พระคัมภีร์เล่มแรกของวิจิตรา
ดิฉันชื่อวิจิตรา โรจนศิริ อายุ 42 ปี ปัจจุบันเป็นครูสอนคริสตศาสนาอยู่ที่สถานประกาศข่าวประเสริฐคริสเตียนสัมพันธ์ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ดิฉันเกิดที่จังหวัดนครสวรรค์
มีชีวิตในวัยเด็กคล้ายกับเด็กจำนวนมากในสังคมปัจจุบันคือครอบครัวแตกแยก พ่อแม่อยู่กันคนละทาง ต้องอาศัยอยู่กับญาติผู้ใหญ่คือคุณปู่คุณย่าร่วมกับบรรดาหลานๆ ของท่านอีกหลายคน เนื่องจากคุณปู่เป็นครูและดิฉันเป็นหลานคนโต ดิฉันจึงถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษเพื่อให้เป็นคนดี มีมารยาท รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี รู้จักดูแลน้องๆ และรู้จักการให้ ดังนั้น หากน้องๆ ต้องการสิ่งใดที่ดิฉันมี ดิฉันก็ต้องยอมให้ ซึ่งความคาดหวังเช่นนี้ทำให้ดิฉันเกิดความเครียดและไม่ชอบหน้าพวกเขา ดิฉันกลายเป็นคนมีทิฐิและมีอคติต่อความคิดของผู้ใหญ่ในบางเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของความไม่เป็นธรรม
คุณพ่อของดิฉันเป็นนายช่าง มีเพื่อนฝูงมากและเป็นคนเจ้าชู้ มีรถยนต์ขับหลายคัน จึงเป็นที่ต้องใจของผู้หญิงมากมาย ท่านจึงมีภรรยาหลายคน ดิฉันเองเห็นภาพของคุณพ่อเป็นเรื่องปรกติของผู้ชาย ท่านจะมีภรรยาสักกี่คนก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ดิฉันก็ยังมีใจรักผูกพันกับท่านมากและใฝ่ฝันที่จะได้ไปอยู่กับท่าน เมื่อดิฉันอายุ 12 ปี กำลังจะขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก็ได้ไปอยู่กับคุณพ่อตามที่ต้องการ แต่แล้วก็พบว่าแม่เลี้ยงเป็นคนใจร้าย ทั้งดุด่าและใช้งานดิฉันสารพัด ช่วงเวลาประมาณ 2 ปีที่อยู่กับคุณพ่อเป็นช่วงชีวิตที่เจอแต่เรื่องร้าย ๆ เกิดจากแม่เลี้ยงและญาติ ๆ ของเธอที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน ทำให้ดิฉันเจ็บป่วย เมื่อคุณพ่อเห็นท่าไม่ค่อยดีนักจึงพาดิฉันไปฝากไว้กับคุณอาและอยู่ใกล้กับคุณป้าอีกคนหนึ่งด้วย ในตอนนี้เองที่ดิฉันก้าวสู่วัยรุ่น ครอบครัวทางฝ่ายคุณพ่อเป็นครอบครัวใหญ่และมีวัฒนธรรมผสมระหว่างไทยกับจีน ดิฉันจึงคุ้นเคยกับประเพณีของทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดีตั้งแต่งานบวชจนถึงการไหว้เจ้า
เมื่อดิฉันอายุ 15 ปี ได้ย้ายมาเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนครสวรรค์และมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นคาทอลิก เธอได้เล่าให้ดิฉันฟังเรื่องไปโบสถ์ เธอพูดกับดิฉันว่า “เธอรู้ไหมว่าโลกนี้มีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่” ตอนนั้นดิฉันสะดุดใจกับคำว่า “พระเจ้า” เพราะเมื่อตอนเป็นเด็กเคยได้ยินคำนี้จากทีวีเมื่อมีคนอุทานว่า “โอ! พระเจ้า” นับจากนั้นประมาณ 1 เดือน ดิฉันเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงานของคุณอา ดิฉันจึงหยิบขึ้นมาเปิดอ่านและนำไปเก็บไว้เพื่ออ่านต่อโดยไม่ได้ถามใครว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของใคร มาจากไหน ใครเป็นคนส่งมา และก็ดูเหมือนว่าไม่มีใครในบ้านสนใจด้วยซ้ำว่าดิฉันกำลังทำอะไรอยู่ ไม่มีใครคาดคิดว่าหนังสือเล่มนี้จะมีผลต่อชีวิตของดิฉันในเวลาต่อมา แล้วดิฉันก็ได้พบว่าแท้จริงแล้วหนังสือเล่มนี้ก็คือพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ ซึ่งน่าแปลกที่เมื่อได้อ่านแล้วดิฉันรู้สึกมีเพื่อน มีคำปรึกษา และให้คำสอนในชีวิตส่วนตัวพิเศษไปอีกแบบ ดิฉันจึงจดบันทึกถ้อยคำต่างๆ จากพระคัมภีร์เล่มนั้นไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตนเอง และใช้สำหรับเขียนเตือนใจให้กับเพื่อนๆ เสมอ โดยถ้อยคำแรกที่ถูกจดไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวของดิฉันมาจากพระธรรมมัทธิวบทที่ 5 ข้อ 14 – 16 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์”
ในเวลานั้นดิฉันเป็นคนเก็บตัวเงียบเพราะคุณอาไม่ยอมให้ดิฉันออกไปไหน ไม่ให้ไปเที่ยว ไม่ให้ไปดูหนัง ดิฉันจะตื่นตี 5 ทุกวัน ทำงานบ้านก่อนไปโรงเรียนและกลับตรงเวลาเสมอ การอ่านพระคัมภีร์ทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกที่ดี มีพลังที่จะต่อสู้กับชีวิต มีเพื่อนและ มีคำปรึกษา ถ้อยคำต่างๆ ในพระคัมภีร์มีความหมายสำหรับชีวิตของดิฉันมาก และดิฉันยังใช้ถ้อยคำในพระคัมภีร์เขียนในสมุดเฟรนด์ชิพของเพื่อนๆ เมื่อจบการศึกษาจากชั้นมัธยมปลายด้วย หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ดิฉันก็ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า หนังสือพระคัมภีร์ที่เคยอ่านไม่รู้หายไปไหนและดิฉันก็ลืมๆ มันไป จากความเป็นเด็กเก็บตัวไม่เคยมีโอกาสไปไหน ตอนนั้นดิฉันอายุ 20 ปีแล้ว พอจะมีอิสระที่จะไปไหนมาไหนได้แล้ว ดิฉันได้ใช้ชีวิตเที่ยวเตร่เฮฮาอยู่ประมาณ 14 ปี ในช่วงเวลานั้น มีหลายสิ่งได้เกิดขึ้นกับชีวิต เหตุการณ์หนึ่งที่มีผลอย่างมากคือ วันหนึ่งดิฉันได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนชาย เมื่อคุณป้าทราบเรื่องเข้าก็กลัวว่าดิฉันจะได้รับความเสียหายจึงจับดิฉันแต่งงานกับเพื่อนชายคนนั้น และดิฉันก็ได้รับความเสียหายจริงๆ ชีวิตคู่ของดิฉันล้มเหลวภายในเวลาเพียง 3 ปี ตอนนั้นดิฉันอายุแค่ 23 ปี ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเป็นคนใจร้อน ขาดความเข้าใจและขาดคำแนะนำเรื่องการครองเรือน ดิฉันโทษไปถึงคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่ให้ความสนใจ ชีวิตครอบครัวจึงล้มลงในเวลาอันสั้น ในเวลานั้น ดิฉันเริ่มอยากอ่านพระคัมภีร์อีก ดิฉันถามญาติๆ ผู้ใหญ่ว่ามีใครเห็นหนังสือพระคัมภีร์ของดิฉันบ้าง แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครรู้และไม่มีใครสนใจ ดิฉันเบื่อหน่ายกับการเที่ยว ไม่อยากออกจากบ้าน รู้สึกว่าทุกอย่างที่ตนเองได้ทำลงไปเป็นสิ่งไร้สาระ เที่ยวไปไกลแค่ไหนในที่สุดก็จบ ไปดูหนังเดี๋ยวเรื่องก็จบ ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะมีจุดจบในเวลาอันสั้นทั้งนั้น ดิฉันจึงไม่อยากพบใคร ไม่อยากมีเพื่อนฝูงอีกต่อไป และได้ไปดูดวง โชคชะตาราศี สะเดาะเคราะห์ให้ตัวเอง รวมถึงเปลี่ยนจากชื่อเดิม “สุพัตรา” เป็น “วิจิตรา” ซึ่งดิฉันเลือกเองจากหนังสือ ในวันที่ดิฉันเปลี่ยนชื่อ ดิฉันได้เห็นป้ายบอกทางของคริสตจักรแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ดิฉันเริ่มคิดถึงพระเจ้าและพระคัมภีร์ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก
ปรากฏว่าวันหนึ่ง มีคนนำใบปลิวมาทิ้งไว้ในตู้จดหมายหน้าบ้าน ใบปลิวนั้นเขียนว่า “คุณรู้ไหม ทำอย่างไรจึงจะมีความสุขแท้ตลอดกาล” ดิฉันอ่านข้อความในใบปลิวนั้นซึ่งจับใจความได้ว่า มนุษย์เราพยายามหาทางกลับไปพบพระเจ้าด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่พระเจ้าบอกว่ามนุษย์จะต้องรับรู้วิธีการของพระองค์ มนุษย์เรามีบาป บาปก็คือการที่เราผิดไปจากทางของพระเจ้าและเราเองไม่สามารถจะค้นหาวิธีที่จะพ้นจากความบาปหรือไปหาพระเจ้าด้วยตัวเองได้ มีทางเดียวและมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ได้ ผู้นั้นคือพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นเหมือนสะพานที่จะพาเราไปยังแผ่นดินของพระเจ้าได้ ข้อความในใบปลิวนั้นได้จุดประกายให้ดิฉันมีความหวังในชีวิตขึ้นมาใหม่ ดิฉันรับรู้ว่าพระเยซูคือผู้ที่จะช่วยเราได้ ดิฉันจึงทำตามคำแนะนำบนใบปลิวนั้นคือคุกเข่าลงและอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าด้วยตนเองอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นดิฉันส่งชื่อและที่อยู่ของตนเองไปที่คริสตจักรที่มีชื่อปรากฏอยู่บนใบปลิวนั้น เพื่อให้เขามาเยี่ยมที่บ้าน แล้ววันหนึ่งก็มีมิชชันนารีท่านหนึ่งไปหาดิฉันที่ทำงาน และนำหนังสือเรื่อง “พระเจ้ากับทฤษฎีวิวัฒนาการ” ไปให้ ดิฉันไม่ได้สนใจอ่านเท่าไรนักแต่คิดอยากจะไปคริสตจักร และวันอาทิตย์วันหนึ่งก็ตัดสินใจลองไปคริสตจักรวิถีสวรรค์ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ดิฉันได้ร่วมประชุมนมัสการพระเจ้ากับคนอื่นๆ และได้ต้อนรับพระเยซูต่อหน้าผู้คนที่นั่น หลังจากที่ดิฉันตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว
วันหนึ่งในระหว่างการประชุมนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร ดิฉันมองไปที่ด้านหลังของเวทีในห้องประชุมนมัสการซึ่งมีภาพของพระเยซูคริสต์ถูกตรึงอยู่บนกางเขน ดิฉันถามตนเองว่าทำไมพระเยซูต้องยอมตายอย่างทุกข์ทรมานเพื่อรับความบาปผิดแทนมนุษย์ ในนาทีนั้น พระคุณของพระเจ้าสัมผัสใจของดิฉันทำให้ดิฉันร้องไห้อย่างหยุดไม่ได้ ครูสอนศาสนาคนหนึ่งในคริสตจักรจึงเข้ามาพูดกับดิฉันว่า “พระเจ้ารักคุณนะ พระเจ้าจะดูแลคุณ ฉันจะอธิษฐานเผื่อคุณ” แล้วครูคนนี้ก็ให้ข้อพระคัมภีร์กับดิฉันข้อหนึ่งอยู่ในพระธรรมฟีลิปปีบทที่ 4 ข้อ 6 ที่บอกว่า “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลยแต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ”
ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันเริ่มไปคริสตจักรทุกวันอาทิตย์และรู้สึกผูกพันกับคริสตจักร ปรารถนาจะมีส่วนรับใช้งานในคริสตจักรอย่างเต็มที่ เพราะตอนนั้นชีวิตมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ดิฉันจึงได้ทุ่มเทตนเองและเวลาในการช่วยงานทุกอย่างตั้งแต่ขัดห้องน้ำ กวาดถูพื้น แม้แต่สอนชั้นเรียนรวีวารศึกษาเด็ก และต่อมาศิษยาภิบาล (ผู้นำคริสตจักร) ได้เริ่มให้มีส่วนในการนำนมัสการในเช้าวันอาทิตย์ ความผูกพันกับคริสตจักรทำให้ดิฉันตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ พี่ชายซึ่งเป็นลูกชายคนโตของคุณป้าถามว่าดิฉันทำอย่างนั้นเพราะอะไร ดิฉันตอบว่า “ชีวิตของเราอาจจะมีสิ่งที่ดีมากมายแต่เมื่อเราพบกับสิ่งที่ดีที่สุด เราควรจะเลือกอะไร ? และวันนี้ฉันได้เลือกแล้ว” ดิฉันเล่าเรื่องพระเยซูให้ทุกคนฟังและเชิญชวนให้เขามาเชื่อพระองค์ หลายๆ คนในครอบครัวบอกว่าดิฉันเปลี่ยนไปมาก บางคนก็บอกว่าดิฉันกำลังเพี้ยนไป แต่เขาก็มีความเห็นว่าดิฉันโตแล้ว เพราะตั้งแต่ล้มเหลวเรื่องชีวิตคู่ ดิฉันตั้งใจว่าจะไม่พึ่งพาใครในสิ่งที่ล้มลง แต่จะเดินด้วยตนเองเพื่อจะไม่เป็นภาระให้กับญาติคนใดแม้แต่พ่อแม่ ดิฉันได้เข้าพิธีประกาศตนเป็นคริสเตียนอย่างเป็นทางการ (พิธีบัพติศมา) ในปี 1992 ซึ่งเป็นปีแรกที่เข้ามาเชื่อพระเจ้า ก่อนหน้านั้น ดิฉันได้ซื้อพระคัมภีร์เล่มใหม่เพื่อจะอ่านและศึกษาด้วยตนเอง ครั้งนี้รู้สึกว่าการอ่านพระคัมภีร์เป็นเหมือนกับการได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าอย่างครบถ้วน
ดิฉันใช้คำสอนในพระคัมภีร์เป็นบรรทัดฐานในการเรียนรู้และพัฒนาชีวิต และได้ค้นพบคุณค่าของพระคัมภีร์หลายประการ พระคัมภีร์มีข้อมูลที่น่าแปลกใจและเต็มไปด้วยความจริงที่เกิดขึ้นแล้วหลายอย่าง ซึ่งในปัจจุบันทั้งนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ต่างก็พยายามศึกษาค้นคว้าข้อมูลและหาที่มาที่ไปของความจริงเหล่านั้น การศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความเชื่อช่วยให้ดิฉันมีความมั่นใจในพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ดิฉันสนใจศึกษาเรื่องของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ที่รู้สึกทึ่งและแปลกใจเพราะพระคัมภีร์ให้แนวทางการดำเนินชีวิตในทางที่ดี ด้วยความตั้งใจที่จะรับใช้พระเจ้าอย่างจริงจัง ในปี 1999 ดิฉันได้เข้าศึกษาพระคัมภีร์หลักสูตร 4 ปีที่สถาบันพระคริสตธรรมคริสเตียนสัมพันธ์ (สพค) เขตคลองกุ่ม กรุงเทพฯ ระหว่างเรียนก็ยังต้องกลับนครสวรรค์ในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อทำงานคริสตจักรด้วย เมื่อตัดสินใจติดตามพระเจ้าแล้ว ดิฉันสัมผัสถึงพระเมตตาของพระองค์อย่างมากมาย คำถามของดิฉันต่อพระเจ้ามีคำตอบเสมอ และพระเจ้ามีวิธีที่จะเตือนดิฉันให้ดำเนินชีวิตให้สมกับเป็นคริสเตียนที่ดี เช่น เมื่อตอนเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ดิฉันก็ยังคงเที่ยวเตร่กลางคืนและชอบเต้นดิสโก้ในเทค ครั้งหนึ่ง ขณะเต้นดิสโก้ในงานวันเกิด ดิฉันเกิดอาการเจ็บที่เอวจนหายใจไม่ได้ เมื่อไปโรงพยาบาลในคืนนั้น ดิฉันปวดมากจนต้องนั่งรถเข็น เมื่อคุณหมอตรวจแล้วก็ปรากฏว่าไม่เป็นอะไร แต่มีเสียงแว่วในใจของดิฉันขึ้นมาว่า “เจ้าจะเอาร่างกายของเจ้ามาทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะร่างกายนี้เป็นวิหารของพระเจ้าและควรใช้เพื่อการนมัสการพระองค์” ดิฉันเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจและลดการเที่ยวกลางคืนลง พระพรจากพระเจ้าอีกด้านหนึ่งแม้ดิฉันจะเป็นคริสเตียนใหม่และยังอ่านพระคัมภีร์ไม่ครบถ้วน คือให้ดิฉันมีนิมิตในหลายๆ เหตุการณ์ (การเห็นภาพและรู้ความหมายของภาพที่เห็นโดยการดลใจของพระเจ้า) นิมิตแรกที่ดิฉันได้รับคือวันหนึ่งขณะที่อธิษฐานร่วมกับครอบครัวของมิชชันนารี ดิฉันเห็นภาพของพระเยซูและพระองค์ตรัสว่า “จงเข้ามาใกล้เรา” ดิฉันเห็นตนเองเป็นเหมือนเด็กหญิงเล็กๆ ใส่กระโปรงสีขาว เดินเข้าไปหาพระเยซูและพระองค์ทรงนำมงกุฎไม้มาประดับบนศีรษะของดิฉันและทรงอุ้มชูดิฉันขึ้น ดิฉันเชื่อว่านั่นคือนิมิตที่เรียกให้ดิฉันเป็นผู้รับใช้พระเจ้าในเวลาต่อมา
อีกครั้งหนึ่งในงาน “ฤทธิ์เดช” ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นดินแดง ซึ่งมีคนมาร่วมประชุมมากมายและบนเวทีมีวงดนตรีขนาดใหญ่ ดิฉันมีนิมิตเห็นพระเยซูกับอีก 2 คนซึ่งดิฉันไม่ทราบว่าเป็นใครอยู่บนเวที และในท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น มีเสียงพูดกับดิฉันในใจคือ “เราปรารถนาผู้ที่นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” ส่วนภายในคริสตจักร ดิฉันมีนิมิตเรื่องการมีปัญหาบางอย่างก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นจริง นิมิตนั้นทำให้ดิฉันมีคำพูดหนุนใจคนอื่นๆ ว่าเราทุกคนจะต้องช่วยผู้ที่ล้มลงเพื่อพยุงเขาขึ้น และต่อมาก็เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ การหนุนใจของดิฉันจึงเป็นเหมือนการเตือนสติเพื่อผลดีสำหรับเหตุการณ์นั้น
ในด้านการรับใช้พระเจ้า ดิฉันมีประสบการณ์ว่าพระคำของพระเจ้าที่อยู่ในใจของเราจะเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแน่นอน แม้บางเรื่องดูไม่น่าจะสำเร็จได้แต่เราจะไม่ละความพยายามเพราะพระวจนะที่อยู่ในใจของเราคือ “ความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดสามารถเคลื่อนภูเขาได้” ชีวิตของดิฉันจึงถูกฝึกปฏิบัติให้มีส่วนร่วมในงานของพระเจ้าด้วยความยินดีเรื่อยมา ดิฉันกล้าที่จะบอกว่าทั้งเงินทอง ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง และเกียรติในสังคม แม้จะมีค่า แต่ดิฉันยอมปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นเพื่อเลือกที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าก่อน เพราะพระเจ้าทรงสำคัญสูงสุดเหนือสิ่งเหล่านั้น ดิฉันเชื่อแบบสุดจิตสุดใจว่าพระองค์จะประทานสิ่งที่เหมาะสมพอดีกับเราอย่างแน่นอน ประสบการณ์ในชีวิตของดิฉันที่เล่ามาข้างต้นนี้ย่อมยืนยันได้ว่าพระเจ้าไม่ได้เลือกรักดิฉันเพราะเป็นคนดี แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคนมาก
เมื่อดิฉันต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิตและยอมรับความช่วยเหลือจากพระองค์อย่างจริงใจ พระองค์ก็สามารถช่วยกู้ชีวิตของดิฉันออกมาจากวิกฤตต่างๆ ได้ วันนี้ชีวิตของดิฉันจึงมีค่า เป็นชีวิตที่ได้รับการรับรองจากพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ หลุดพ้นจากบาปและจากเวรกรรมคำแช่งสาป ดิฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตและนำดิฉันมาสู่วันนี้ แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า
(ยอห์น 1: 12 พันธสัญญาใหม่ฉบับมาตรฐาน 2002) พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3: 16 พันธสัญญาใหม่ฉบับมาตรฐาน 2002)
- คุณ วิจิตรา โรจนศิริ
- ภาพ Wirestock – Freepik.com