พระคัมภีร์ทั้งเล่มอ่านจบในสามวัน 4/18

พระคัมภีร์ทั้งเล่มอ่านจบในสามวัน

เธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากรู้จักพระเยซูคริสต์เจ้า ว่าพระองค์คือผู้ใด และทำไมจึงเปลี่ยน แปลงชีวิตผู้คนได้ เธอก็เริ่มค้นหาความจริงนั้น โดยการอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ และเธอก็ทำให้ผู้คนต้องตลึง เพราะเธอสามารถอ่านพระคัมภีร์ประมาณ 1,700 หน้า จบภายใน 3 วัน เธอได้สะสมพระคำของพระเจ้าที่เป็นพระสัญญา และเรื่องราวต่างๆ ของพระองค์ไว้ในชีวิตเธอ จนวันหนึ่งเธอต้องเผชิญกับการทดลองความเชื่อ อย่างที่ใคร…ก็ยากที่จะก้าวผ่านความทุกข์นั้นไปได้ วันนั้นคือ..ลูกชายของเธอเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่นได้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อในปอดอย่างรุนแรงต้องเข้าห้อง ICU เพื่อรักษาทันที ซึ่งแพทย์ได้แจ้งเธอว่าไม่มียาตัวไหนที่จะรักษาลูกของเธอได้ ให้เธอทำใจไว้ เธอไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่..ไม่ พระเจ้าไม่ทำกับเธอเช่นนี้แน่นอน เธอจึงคุกเข่าก้มหน้าลงอธิษฐาน… อธิษฐาน… และพระเจ้าก็ทรงตอบ ให้อาการของลูกชายเธอค่อยๆ ดีขึ้น จากคนที่ต้องนอนอยู่ในห้อง ICU ถึง 3 เดือน มาพักฟื้นที่ห้องพักปกติ และก็กลับมาดำเนินชีวิตแบบคนปกติทั่วไป พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ และรักเธอมากจริงๆ ที่ให้ชีวิตลูกชายของเธออีกครั้งหนึ่ง

เชื่อพระเจ้า
เดิมดิฉันเป็นครอบครัวอิสลามและจะไม่ค่อยชอบคริสเตียน หลังจากแต่งงานก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ เมื่อก่อนลูกสาวเคยมาชวนให้เชื่อพระเจ้า ก็จะปฏิเสธและบอกว่าเป็นพุทธแหละดีแล้ว ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ดิฉันได้รู้จักพระเจ้าเพราะแม่ซึ่งทำงานอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ท่านได้เชื่อพระเจ้าที่นั่นเพราะท่านป่วยเป็นโรคความดันรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เพื่อนเลยชวนไปโบสถ์ ท่านจึงได้สัมผัสกับพระเจ้าและพระเจ้ารักษาท่านให้หายป่วยได้ ท่านจึงรู้สึกว่าพระเจ้าดีอยากให้ลูกๆ ได้เชื่อพระเจ้า พอท่านเดินทางกลับมาประเทศไทย ก็พาลูกๆ ไปโบสถ์ ดิฉันได้เห็นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของแม่ ซึ่งเมื่อก่อนท่านจะดุมาก และตีดิฉันบ่อยๆ แต่กลับมาครั้งนี้ท่านดูอารมณ์ดี และไม่ดุเลย ร้องเพลงพระเจ้า ทำให้ดิฉันรู้สึกแปลกใจมากที่แม่เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ และยังคิดอีกว่าหรือแม่เป็นบ้าไปแล้ว ดิฉันไปโบสถ์ตามที่แม่ร้องขอเพราะท่านอายุมากแล้วเลยอยากตามใจท่าน ที่โบสถ์เห็นเขาร้องเพลงพระเจ้าแล้วรู้สึกปวดหัวมาก แต่ก็ไปอีกเพราะอยากตามใจแม่ พอไปโบสถ์สัก 2-3 ครั้งเริ่มได้เห็นว่าคนที่โบสถ์ทำไมดีจังเลย ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายเราดีมาก ทำให้ดิฉันอยากรู้เรื่องราวของพระเจ้ามากขึ้น ดิฉันได้เอาพระคริสตธรรมคัมภีร์มานั่งอ่าน ภายใน 3 วัน ก็อ่านจนจบเล่ม หลังจากอ่านแล้วก็มีความรู้สึกว่าในพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าดุคนทำผิดอะไรนิดอะไรหน่อยก็ลงโทษ ในพระคัมภีร์ใหม่พระเยซูดีกว่าในพระคัมภีร์เดิม ถึงแม้แม่จะกลับไปประเทศสิงคโปร์แล้ว ดิฉันเองคุยกับสามีว่าลองไปโบสถ์กันอีกดีไหม ก็เลยชวนกันไปโบสถ์ คนที่โบสถ์ก็พอจำได้ว่าดิฉันเป็นลูกของแม่ก็ตามมาเยี่ยมถึงที่บ้าน ดิฉันเองก็ไม่ค่อยต้อนรับพวกเขาเท่าไหร่ จะคอยหลบพวกเขา เขาเข้ามาทางนี้ดิฉันก็จะเดินออกทางโน้นให้ลูกบอกว่าแม่ไม่ว่างนะ แต่ก็ยังไปโบสถ์อยู่ มีตอนที่อาจารย์บอกให้ออกไปรับเชื่อพระเจ้า ดิฉันก็ถามน้องสาวว่าคืออะไร น้องสาวก็อธิบายให้ฟัง จึงได้ออกไปรับเชื่อ ได้เรียนพระคัมภีร์ทำตาม พระเจ้าบอก ได้สัมผัสกับพระเจ้าโดยได้เห็นภาพพระเจ้าตอนอยู่คนเดียว ทำให้ดิฉันมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม

 

ครอบครัวมาเชื่อพระเจ้า
ด้วยเพราะครอบครัวเราไปโบสถ์ ลูกสองคนก็โตมากับโบสถ์ ทั้งน้องต้าและน้องเต่าจึงได้เชื่อในพระเจ้า ส่วนสามีกว่าจะมาเชื่อพระเจ้านั้นยากมาก เขาทำงานวันอาทิตย์ทำให้ไปโบสถ์ได้ยาก ปกติสามีเป็นคนดีดูแลรับผิดชอบครอบครัวดีแต่สามีกินเหล้าเก่งมาก เวลาเมาก็จะนิสัยไม่ดี เคยคิดอยากจะเอายาเบื่อให้เขากินเพื่อตายไปเลย เพราะโกรธเขามากเวลากลับจากที่ทำงานแล้วกินเหล้าเมาจะนั่งแท๊กซี่มีเงินเท่าไหร่เขาจะเอาเงินให้แท๊กซี่หมดและข้างบ้านมีแอ่งน้ำ พอลงจากแท๊กซี่เขาก็กระโดดลงแอ่งน้ำ เราก็ต้องไปลากเขาขึ้นมา สร้างความรำคาญให้มากเลย เวลาดิฉันนั่งอธิษฐานบนเตียงในห้องนอน เขาผลักดิฉันตกเตียงเลย ดิฉันเลยต้องไปนั่งอธิษฐานในห้องน้ำแล้วเค้าชอบล้อเลียนพระเจ้า รู้สึกทุกข์ใจมากก็จะร้องไห้ตลอด ดิฉันเลยไปขอให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานเผื่อให้สามีเชื่อพระเจ้า พอหลังเลิกนมัสการก็จะไปให้อาจารย์อธิษฐานเผื่อทุกอาทิตย์ หกเดือนเต็มที่อธิษฐานให้เขาเลิกเหล้า และให้เชื่อพระเจ้า จนวันหนึ่งพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของดิฉัน เขามาพูดขอโทษดิฉัน ขอโทษพระเจ้า ดิฉันเลยบอกเขาว่าให้ไปขอโทษพระเจ้าเองให้ไปที่โบสถ์เลย เขาก็ไป พอตอนเลิกนมัสการเขาก็ร้องไห้ ร้องๆๆๆ ร้องไม่เลิก เขาเป็นอยู่อย่างนี้เป็นเดือนเลย เขาได้ออกไปรับเชื่อ ชีวิตเขาเปลี่ยนไป ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เลิกได้เลย เค้าก็ได้รับใช้เป็นผู้นำนมัสการที่คริสตจักร ถึงตอนนี้ก็ 30 กว่าปีแล้ว สามีจะเชื่อพระเจ้ามานานแล้วก็ยังร้องไห้บนเวทีเวลานำนมัสการ ไปโบสถ์นมัสการพระเจ้าก็ร้องไห้ตลอด เคยถามว่าทำไมถึงร้องไห้ เขาบอกว่าพระเจ้ามาสัมผัสในจิตใจแล้วรู้สึกว่าพระองค์รักเราแม้เราไม่ดี มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่สาวเขากลับจากฮ่องกงซื้อเหล้ามาฝาก เขาจะบอกว่า “ไม่กินเหล้าแล้ว เพราะเกรงใจพระเจ้า” เขาเลิกเหล้าได้จริงๆ ขอบคุณพระเจ้า

ลูกชายป่วยหนัก
ลูกชายชื่อประวิทย์ หรือเต่า ได้มีครอบครัวและย้ายไปอยู่บ้านของภรรยา เต่าทำงานบริษัทของครอบครัวภรรยา เต่าเป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืดตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ในต้นปี 2018 เต่าไปเที่ยวกับลูกๆ ที่ญี่ปุ่นและอากาศหนาวมาก เต่ามีอาการไอมากเพราะเป็นไข้หวัดอยู่แล้ว ห้องพักที่โรงแรมที่ญี่ปุ่นมีปัญหาแอร์เสียและอาจไม่สะอาด ทำให้อาการไอหนักขึ้น หอบและหน้าเขียวมาก กลับมาเมืองไทยหลังลงเครื่องบินเต่าต้องตรงไป โรงพยาบาลและเข้าห้อง ICU ทันที ในตอนนั้นเต่าปอดอักเสบเชื้อโรคทำลายปอดเกือบหมด มีน้ำท่วมปอดและตับไตก็เริ่มจะวาย หายใจเองไม่ได้ต้องสอดท่อใส่เครื่องช่วยหายใจ หมอบอกว่าสาเหตุมาจากปอดติดเชื้อ เชื้อโรคที่เต่าติดมาในไทยมียา 20 ตัวแต่ไม่มียาตัวไหนฆ่าเชื้อตัวนี้โดยตรงได้ หมอให้ครอบครัวทำใจไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะรักษาเต่าให้หายได้ไหม ดิฉันตอบคุณหมอไปว่า “ไม่ ไม่ ไม่น่ะ.. ไม่ทำใจหรอก เราเป็นคริสเตียนพระเจ้าต้องรักษาหาย” ดิฉันไม่เชื่อหมอ หมอพูดอะไรก็ช่าง ฉันเชื่อพระเจ้าอย่างเดียว ดิฉันบอกกับพระเจ้าว่าเราต้องคุยกัน ดิฉันบอกกับพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้าจะเอายังไงกันดี ขอชีวิตเต่าคืนได้ไหม จะทำอะไรกับฉันทำไปเลย แต่อย่าทำกับลูกชาย ขอให้เต่ามีชีวิตต่อไป” ดิฉันไปหาลูกทุกวันเพื่อไปอธิษฐานเผื่อลูก ขอเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวว่าพระองค์จะทรงรักษาเต่าให้หายได้ ดิฉันจะไม่อยากได้ยินเสียงโทรศัพท์จากโรงพยาบาลเลย (เพราะกลัวว่าจะแจ้งข่าวร้าย) เพราะหมอจะแจ้งการรักษาให้ดิฉันทราบทุกวันและจะบอกตลอดเวลาว่ารับปากไม่ได้ ให้ดูวันต่อวัน ต้องทำใจไว้บ้างนะคุณแม่ จนดิฉันไม่อยากจะเจอหมอ ได้แต่เฝ้าอธิษฐานเผื่อ ตอนหลังหมอได้มา บอกอีกว่ามีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดแล้ว อาการเต่ายิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็อธิษฐานต่อ “…ขอเต่ากลับคืนได้ไหม ขอให้เต่ามีชีวิตอยู่ต่อไป…” แล้วดิฉันก็ได้ยินเสียงของพระเจ้า พระองค์ตอบดิฉันว่า “จะโวยวายทำไม ในเมื่ออธิษฐานกับเราแล้ว อธิษฐานแล้วก็ต้องเชื่อสิ” ตลอดเวลาที่เต่าป่วย เต่าจะมีอาการทรงๆทรุดๆและภาพที่เห็นตรงหน้ามันก็ยากที่จะเชื่อ จนบางทีลูกสาวคือน้องต้ามาบอกว่าให้แม่มาจับตัวเต่าอยากจับตรงไหนให้จับเลยนะจับให้เยอะๆ เลย มีความหมายว่าจะไม่ได้จับอีกหรือเปล่า? และมีอยู่วันหนึ่งไปเยี่ยมเต่าแล้วกำลังจะกลับบ้าน ทางโรงพยาบาล โทรมาว่าให้รีบกลับขึ้นไป เต่าดูท่าทางไม่ไหวแล้วพอไปถึงเต่าตาเหลือกไปมา ไม่รู้เรื่องและก็ไม่หายใจแล้ว พอดีคุณหมอที่รักษาเต่าขึ้นมาพอดี หมอถอดสายออกซิเจนออก แล้วรีบปั้มหัวใจ และหมอก็ค่อยใส่สายต่างๆ เข้าไปใหม่ เต่าก็รอดมาได้อีก มีอยู่วันหนึ่งภรรยาของเต่าบอกให้ทุกคนไปที่โรงพยาบาลพอไปถึง ภรรยาเต่าแจ้งทุกคนว่าหมอบอกให้ทำใจ ขอให้ทุกคนคุยและให้กำลังใจเต่ามากๆ เพราะเต่าจะจากไปได้ทุกเมื่อ ทางภรรยาเต่าก็กำลังคิดว่าจะยกร่างกายเต่าให้เป็นอาจารย์ใหญ่(ของนักศึกษาแพทย์) และได้ยินว่ามีการจองสุสานพอดิฉันฟังแล้วก็ไม่ยอมรับกับสิ่งที่ได้ยิน ดิฉันจะอธิษฐานอย่างเดียว หลังจากวันนั้นลูกสาวบอกดิฉันให้นำเต่าอธิษฐานสารภาพบาปกลับใจใหม่ให้พระเจ้ายกโทษให้เพราะพระเจ้าต้องการใจของเต่า เต่าก็ทำตามที่แม่บอกโดยอธิษฐานในใจ ส่วนดิฉันอธิษฐานว่า “ขอพระเจ้ารักษาเต่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐพระองค์จะรักษาอย่างไรก็แล้วแต่พระองค์ ขอประทานสติปัญญาให้กับหมอที่รักษาด้วย” วันรุ่งขึ้นเราไปเยี่ยมเต่า เต่าพยายามบอกดิฉันด้วยเสียงแผ่วเบาและหอบว่า “แม่เต่ากับพระเจ้าเราได้เจอกันแล้ว” ทำให้ดิฉันรู้ว่าพระเจ้าจะรักษาเต่าแน่นอน จนวันหนึ่งอยู่ๆ หมอก็มาคุยกับดิฉันว่ามียาตัวหนึ่งที่จะพอรักษาเชื้อโรคที่เต่าเป็นอยู่ได้ เป็นยาฆ่าเชื้อแต่อาจฆ่าได้แค่เฉียดๆแต่ไม่สามารถฆ่าได้โดยตรง ต้องลองดู ที่อีกโรงพยาบาลหนึ่งมียาตัวนี้ แต่ราคาแพง ต้องทำเรื่องขอไป พวกเราตกลง เขาก็เลยเอายามารักษาได้ อาการของเต่าเริ่มค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ จนออกจากห้อง ICU มาอยู่ห้องพักปกติอีก 1 เดือน ตอนนั้นเต่าเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นและทำกายภาพบำบัดเพราะนอนติดเตียงมานาน แต่ในที่สุดเต่าก็ได้กลับมาบ้าน เดินเองได้ ขับรถได้ มีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง อัศจรรย์ พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ

พระเจ้าทรงนำในทุกเรื่องราว
ครอบครัวเราเองบางทีก็เร่งพระเจ้าเกินไป ชอบต่อว่าพระเจ้าว่าชักช้า และเราก็เร่งๆๆๆ จนทำอะไรผิดบ้าง ถูกบ้าง ทำอะไรเยอะแยะไปหมด บางทีก็ตัดสินใจผิดพลาดไปบ้าง ไม่รอพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ทรงรักเราทรงช่วยเราเสมอ ดิฉันเกิดปัญหาธุรกิจในครอบครัว คือดิฉันทำโรงงานทำกระเป๋าส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น ทำมาหลายปีแล้ว มีอยู่ปีหนึ่งที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหว ลูกค้าที่สั่งกระเป๋าเสียชีวิตทั้งบริษัท ของที่สั่งไว้เต็มไปหมดขายไม่ได้ ขาดทุน เป็นหนี้เยอะแยะ ทั้งบ้านและรถยนต์ที่กำลังผ่อนอยู่ พอการค้าขาดทุนเป็นหนี้ ก็โดนฟ้องล้มละลาย ก็เกิดปัญหากับ 2 สิ่งนี้ บ้านที่อยู่ก็โดนธนาคารมายึดเพื่อขายทอดตลาด แต่พอธนาคารพยายามขายทอดตลาดอย่างไรก็ขายไม่ได้ ธนาคารก็เลยให้เราอยู่ไปก่อน และบอกให้เราดูแลบ้านให้ด้วย เราเลยอยู่มาเรื่อยๆ จนถึง 10 ปี เรื่องรถยนต์พอขาดส่งรถก็จะถูกยึดอีก วันหนึ่งเรากำลังจะออกไปนมัสการพระเจ้า มีคน 2 คนมาหน้าบ้านเรา เขาบอกว่าจะมายึดรถเรา ฉันก็เลยให้เขาเข้ามาคุยในบ้าน เราบอกกับสองคนนั้นว่ากำลังจะไปโบสถ์ ขอไปโบสถ์ก่อนได้ไหมกลับมาค่อยมาเอารถไป เขาตกลงก็เลยนัดกันที่ห้างอิมพีเรียลเพื่อรับรถ ตอนนั้นมีเงินในกระเป๋าอยู่ 10 บาทเพื่อเติมน้ำมันรถ พอไปเติมน้ำมันเด็กปั้มทักว่ารถสวยนะครับ แต่ทำไมเติมน้ำมันน้อยจัง แล้วเราก็ไปโบสถ์เมื่อนมัสการเสร็จแล้วก็คิดว่าต้องเอารถไปให้เขาตามที่นัดไว้ แล้วฉันก็คิดขึ้นมาได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งที่เคยมาซื้อรถกระบะเราไป และเขาก็เคยชมว่ารถคันนี้ของเราสวย เขาบอกชอบรถเรา ฉันก็เลยโทรไปหาเพื่อนคนนั้นบอกขายรถคันนี้ให้เขา เขาบอกว่าให้เอารถมาเลยเดี๋ยวเจอกันที่บ้าน ฉันเลยบอกกับไฟแนนท์ให้ไปเจอกันที่บ้านเพื่อนเลย ในใจคิดว่าไม่ให้เขายึดรถแล้ว แต่จะขายรถคันนี้แทน สรุปเพื่อนก็ซื้อรถไป และเรายังมีเงินเหลืออยู่จากการขายรถเป็นเงินแสนบาท ถ้ารถถูกยึดเราจะไม่ได้เงินส่วนนี้เลย คนที่มายึดรถบอกเราว่า ปกติแล้วคนที่ไปยึดรถเมื่อเจอรถจะต้องยึดเลยไม่ใช่ให้ไปทำธุระก่อน แต่เขาบอกเราว่าเขารู้สึกสงสารพวกเราจับใจ ทำไมเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันเลยให้เราไปโบสถ์ก่อน และอัศจรรย์มากที่โทรไปหาเพื่อนเขาก็ซื้อรถเราทันทีเลย ดิฉัน รู้ว่าพระเจ้าทรงทำการอัศจรรย์และช่วยเหลือครอบครัวเรา ขอบคุณพระเจ้ามากๆ

บ้านหลังใหม่
สามีได้ไปทำงานที่ร้านขายเครื่องหนังแห่งหนึ่ง เถ้าแก่เก่าคนนี้เห็นว่าครอบครัวเราล้มละลายไม่มีงานทำ เขาเลยให้สามีไปช่วยดูแลร้านให้ พอทำงานได้สัก 6 เดือนก็คิดจะซื้อบ้านเพราะบ้านที่ธนาคารให้อยู่ขายทอดตลาดได้แล้ว เคยคิดที่จะซื้อบ้านเก่ากลับคืนมา แต่บ้านถูกขายได้แล้วและให้เราย้ายออกภายใน 1 เดือน ก็เลยต้องซื้อบ้านใหม่แบบกระทันหัน บ้านที่จะซื้อเป็นทาวเฮ้าส์มีที่ดินข้างๆ ราคาแพงกว่าหลังอื่น พอจะไปจอง บ้านก็ถูกจองไปแล้ว แต่แล้วคนจองก็กู้ธนาคารไม่ผ่าน เราก็เลยได้จองบ้านหลังนี้ต่อ พอจองเสร็จก็ต้องวางเงินดาวน์อีกสองแสน แต่เรามีเงินแค่แสนเดียว ขณะที่ดูบ้านอยู่เถ้าแก่โทรมาถามว่าอยู่ไหน ก็บอกเขาว่ามาซื้อบ้าน เถ้าแก่ถามว่าแล้วมีเงินแล้วหรอ สามีตอบไปว่ามีแค่แสนเดียว แต่ต้องใช้สองแสน เถ้าแก่บอกว่างั้นให้เข้ามาเลยจะทำเช็คให้ การจองก็เลยสำเร็จโดยพระคุณพระเจ้าจริงๆ ทำให้ได้บ้านหลังที่อยู่ในปัจจุบันนี้ ตอนแรกก็รู้สึกไม่ชอบบ้านหลังนี้เท่าไหร่นัก ต่อว่าพระเจ้าว่าเหมือนมัดมือชกเลย ร้องไห้โวยวายกับพระเจ้าอีก แต่พอได้อยู่แล้ว ได้ปลูกต้นไม้ อยู่สบาย ก็รู้สึกชอบและขอบคุณพระเจ้าที่ให้บ้านหลังนี้มา

ข้อพระธรรมประจำใจ
ลูกา 18:27 “แต่พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงทำได้” เรื่องที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำได้ คือให้เราเชื่อพระเจ้าให้จริง รู้จักให้จริง แล้วก็ต้องเชื่อไว้วางใจพระองค์ให้จริงๆ ด้วย

มาระโก 11:23 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครสั่งภูเขานี้ว่า จงลอยลงทะเลไป และใจไม่สงสัย แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นตามนั้นจริงๆ” เวลาที่ฉุกเฉินแล้ว ข้อพระธรรมข้อนี้จะขึ้นมาในหัวเลย สั่งภูเขาจงลอยลงทะเลไป แล้วสั่งในพระนามพระเยซูคริสต์โดยความเชื่อที่เรามีทุกอย่างจะสำเร็จโดยพระองค์

ท้ายที่สุด
ปัจจุบันครอบครัวเรารับใช้พระเจ้าอยู่กับทีมนมัสการที่คริสตจักรใจสมาน 68 ดิฉันและน้องต้าเป็นต้นเสียงร้องเพลงในช่วงนมัสการให้กับคริสต-จักร สามีจะรับใช้เป็นคนนำนมัสการ ดิฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า อยากจะบอกกับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้าว่า ชีวิตที่มีพระเจ้าคือชีวิตที่ดีที่สุด พระองค์เป็นพระเจ้าที่แท้จริง เป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ มีอะไรก็พูดกับพระองค์ได้ สำหรับคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว อยากบอกว่าพระเจ้าช่วยเราได้ในทุกเรื่องราว ให้รู้จักกับพระองค์ให้ลึกๆ โดยการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ ชีวิตของคุณจะอยู่ในการทรงนำของพระองค์ตลอดไป

  • คุณดารินทร์ พรไรวินท์ อายุ 64 ปี เป็น สมาชิกคริสตจักรใจสมาน 68 สมรสกับ คุณประดิษฐ์ พรไรวินท์ มีบุตรสาวชื่อ นางสาวนวินดา (ต้า) บุตรชายชื่อ นายประวิทย์ (เต่า)