ายในการเข้าพบกับผู้นำ หรือ ผู้มีอำนาจตัดสินใจ เราจะไปตั้งโต๊ะประชาสัมพันธ์หรือวางจำหน่ายพระคัมภีร์ สินค้าบางที่ก็ยอมรับเราง่าย บางที่ก็ยาก แต่การทำงานนี้ เราทำได้เพราะพึ่งพาพระเจ้านะคะ หากทำด้วยกำลังตัวเองคงยากมากเลย ในงานฝ่ายขาย มีโอกาสไปออกบูธหลายครั้ง ครั้งหนึ่ง คือ งานประกาศของผู้เผยพระวจนะ จอยซ์ ไมเออร์ มีคนจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศของประเทศไทยมาร่วมงาน เมื่อโต๊ะของสมาคมฯ ไปตั้ง ทันทีที่เริ่มวางของก็จะมีคนมารุมเลย เราก็ได้มีโอกาสประชาสัมพันธ์พระคัมภีร์ของสมาคมฯ มีพี่น้องคริสตชนจากต่างจังหวัดและกรุงเทพให้การสนับสนุนซื้อพระคัมภีร์กัน จำนวนมาก การตอบสนองของคริสตชนที่มีต่อพระวาจา หรือ พระวจนะ (พระคริสตธรรมคัมภีร์) นั้นดีมากๆ อีกครั้งที่ประทับใจมาก คือ ไปออกบูธที่ คริสตจักรวัฒนาช่วงนั้นเปิดจองพระคัมภีร์ไทย-อังกฤษ  (1971-Good News) มีลูกค้าชาวต่างชาติท่านหนึ่งยินดีจ่ายเงินจองพระคัมภีร์ก่อน ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นของเลยอยากบอกว่าปัจจุบัน สมาคมพระคริสตธรรมไทยเป็นที่ยอมรับของคนมากขึ้น มั่นใจ 100% ว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์มีคุณค่าสมควรยิ่งที่เราจะต้องจ่ายราคา ไม่ใช่ต้องไล่แจกฟรี
.
เป็นคนกลัวการเปลี่ยนแปลงไหมคะ
ดิฉันทำงานที่นี่เป็นที่แรกและที่เดียว จนเกษียณ รวมอายุงานทั้งหมดคือ 43 ปี เคยมีคนถามว่า “ทำงานอยู่ที่เดียวยาวนาน ไม่คิดจะเปลี่ยนบ้างหรือ?” ดิฉันคิดดูแล้ว เราไม่มีที่ไปหรือเราไปไม่ได้กันแน่นะ? แต่ถ้ามีโอกาส ดิฉันก็ยังยืนยันจะทำงานที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยอยู่ดี ดิฉันคิดถึงพระคุณพระเจ้าที่นำมาจนถึงทุกวันนี้ จากคนที่ไม่มีอะไรเลย เรียนไม่จบระดับอุดมศึกษา แต่มีการงานทำมั่นคงมีเงินเดือนให้แม่และสามารถส่งน้องๆ บางคนเรียนหนังสือจนจบ ได้รับการพัฒนาด้านการทำงาน การใช้ภาษาอังกฤษ, การใช้เทคโนโลยีทำงาน อาทิ คอมพิวเตอร์ การโต้ตอบจดหมายภาษาอังกฤษทางอีเมล ฯลฯ 2-3 ประการหลังนี้เป็นช่วงของ ศจ.ดร.เสรี หล่อกัณภัย เลขาธิการท่านปัจจุบัน ฯลฯ คำถามว่า “กลัวการเปลี่ยนแปลงไหม?” สำหรับดิฉันแล้ว การได้ทำงานที่นี่ คือพระคุณของพระเจ้ามากกว่า ดิฉันไม่สามารถจัดการทุกอย่างในชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอได้ลงตัว เลย บางทีเวลาท้อหรือมีปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บ้าน เรื่องของน้องชาย เรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้น ดิฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่มีความรู้เรียนไม่จบสูงเป็นคนที่รับความกด ดันเยอะที่สุดในฐานะเป็นพี่คนโตของน้องๆ อีก 8 คน เมื่อแม่ดูแลเหตุการณ์ในบ้านไม่ไหว บ่อยครั้งที่ดิฉันต้องรับอารมณ์โกรธจากแม่เคยท้อมากๆ ถึงขนาดพูดกับพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์ให้เจอปัญหาเยอะแยะ ทำไมพระองค์ไม่รับอารีย์ไปอยู่กับพระองค์เลยล่ะ” แต่เมื่อดิฉันอธิษฐาน ดิฉันร้องเพลง “ข้าปฏิบัติพระผู้ช่วย” บ่อยๆ เพื่อเตือนตัวเองว่าเรากำลังรับใช้พระเจ้านะ พระองค์ช่วยให้ดิฉันมีสันติสุข และผ่านช่วงเวลาหนักๆ นั้นได้เสมอมาให้ดิฉันเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่วันต่อวัน สมาคมฯ มีพนักงานหลายคน ก็ช่วยให้ดิฉันได้เรียนรู้วิธีทำงานและพัฒนาทักษะในการทำงาน พระเจ้ารักเราก่อนค่ะไม่ใช่เราไปเลือกและรักพระองค์ก่อน และดิฉันเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่โดยความกรุณาของพระองค์ต่างหาก ที่ให้ดิฉันเข้ามาทำงานที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยจวบจนเกษียณอายุงานนี้ รวมๆ แล้วก็เป็นเวลาถึง 43 ปีค่ะ เมื่อพระเจ้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พระองค์ก็ทรงดูแลและมีแผนการที่ดีรองรับไว้ให้เราเสมอเราก็ผ่านมาได้ครั้ง แล้วครั้งเล่าโดยพึ่งพาพระเมตตาจากพระเจ้าค่ะไม่หวังไกลกว่านั้น เพราะมันไม่มีประโยชน์ เราไม่สามารถล่วงรู้ล่วงหน้าได้ว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ จะต้องเจอเหตุการณ์อะไรบ้างการเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดผลดี มันก็เป็นเรื่องดีนะคะ ในสมัยที่เป็นรอยต่อของ 2-3 เลขาธิการ ศจ.ทรงเดช กุสาวดี เห็นว่าพระคัมภีร์มีแต่ขนาดใหญ่และหนา จึงคิดริเริ่มโครงการจัดทำพระคัมภีร์ย่อขนาด หรือ Reduced size แต่ก็เสียชีวิตก่อน ศจ.ดร.สมดี ภูสอดสี และ อ.ประยูร ลิมะหุตะเศรณี จึงรับช่วงสานต่อโครงการนี้ภายใต้การดูแลเรื่องเรียงพิมพ์ของ อ.ทองหล่อ วงศ์กำชัย หัวหน้าฝ่ายแปล จนในที่สุดก็จัดพิมพ์ได้สำเร็จ ดิฉันจำ จำนวนพิมพ์ไม่ได้แต่จำได้ว่า เมื่อพิมพ์เสร็จเริ่มจำหน่าย กระแสตอบรับพระคัมภีร์ฉบับย่อขนาดมาแรงมาก ขายดีเพียงหนึ่งเดือนทางสมาคมฯ ต้องสั่งพิมพ์เพิ่มอีกเป็นหมื่นเล่ม ดิฉันตื่นเต้นมากเพราะตั้งแต่ทำงานฝ่ายขายนำพระคัมภีร์สินค้าไปบริการนอก สถานที่ ยังไม่เคยมีสักครั้งที่ขายได้หมดจนไม่พอขายเช่นครั้งแรกของการมีพระคัมภีร์ ย่อขนาดนี้มาก่อนเลย ขณะนั้น ศจ.ดร.เสรี หล่อกัณภัย เป็นกรรมการฝ่ายแปล ได้แนะนำให้สมาคมฯ นำพระคัมภีร์ฉบับย่อขนาดนี้ไปขายในการประชุมผู้นำ สภาคริสตจักรฯ จัดที่ คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์ เพราะคนได้เห็นพระคัมภีร์มากเท่าไรพระคัมภีร์ก็จะกระจายออกไปได้มากขึ้น ดิฉันก็นำไปขายราคาเต็ม ไม่มีส่วนลด แต่คนก็ยังซื้อกันมากจนพระคัมภีร์ไม่พอขาย แสดงว่าปัญหาของคริสตชนไม่ได้อยู่ที่ราคาพระคัมภีร์ จากนั้นเป็นต้นมา สมาคมฯ ต้องสั่งพิมพ์พระคัมภีร์หลักหมื่นเล่มขึ้นไปค่ะไม่มีหลักร้อยหลักพันอีกแล้ว ดิฉันเคยบอก ศจ.ทรงเดช ในยุคที่ท่านเป็นเลขาธิการว่า มือทุกมือจะยื่นเข้ามาหาสมาคมฯ (ดิฉันจำคำพูดตัวเองได้ดี) อยู่ที่คนทำงานแล้วล่ะว่าจะเดินหน้าทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่เพียงใด จะทุ่มเทให้สุดๆ แค่ไหนกัน จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับประชานิยม ต่อมาก็มีโครงการยกร่างคำแปลใหม่อีกเนื่องจากภาษามีวิวัฒนาการ สมาคมฯ ต้องการให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจของคนมากขึ้น เมื่อ ศจ.ดร. เสรี หล่อกัณภัย เข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการ ในปี ค.ศ. 1998 ท่านได้สานต่อโครงการยกร่างคำแปลพระคัมภีร์อีกครั้งจนสำเร็จ (โครงการเริ่มตั้งแต่ปี 1997) มีพิธีเปิดตัวและมอบถวายพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับมาตรฐานอย่างยิ่งใหญ่ มีผู้นำคริสตชนระดับสูงทั้งไทยและต่างประเทศมาร่วมพิธีและอธิษฐานมอบถวาย เมื่อ 2 เมษายน 2011 ใช้เวลายกร่าง 14 ปี
.
ทัศนคติของคุณอารีย์ที่มีต่อ “สมาคมพระคริสตธรรมไทย” เป็นอย่างไรคะ
ดิฉันรู้สึกว่าสมาคมพระคริสตธรรมไทย คือ สวรรค์ เวลาเข้ามาทำงาน ได้เจอเพื่อนร่วมงานทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง เมื่อเล่าถึงปัญหาหนักอกหนักใจ สิ่งที่ทุกคนทำ คือ อธิษฐานเผื่อขอพระเจ้าช่วยดิฉันเราไม่ได้หวังการช่วยเหลือที่มาจากมนุษย์ เป็นหลักแต่การร้องเพลงสรรเสริญและการอธิษฐานต่างหาก คือ สิ่งที่ชีวิตคริสตชนจำเป็นต้องทำมีอยู่เพลงหนึ่งในหนังสือเพลงชีวิต คริสเตียน ชื่อเพลง “ข้าปฏิบัติพระผู้ช่วยฯ” ดิฉันชอบมาก เพราะระลึกเสมอว่า ดิฉันต้องรับใช้พระเจ้าทั้งในชีวิตส่วนตัวและการงาน ถ้าพระองค์ไม่ทรงนำครอบครัวให้รู้จักและได้อยู่ในความรักของพระองค์ชีวิตของ ดิฉัน แม่และน้องๆ คงจะไม่มีความสุข ผ่านมาได้อย่างทุกวันนี้ สมาคมพระคริสตธรรมไทยทำงานกับถ้อยคำของพระเจ้า และถ้อยคำของพระเจ้านั้นก็ไม่มีวันที่จะสูญหายไปจากโลกนี้เลย ถ้อยคำาของพระองค์ผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ ได้ส่งผลมายังสมาคมฯ มาเป็นนับร้อยปี นี่เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้าและความรักของพี่น้องคริสตชนที่มีต่อพระเจ้า ทุกคนจึงตระหนักและยอมรับด้วยหัวใจว่าพระเจ้ามีพระคุณและความรักให้เราเสมอ ค่ะ ไม่ใช่เพราะความดีหรือความสามารถของเราเลย แต่เพราะพระคุณพระเจ้าต่างหาก ดังนั้น คริสตชนควรมีหัวใจแห่งการเชื่อฟัง ยำเกรงพระองค์ เพื่อพระวจนะจะได้กระจายไปสู่ผู้คนอีกมากมายอย่างทั่วถึงตามที่พระเจ้าทรงมี วัตถุประสงค์ให้เราประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ต่อๆ ไป”  ปัจจุบันทุกเช้าวันจันทร์-พุธ-ศุกร์ ช่วง 8.00-9.00 น. สมาคมฯ จะมีชั่วโมงนมัสการพระเจ้าด้วยกันก่อนทำงานพนักงานจะได้รับกำลังฝ่ายจิต วิญญาณด้วยการร้องเพลงนมัสการ อ่านและศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐานด้วยกันก่อนแยกย้ายไปทำงานตามหน้าที่ขอตัวเอง พวกเราพนักงานสมาคมสัมผัสได้ถึงความรักสมาคมฯ ที่เลขาธิการแต่ละท่านมี ทุกท่านอุทิศชีวิต เวลาสติปัญญาเพื่อให้งานสมาคมฯ มีความก้าวหน้าและพัฒนาในสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ละท่านล้วนคิดอะไรกว้างไกลและชัดเจนมากนึกถึงตอนที่ดิฉันไปพบกับพี่น้อง คาทอลิก มักจะได้ยินคำพูดที่ฟังแล้วชื่นใจเสมอโดยเฉพาะพระคุณเจ้าวีระ อาภรณ์รัตน์ ท่านเป็นนักบวชคาทอลิกระดับสูง เมื่อมีโอกาสสนทนากับท่านๆ จะบอกดิฉันว่าท่านชื่นชมการทำงานของคริสเตียนนะ พวกเรามักจะทำงานร่วมกันได้ดีเสมอ ซึ่งเป็นการดีเพราะการประกาศพระวาจาของพระเจ้านั้นต้องทำอย่างต่อเนื่องต้อง เดินหน้า อย่าหยุดยั้งดิฉันเคยพูดกับ ศจ.ทรงเดช และจำคำพูดตัวเองได้ดีว่า งานของสมาคมฯ ต้องเดินหน้าไปอีกการงานของพระเจ้าจะต้องไม่หยุดอยู่แค่เพียงเท่านี้ แน่ๆ แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นทุกวันนี้ สมาคมฯ ก็ยังไม่หยุดที่จะพิมพ์พระคัมภีร์และยังพัฒนาให้พระคัมภีร์มีรูปแบบต่างๆ มากขึ้น จากอ่านเป็นเล่ม สามารถอ่านได้จากคอมพิวเตอร์ ดาวน์โหลดอ่านได้ในโทรศัพท์มือถือ เปิดพระคัมภีร์ฟังได้จากซีดี ทางอินเตอร์เน็ต อยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์ก็ไปถึงทุกคนได้แล้วนะคะ
.
คุณอารีย์อยากหนุนใจเรื่องการรับใช้พระเจ้าและการทำงานกับคริสตชนคนรุ่นใหม่ได้ไหมคะ
เรื่องการรับใช้ก็อยากบอกว่าชีวิตของเราแต่ละคนที่ได้มา ก็เพราะพระคุณของพระเจ้านะ ในเมื่อพระเจ้าทรงดูแลและทรงประทานสิ่งดีๆ ให้กับเรามากเหลือเกินแล้วเราล่ะ มีอะไรที่จะให้กับพระองค์ได้บ้างไหม? จงให้พระองค์เถอะค่ะเรามีแต่ได้กับได้ ถามว่า ให้อะไรล่ะ? ก็ให้หัวใจเราพร้อมรับใช้พระเจ้าไงคะ เดี๋ยวนี้ เวลาไปโบสถ์ เห็นเด็กๆ รุ่นใหม่เข้ามาทำงานรับใช้พระเจ้ากันในหน้าที่ต่างๆ ได้เห็นเขาถวายทรัพย์ ถวายสิบลดแล้ว ชื่นใจค่ะเป็นภาพที่น่ารักมาก สมาคมพระคริสตธรรมไทยมีอะไรดีหรือ??? ดิฉันจึงทำงานมายาวนานถึง 43 ปีจนเกษียณได้อยากบอกว่าสมาคมพระคริสตธรรมไทยเป็นหน่วยงานของพระเจ้าค่ะ พระองค์ทรงดูแล ทรงควบคุมและทรงรักเราก่อน นี่แหละค่ะ เรามาทำงาน คือ เราทำงานกับพระเจ้านะ เราเป็นเครื่องมือของพระองค์ งานที่พวกเราทำอยู่ที่สมาคมพระคริสตธรรมไทยนี่ ดิฉันมองว่า มันยิ่งใหญ่กว่าอาชีพหมอรักษาคนไข้อีกนะ เพราะเราทำงานด้วยความรักของพระเจ้าใช้ความรักของพระเจ้าในการทำงานเมื่อออก ไปสู่คทั่วไป นั่นคือเราได้นำความรักความห่วงใยของพระเจ้าออกไปให้เขาด้วยชีวิตเราต้อง เป็นแบบอย่าง ต้องมีสิ่งดีออกไปสู่คนอื่นๆถ้ามีโอกาสเล่าประสบการณ์ชีวิตก็จะเล่าและบอกคน นั้นว่า เขาก็สามารถมีชีวิตใหม่ด้วยพระคุณพระเจ้าเหมือนอย่างดิฉันเช่นกันสำคัญ คือ ตัวเรากับพระเจ้าเท่านั้นเองค่ะ ต่อให้มีงานดีเงินเดือนดีสวัสดิการดีแต่หากไม่มีสันติสุขของพระเจ้าปราศจาก ความรักของพระเจ้า ชีวิตเราก็จะไม่เป็นแบบอย่างและจะผ่านคำว่า “วันต่อวันโดยพระคุณพระเจ้า” ไม่ได้เลย
.
รางวัลแห่งชีวิตและ“ผู้แทนกิตติคุณ” ตำาแหน่งใหม่หลังเกษียณ
ปีนี้ดิฉันครบอายุ 60 ปีแล้ว ที่จริงต้องเกษียณอายุงาน แต่ขอบคุณพระเจ้ามากกว่าที่ให้ดิฉันเป็นคนที่ยังใช้การได้และซาบซึ้งใจมาก ที่คณะกรรมการอำนวยการสมาคมฯตลอดจนพนักงานสมาคมฯ ให้โอกาสดิฉันรับหน้าที่ “ผู้แทนกิตติคุณ” ซึ่งเป็นเกียรติและยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของดิฉันมาก ตลอด 43 ปีของการทำงานที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น ปลายปี 2012 ที่ผ่านมา สมาคมฯ ยังกรุณาให้ดิฉันได้ร่วมเดินทางไปทัศนศึกษา 3 ดินแดนในพระคัมภีร์ “อิสราเอล อียิปต์ จอร์แดน” ด้วย ซึ่งสมาคมฯ จัดร่วมกับ บ.เบธเอลทัวร์ มาหลายปีติดต่อกันแล้ว ดิฉันตื่นเต้นในการเดินทางครั้งนี้และรู้สึกได้รับเกียรติอย่างยิ่งค่ะ เหมือนฝันไปเพราะลึกๆ ในใจก็บอกตัวเองว่าในชีวิตนี้ขอให้ได้ไปประเทศอิสราเอลสักครั้งเถิด แต่ไม่คิดว่าความฝันของดิฉันจะเกิดขึ้นจริงโดยไม่ทันตั้งตัว…ตั้งแต่กลับ มาจากทัวร์ครั้งนี้ ยังถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าเราได้ไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ!!! ใครที่มีโอกาสก็อยากให้ไปเถิดค่ะ อย่ามัวรอและคิดนานได้โปรดอย่าลังเลดิฉันมองสมาคมฯ ว่าเป็นเหมือนแผ่นดินสวรรค์ สำหรับอิสราเอล นั่นคือ “แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Land” เลยนะคะยิ่งภูเขาซีนายที่พระคัมภีร์กล่าวถึงตอนที่โมเสสถือไม้เท้าและใช้ไม้ เท้านั้นทำตามคำสั่งจากพระเจ้าเรื่อง “บัญญัติ 10 ประการ” พอได้ขึ้นไปยืนอยู่บนภูเขานั้น ตื่นเต้นจริงๆ แล้วยังได้ขึ้นขี่หลังอูฐด้วยตัวเองจริงๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต ดิฉันไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี ขณะอยู่บนหลังอูฐ ได้แต่ขอบพระคุณพระเจ้าๆๆๆ และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าไปตลอดทางดิฉันขอถือโอกาสนี้ท้าทายคนที่คิดว่า ตัวเองอายุมาก คงไม่ไหวแน่ๆ มันไม่ใช่ปัญหาค่ะ อายุไม่ใช่ปัญหาเลยขอแค่มีใจครั้งนี้มีลูกทัวร์อายุ 85 ปีร่วมเดินทางไปด้วย เดินเร็วมาก กิจกรรมเดียวที่คุณป้าท่านนี้ไม่ได้ร่วมกับคณะ คือ การเดินขึ้นภูเขาซีนายค่ะ นอกนั้น คนหนุ่มสาวอายุน้อยกว่าต้องยกนิ้วให้คุณป้าท่านนี้กันเลยใจท่านสู้มาก ตลอดการเดินทางครั้งนี้ มีการหนุนใจกันไปมาอยู่ตลอด มีอยู่คนหนึ่ง ก่อนตัดสินใจร่วมทัวร์ ได้รับคำสั่งจากหมอว่า เป็นโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนห้ามเดินทาง ห้ามเคลื่อนไหวร่างกาย ทำท่าจะยกเลิกการเดินทางแต่ก็เปลี่ยนใจเมื่อไปก็ร่วมกิจกรรมหลายๆ อย่างทั้งขึ้นภูเขาซีนาย ขี่อูฐ ปรากฏว่าตั้งแต่ไปจนกลับมาถึงเมืองไทย แข็งแรง ปกติดี ดูแข็งแรงกว่าก่อนไปด้วยซ้ำนะคะ
.
ข้อพระคัมภีร์ประจำใจ
ดิฉันมีข้อพระคัมภีร์ในใจเป็นร้อยๆ ข้อเลยค่ะ แต่ข้อที่ติดใจ ประจำใจที่สุดก็คือ ยอห์น บทที่ 3 ข้อ 16 ค่ะ“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”คำว่า “ไม่พินาศ” จับใจมาก ดิฉันเชื่อว่าไม่มีใครอยากประสบความพินาศในชีวิตเลยสักคน รวมทั้งตัวดิฉันเองด้วยเงื่อนไขง่ายๆ คือวางใจในพระเจ้าจะไม่พินาศ…อยากให้คนอื่นๆ ไม่ต้องพบกับความพินาศแต่มีความหวังใจเช่นเดียวกับดิฉันค่ะพระเจ้าทรงรักเรา ก่อน ไม่ใช่เราที่เลือกและรักพระองค์ ดังนั้น ในเมื่อพระองค์ทรงประทานสิ่งดีๆให้กับเราอย่างมากมายแล้ว เราควรตอบแทนความรักพระคุณของพระองค์ด้วยการเป็นผู้รับใช้ เป็นผู้ที่สำแดงความรักของพระองค์ให้กับคนอื่น แบ่งปันความรักของพระองค์กับเขา ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ถ้าเขาเห็นพระเจ้าที่มีอยู่ในชีวิตของเราสักวัน เขาก็จะได้รับชีวิตใหม่ที่เป็นนิรันดร์เช่นกัน…ให้เรามีใจขอบพระคุณพระ เจ้าเสมอในทุกกรณี ขอพระเจ้าอวยพรผู้อ่านทุกท่านค่ะ
.
รายนามเลขาธิการ สมาคมพระคริสตธรรมไทย ในช่วง 43 ปีที่คุณอารีย์ทำงาน มีดังนี้
  • ค.ศ 1962-1971 ศาสนาจารย์ ชาน วาย ชอย
  • ค.ศ. 1971-1975 ศาสนาจารย์ บุญครอง ปิฎกานนท์
  • ค.ศ. 1975-1986 ศาสนาจารย์ ทรงเดช กุสาวดี
  • ค.ศ. 1986-1994 ศาสนาจารย์ ดอกเตอร์ สมดี ภูสอดสี
  • ค.ศ. 1995-1997 อาจารย์ ประยูร ลิมะหุตะเศรณี
  • ค.ศ. 1998-ปัจจุบัน ศาสนาจารย์ ดอกเตอร์ เสรี หล่อกัณภัย