“พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา มีความเป็นมาอย่างไร? คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว? และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อไร?”
ในปัจจุบัน น่ายินดีที่คริสตชนมีพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่มีเชิงอรรถอธิบายความหมายอยู่หลายฉบับ เช่น พระคัมภีร์คาทอลิกฉบับสมบูรณ์ (ที่แปลมาจาก The New Jerusalem Bible ซึ่งมีเชิงอรรถที่เป็นประโยชน์จำนวนมาก) พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับค้นคว้า (ที่แปลเชิงอรรถอธิบายจาก NIV Study Bible ซึ่งเขียนโดยนักวิชาการพระคัมภีร์สายอนุรักษ์นิยม) พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับอธิบาย (ที่แปลเชิงอรรถอธิบายจาก Life Application Bible ซึ่งนอกจากจะให้ข้อมูลเบื้องหลังพระคัมภีร์แล้ว ยังให้แง่คิดเกี่ยวกับการประยุกต์พระคัมภีร์เข้ากับชีวิต) พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับอธิบาย “ชีวิตครบบริบูรณ์” (ที่แปลเชิงอรรถอธิบายจาก Full Life Study Bible ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนหลักความเชื่อของคณะเพ็นเทคอสต์) นี่นับเป็นพระพรอย่างยิ่งจากพระเจ้าสำหรับคริสตชนไทยที่จะได้อ่านและเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ อีกทั้งนำมาเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน (Scripture Engagement)
การเรียกร้องให้จัดทำพระคัมภีร์ฉบับศึกษาของสมาคมฯ ในเมื่อมีพระคัมภีร์ที่มีเชิงอรรถอธิบายมากมายแล้ว ยังจำเป็นอีกหรือที่สมาคมพระคริสต-ธรรมไทยจะต้องจัดทำพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา? คำตอบมิได้มาจากสมาคมฯ เอง แต่มาจากคริสตชนว่าพวกเขายังต้องการพระคัมภีร์ฉบับศึกษาของสมาคมฯ อยู่ และเฝ้าคอยว่าเมื่อไรจะเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาจะได้หามาอ่านและศึกษา และด้วยเหตุนี้เอง สมาคมฯ ยังคงดำเนินการจัดทำเชิงอรรถอธิบายพระคัมภีร์ฉบับมาตรฐาน และค่อยๆ ทยอยพิมพ์ออกมาให้พี่น้องได้อ่าน ยกตัวอย่าง พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา ปัญญานิพนธ์ (โยบ สุภาษิต และปัญญาจารย์) ซึ่งพิมพ์ออกมาในเดือนมีนาคม 2017 เป็นต้น
ประวัติความเป็นมาของโครงการ พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา ตั้งแต่แรกสหสมาคมพระคริสตธรรมสากล (United Bible Societies) มีนโยบายจัดพิมพ์พระคัมภีร์โดยไม่มีคำอธิบายหรือข้อคิดเห็น (without note or comment) เพราะในสมัยก่อตั้งสมาคม พระคริสตธรรมอังกฤษและต่างประเทศ (British and Foreign Bible Society) มีหลายฝ่ายที่ใช้คำอธิบายหรือเชิงอรรถในพระคัมภีร์เป็นอาวุธต่อสู้กับฝ่ายที่มีหลักคำสอนต่างกัน
ดังนั้นสหสมาคมฯ จึงต้องวางตัวเป็นกลางโดยไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่มุ่งรับใช้คริสตจักรทุกฝ่าย ด้วยเหตุนี้จึงได้ออกนโยบายจัดทำพระคัมภีร์ที่ไม่มีคำอธิบายหรือข้อคิดเห็นที่สื่อหลักคำสอนหรือหลักความเชื่อของคณะใดคณะหนึ่ง
แต่ต่อมาในปีค.ศ.1980 สหสมาคมฯ ได้ยกเลิกนโยบายนี้ (แต่ยังคงยึดหลักความเป็นกลาง) เพราะเห็นว่าควรที่จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงอนุญาตให้จัดทำพระคัมภีร์ฉบับศึกษาได้ แต่ต้องให้คำอธิบายและเชิงอรรถคำอธิบาย (Study notes) นั้นเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้อ่านจำเป็นต้องทราบเพื่อจะเข้าใจพระคัมภีร์ อาทิ เบื้องหลังพระธรรม ผู้เขียน วันเวลาที่เขียน จุดประสงค์ของพระธรรม โครงร่าง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมและสำนวนภาษา ตลอดจนโลกทัศน์ของคนสมัยพระคัมภีร์ เป็นต้น และนอกจากนี้คำอธิบายเชิงประยุกต์ก็ต้องเป็นแนว ทางกว้างๆ และเป็นกลางที่ยอมรับได้แก่ทุกฝ่าย โดยไม่เอนเอียงไปที่หลักความเชื่อของคณะนิกายใด
ปีค.ศ.1979 คณะมาบุรเกอร์มิชชั่นเสนอให้สมาคมพระคริสตธรรมไทยจัดทำพระคัมภีร์ฉบับอ้างอิง ภาคพันธสัญญาใหม่ เพื่อผู้อ่านจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างข้อพระคัมภีร์ ดังนั้นในปี ค.ศ.1984 พระคัมภีร์ใหม่ฉบับอ้างอิงจึงถูกพิมพ์ขึ้นมาในเดือนกรกฎาคม
ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1984 อ.ฮารัลด์ คราห์ล ได้เสนอ อ.ทรงเดช กุสาวดี เลขาธิการสมาคม พระคริสตธรรมไทยให้จัดทำพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับอ้างอิง ทั้งภาคพันธสัญญาเดิมและพันธ-สัญญาใหม่ที่รวมคำอธิบายต่างๆ ไว้ด้วยทาง สมาคมฯ รับข้อเสนอนั้น จึงเกิดโครงการพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษาเพื่อช่วยให้คริสตชนไทยเจริญเติบโตในด้านความรู้พระคัมภีร์และในด้านจิตวิญญาณ
วันที่ 18 กันยายน ค.ศ.1985 สมาคมพระคริสตธรรมไทยได้จัดการประชุมคณะผู้จัดเตรียมพระคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา ณ บ้านธารแก้ว มหาวิทยาลัยพายัพ จ.เชียงใหม่ มีผู้เข้าร่วมประชุม 16 ท่าน ได้แก่
- อ.ฮารัลด์ คราห์ล (มิชชันนารี คณะมาบุรเกอร์ สังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทย)
- อ.เดวิด คลาร์ก (ที่ปรึกษาฝ่ายการแปล สหสมาคมพระคริสตธรรมสากล)
- อ.ทรงเดช กุสาวดี (เลขาธิการสมาคมพระคริสตธรรมไทย)
- อ.กมล อารยะประทีป อ.ทวีชัย เอื้ออารยะกุล อ.เซน ดีแก้ว (สภาคริสตจักรในประเทศไทย)
- อ.พอล ฟุลเลอร์ (จาก South Asia Christian Services)
- อ.เอิร์นสท์ ฮอร์น อ.คีส บราวเวอร์ อ.เฮลล์มุท โรบีสช์ อ.บ๊อบ แบทซิงเจอร์ อ.ริชาร์ด ไบรอันท์ (สภาคริสตจักรในประเทศไทย)
- อ.โกฟ เอลเดอร์ อ.เจอร์รี เพอร์ริล อ.บ๊อบ คัลเลน (Southern Baptist Mission)
- คุณนวลศรี เหม-ติรันดร (เจ้าหน้าที่สมาคมฯ)
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา
เหตุผลที่มีโครงการ พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษาในอดีต
- พระคัมภีร์ฉบับศึกษาเป็นนโยบายของ สหสมาคมพระคริสตธรรมสากล เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจพระคัมภีร์ง่ายขึ้น
- สภาพคริสตจักรไทยในปลายศตวรรษที่ 20
- คริสตจักรไทยส่วนใหญ่อยู่ตามชนบท
- คริสตจักรขาดแคลนศิษยาภิบาล
- คริสตจักรขาดผู้เลี้ยง ผู้สอน ผู้มีความรู้พระคัมภีร์
- เจ้าหน้าที่ในคริสตจักรต้องรับผิดชอบสอน เทศน์ และประกาศข่าวประเสริฐ
- สมาชิกในคริสตจักรได้รับการศึกษาเพียงชั้น ป.4 (หรืออย่างมาก ป.6) พวกเขาไม่นิยมอ่านหนังสือ ดังนั้นจึงไม่มีความรู้ในเรื่องพระคัมภีร์
สรุป นี่เป็นเวลาเหมาะสมที่จะผลิตพระคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา เพื่อช่วยผู้อ่านเข้าใจเบื้องหลังพระธรรมแต่ละเล่ม แต่ละบท แต่ละข้อ แต่ละเหตุการณ์ โดยมีคำอธิบายสั้นๆ ที่เข้าใจง่าย และไม่สร้างความสับสนด้วย
กลุ่มเป้าหมายของพระคัมภีร์ไทย ฉบับศึกษาในอดีต
- คริสตชนทั่วไปและผู้สนใจศึกษาพระคัมภีร์
- ผู้มีการศึกษาไม่สูง (ป.6)
- ผู้มีความรู้ไม่มากพอ
- เจ้าหน้าที่คริสตจักรที่ต้องรับผิดชอบในการสอน การเทศนา
- ศิษยาภิบาลที่ไม่รู้ภาษาอื่น (ไม่สามารถค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ในภาษาอื่น)
ดังนั้นคณะกรรมการจึงจัดทำคำอธิบายสำหรับพระคัมภีร์ไทยฉบับ 1971 โดยคำอธิบายนั้นจะต้อง
- ไม่เอนเอียงไปยังหลักข้อเชื่อของคณะนิกายใด
- ไม่ใช่การเทศนาเพื่อเรียกร้องผู้อ่านตอบสนองเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ
- ช่วยผู้อ่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์
- ใช้ภาษาไทยที่คริสตชนในชนบทการศึกษาชั้น ป.6 เข้าใจ
- มีความน่าเชื่อถือในเชิงวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อศิษยาภิบาล
- ต้องมีความยาว 25% ของเนื้อหาพระคัมภีร์แต่ละเล่ม
- ตอบคำถามคาใจผู้อ่านที่เป็นคนไทย
- อธิบายข้อความยากในพระคัมภีร์ และอาจอธิบายคำแปลผิดพร้อมยกเหตุผล
- อาจเลือกคำแปลแบบอื่นที่เป็นไปได้ (Alternative rendering) โดยยึดพระคัมภีร์อังกฤษฉบับ Revised Standard Version
- เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ของพระคัมภีร์
การจัดทำพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับศึกษาในปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 21 สถานการณ์แวดล้อมต่างจากตอนปลายศตวรรษที่ 20 ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดทำพระคัมภีร์ไทยฉบับศึกษาเพื่อให้เข้ากับความต้องการของปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษายังคงยึดหลักการของสหสมาคมพระคริสต-ธรรมสากลในการจัดทำคำอธิบายในพระคัมภีร์ฉบับศึกษา
วัตถุประสงค์ของพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับศึกษา เพื่ออธิบายความหมายของคำ วลี ประโยค และเนื้อความตามบริบทของพระคัมภีร์ โดยคำ อธิบายนั้นๆ กระชับ เป็นข้อมูลที่จำเป็น ที่เกี่ยวข้อง และยังช่วยผู้อ่านเข้าใจพระคัมภีร์ชัดเจนขึ้น อีกทั้งช่วยให้เห็นแนวทางที่จะประยุกต์คำสอนกับชีวิตประจำวันในบริบทไทย คำอธิบายนั้นต้องไม่จำกัดความคิดของผู้อ่าน
กลุ่มเป้าหมายในปัจจุบัน คริสตชนไทยและผู้ที่สนใจต้องการศึกษาพระคัมภีร์เพิ่มเติมด้วยตนเอง คนไทยในปัจจุบันมีความรู้พื้นฐานระดับมัธยมศึกษาตอนต้นซึ่งพอจะคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษอยู่บ้าง
แนวคิดการจัดทำพระคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา
กิจการ 7:28-35 ฟีลิปช่วยอธิบายพระธรรม อิสยาห์ที่ขันทีกำลังอ่าน เพื่อให้เขาเข้าใจความหมายของพระธรรมนั้นอย่างชัดเจน
เนหะมีย์ 8:5-8 ขณะเอสราอ่านม้วนหนังสือธรรมบัญญัติให้ประชาชนฟัง พวกเลวีผู้ช่วยของ เอสราก็กระจายกันไปในหมู่ประชาชนเพื่ออธิบายความหมายของธรรมบัญญัตินั้นแก่ประชาชน เมื่อเป็นเช่นนั้น ประชาชนก็เข้าใจธรรมบัญญัติ
งานของพระคัมภีร์ฉบับศึกษาก็คล้ายอย่างนั้นกล่าวคือ เราทำหน้าที่เหมือนฟีลิปผู้อธิบายความหมายของพระคัมภีร์แก่ขันที หรือเหมือนพวกเลวีผู้แปลความและตีความหมายแก่ประชาชนเพื่อให้พวกเขาเข้าใจอย่างถูกต้อง
รูปแบบการจัดทำพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา เท่าที่ผ่านมา มีการจัดรูปแบบต่างๆ กันไปสามแบบดังนี้คือ
- แบบที่หนึ่ง พระคัมภีร์และคำอธิบายโดยมีสัดส่วนเนื้อที่เฉลี่ยต่อหน้าดังนี้คือ เนื้อที่ของพระคัมภีร์ 2 ใน 3 ของหน้า ส่วนเนื้อที่ของคำอธิบาย 1 ใน 3 ของหน้า พระคัมภีร์ที่จัดลักษณะนี้ ได้แก่
- นางรูธ ฉบับศึกษา (1986)
- พระคัมภีร์ฉบับศึกษา พระธรรมยอห์น (1989)
- เพลงซาโลมอน ฉบับศึกษา (2003)
- พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา ภาคพันธสัญญาเดิม ผู้เผยพระวจนะน้อย โฮเชยา-มีคาห์ (2001)
- พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา ภาคพันธ-สัญญาเดิม ผู้เผยพระวจนะน้อย นาฮูม-มาลาคี (2003)
- พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา ภาคพันธสัญญาใหม่ (2000)
- แบบที่สอง คู่มือศึกษาประกอบด้วยคำอธิบายอย่างเดียว ทั้งนี้เพื่อตอบสนองบางคนว่ามีพระคัมภีร์อยู่แล้ว ไม่อยากได้พระคัมภีร์อีก แต่ต้องการเพียงคำอธิบายเท่านั้น ฉบับศึกษาในลักษณะนี้ ได้แก่
- คู่มือศึกษาพระธรรมสดุดี (2007)
- คู่มือศึกษาเบญจบรรณ (2009)
- แบบที่สาม พระคัมภีร์และคำอธิบายโดยไม่ได้กำหนดสัดส่วนให้คำอธิบาย ทั้งนี้เพราะคณะกรรมการให้ความสำคัญกับความเข้าใจของผู้อ่านเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีส่วนพิเศษที่ไม่มีในแบบที่หนึ่งและสองคือ บทความพิเศษ (Side bar) ที่อธิบายความหมายของบางข้อความในบริบทของพระธรรมนั้นๆ และคำอธิบายเชิงประยุกต์ (Application) ที่ให้แนวทางการปรับใช้คำสอนในพระคัมภีร์กับชีวิตประจำวัน
พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับศึกษาที่พิมพ์เป็นเล่มและมีจำหน่ายแล้วได้แก่
- ปัญญานิพนธ์ โยบ สุภาษิต ปัญญาจารย์ (2017)
- ประวัติศาสตร์สมัยอาณาจักรเปอร์เซีย เอสรา เนหะมีย์ เอสเธอร์ (2018)
- กวีนิพนธ์ สดุดี เพลงซาโลมอน (2019)
- ผู้เผยพระวจนะสมัยอาณาจักรบาบิโลน เยเรมีย์ เพลงคร่ำครวญ (2020)
- ผู้เผยพระวจนะสมัยอาณาจักรบาบิโลน เอเสเคียล (2020)
งานจัดทำพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา เนื่องจากในอดีต พระคัมภีร์ฉบับศึกษาใช้ฉบับ 1971 แต่ปัจจุบัน คณะกรรมการเลือกใช้ฉบับมาตรฐาน 2011 เป็นหลัก ดังนั้นจึงทำให้ต้องปรับแก้คำอธิบายของเก่าให้ตรงกับฉบับ 2011 และต้องเขียนคำอธิบายสำหรับพระธรรมที่ยังไม่มีการเขียน สรุปงานที่ทำได้แก่
- ปรับแก้คำอธิบายเก่า (Revise old study notes) ในพระธรรม 47 เล่ม ได้แก่ หมวดเบญจ-บรรณ 5 เล่ม นางรูธ 1 เล่ม สดุดี 1 เล่ม เพลง ซาโลมอน 1 เล่ม หมวดผู้เผยพระวจนะน้อย 12 เล่ม และภาคพันธสัญญาใหม่ 27 เล่ม
- เขียนคำอธิบาย (Compose new study notes) สำหรับพระธรรมที่ยังไม่ได้ทำคำอธิบายจำนวน 19 เล่ม ได้แก่ หมวดประวัติศาสตร์ 11 เล่ม หมวดปัญญานิพนธ์ 3 เล่ม หมวดผู้เผยพระวจนะใหญ่ 5 เล่ม
ความคืบหน้าของโครงการ พระคริสตธรรมคัมภีร์ไทยฉบับศึกษา
- คาดว่าจะเสร็จภายในปี 2020 ดาเนียล
- คาดว่าจะเสร็จภายในปี 2021 อิสยาห์ โยชูวา ผู้วินิจฉัย นางรูธ
- คาดว่าจะเสร็จภายในปี 2022 1-2 ซามูเอล 1-2 พงศ์กษัตริย์ 1-2 พงศาวดาร
เหตุที่พระคัมภีร์ฉบับศึกษาจัดพิมพ์ช้า กว่าฉบับอื่นๆ สาเหตุที่คริสตชนต้องการพระคัมภีร์ฉบับศึกษาของสมาคมฯ อาจเป็นเพราะเชิงอรรถอธิบายนั้นแตกต่างจากฉบับอื่นๆ เพราะสมาคมฯ มิได้แปลมาจากฉบับศึกษาของภาษาใด แต่เขียนขึ้นโดยการศึกษาค้นคว้าของคนไทยและเพื่อคนไทย อีกทั้งผ่านการกลั่นกรองหลายชั้น และโดยเฉพาะจากที่ปรึกษาของสหสมาคมพระคริสตธรรม ดังนั้นคำอธิบายจึงตรงกับจุดที่คนไทยอ่านแล้วสงสัยใคร่รู้ เนื้อความก็กระชับรัดกุมและตรงประเด็น ทำให้ผู้ศึกษาได้เข้าใจเบื้องหลังประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และโลกทัศน์ของคนสมัยพระคัมภีร์ อีกทั้งให้คำแนะนำกว้างๆ เกี่ยวกับการนำพระคัมภีร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับชีวิตปัจจุบันอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คำอธิบายนั้นเป็นการจำกัดความคิดของผู้อ่านในการประยุกต์ใช้ในบริบทของเขาเอง คำอธิบายเชิงประยุกต์เป็นเพียงแนวทางกว้างๆ เท่านั้น
ดังนั้นการจัดทำพระคัมภีร์ฉบับศึกษาจึงใช้เวลานานกว่าฉบับอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ ใคร่จะให้ ท่านทราบว่า เราก็กำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้ฉบับศึกษาสำเร็จออกมา แต่ก็จำเป็นต้องให้ออกมาอย่างมีคุณภาพด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงขอให้ท่านมีส่วนสนับสนุนโครงการนี้โดยการถวายและการอธิษฐาน เพื่อจะมีอาสาสมัครมาช่วยอ่าน ช่วยเขียน ช่วยแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงคำอธิบายให้ดียิ่งขึ้น เมื่อท่านได้อ่านพระคัมภีร์ฉบับศึกษาแล้ว มีความคิดเห็นอย่างไร ขอความกรุณาแจ้งให้ทางฝ่ายแปลของสมาคมฯ ทราบด้วย เพื่อเราจะปรับแก้ไขเชิงอรรถอธิบายให้สอดคล้องกับความต้องการของท่านเท่าที่เป็นไปได้ ขอกราบขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนสมาคมฯ มาโดยตลอด ขอพระเจ้าอวยพรท่าน
- อาจารย์ปัญญา โชชัยชาญ
- ภาพ สมาคมพระคริสตธรรมไทย