พระพรหรือ…พระพักตร์?
ย้อนหลังกลับไปราวกว่า 7 ปี ที่ลอส แองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา สมัยที่ดิฉันยังไม่รู้จักพระเจ้า…
ทรงเตือนผ่านทูตสวรรค์
วันนั้นจำได้ว่าที่วัดไทยนอร์ทฮอลลีวู้ด มีการจัดงานบุญเทศกาลสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่หลายวันหลายคืน มีการทำบุญ ขายอาหารไทย การละเล่นแบบไทย ๆ และอะไรอีกมากมายเท่าที่สถานที่จะอำนวยให้จัดได้ ถ้าใครที่เป็นชาวพุทธเคยอยู่ที่ ลอส แองเจลิส ก็คงจะทราบดีว่าเวลามีงานวัดที่นั่น คนไทยจะแห่ไปทำบุญกันอย่างแน่นขนัด และจะตื่นเต้นสนุกสนานเป็นพิเศษ เพราะบรรยากาศในงานจะเหมือนกับเราได้อยู่เมืองไทยไปเที่ยวงานวัดยังไงยังงั้น โดยเฉพาะคนที่จากเมืองไทยไปนานๆ ร่วม 10 ปี แบบดิฉัน ยิ่งรู้สึกสนุกและตื่นเต้นเป็นพิเศษและอดไม่ได้ที่จะชวนเพื่อนฝูงไปเที่ยวทำบุญร่วมกัน และวันนั้นดิฉันก็ชวนพี่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดิฉันได้มีโอกาสรู้จักเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ และรู้แค่ว่าเธอชื่อพี่จุ๋ม เรารู้จักกันได้ไม่นานก็ค่อนข้างคุยกันถูกคอ “พี่จุ๋มไปทำบุญที่วัดไทยด้วยกันไหม มีงานวัดสนุกมากเลย” ดิฉันเอ่ยชวนเสียงใสและก็คิดว่าเธอต้องไปกับดิฉันแน่ แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า เธอเป็นคริสเตียน ไปทำบุญแบบดิฉันไม่ได้จึงขอตัว ดิฉันผิดหวังเล็กน้อยแล้วก็ถามเธอไปว่า ทำไมเธอถึงเป็นคริสเตียน แล้วคริสเตียนเขาเป็นกันยังไงเหรอแล้วทำไมทำบุญไม่ได้ล่ะ… เธอก็เล่าตอบแบบสรุปให้ฟังบางส่วนว่า ก่อนนี้เธอไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่วันหนึ่งเธอป่วยเป็นโรคที่หมอบอกว่าไม่มีทางรักษาหายขาด แต่เธอมีโอกาสได้รับรู้เรื่องราวของพระเจ้าและได้อธิษฐานขอการทรงรักษา ปรากฏว่าเธอหายจากอาการโรคดังกล่าว ต่อมาคุณพ่อของเธอก็ป่วยเป็นโรคร้ายซึ่งหมอเองก็บอกว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เธอจึงอธิษฐานขอพระเจ้ารักษาคุณพ่อของเธอและในที่สุดคุณพ่อของเธอก็หายจากโรคร้ายนั้น นั่นเองทำให้เธอเดินเข้าโบสถ์เพื่ออธิษฐานขอเป็นลูกพระเจ้าด้วยตัวเธอเอง ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เธอพูดเท่าไรนัก สุดท้ายเธอก็บอกดิฉันว่า ถ้าดิฉันอยากรู้จักพระเยซูพระเจ้าของเธอ ให้ลองอธิษฐานดู มีปัญหาอะไรก็อธิษฐานขอได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย…เธอคงมีประสบการณ์ด้านนี้จึงท้าทายดิฉันอย่างมั่นใจ ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็รับปากไปว่า ค่ะๆ แต่ในใจก็ไม่ได้คิดจะเชื่ออะไรเธอ เพราะตั้งแต่จำความได้จนถึงขณะนั้นดิฉันไม่เคยเจ็บป่วยด้วยโรคอะไรเลย (ยกเว้นโรคปวดหัวไมเกรนที่เป็นเรื้อรังมานาน) แล้วดิฉันก็ขอตัวไปงานวัดตามที่ตั้งใจไว้
หลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันก็พบว่าดิฉันมีก้อนเนื้อเล็กๆ ที่ลำคอ ซึ่งการค้นพบก้อนเนื้อบนคอดิฉันนี้ ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะประหลาดเอาการ ตัวดิฉันซึ่งเป็นเจ้าของก้อนเนื้อเองกลับไม่เคยเห็นหรือรู้สึกเลยว่ามันมาอาศัยอยู่บนลำคอของดิฉัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ คนที่เห็นเป็นคุณป้าคนหนึ่ง (ซึ่งรู้จักโดยบังเอิญเช่นกัน ) อายุประมาณ 65 ปี แกทักว่าคอดิฉันมีก้อนเนื้อ ดิฉันก็ลองส่องกระจกและคลำดูตามที่แกบอก แต่ก็ไม่พบ ยังนึกว่าคุณป้าแกอายุมากตาอาจฝ้าฟางไปก็ไม่ได้สนใจอะไร..อีกอาทิตย์ถัดมาได้เจอกัน แกก็ทักอีกว่า มีก้อนเนื้อที่คอดิฉัน เอ…มันยังไงกันนะ ดิฉันเริ่มคิดและรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อกลับบ้านจึงส่องกระจกอย่างเอาจริงเอาจัง ทั้งส่อง ทั้งงม ทั้งคลำ เป็นเวลาหลายวันจึงได้คลำเจอ และพบว่ามันต้องเอียงคอในมุมองศาที่เหมาะเจาะจริง ๆ จึงจะปรากฎให้เห็นเด่นชัดและคลำพบได้ ซึ่งดิฉันก็รู้สึกว่ามันแปลกมากที่คุณป้ามองเห็นได้อย่างไร… เมื่อพบแล้วดิฉันก็รีบไปที่คลีนิคเล็กๆ ของหมอเวียตนามที่เพื่อนแนะนำว่าราคามิตรภาพสำหรับชาวเอเชียอย่างเรา (ค่าหมอที่ต่างประเทศจะแพงมากเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองไทย) เพื่อตรวจดูว่ามันเป็นก้อนเนื้อหรือก้อนไขมันกันแน่ หลังจากเจาะเลือดไป 2 ครั้ง คุณหมอก็บอกว่าดิฉันเป็นโรคไทรอยส์เป็นพิษ แต่ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ว่าเป็นประเภทไหนต้องไปที่ศูนย์อนามัยหรือโรงพยาบาลซึ่งจะมีเครื่องมือที่ตรวจได้ละเอียด แล้วก็ส่งตัวดิฉันไปรักษาต่อที่ศูนย์อนามัยของชาวเอเชีย (ค่ารักษาจะถูกกว่าโรงพยาบาลมาก) ซึ่งเป็นศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือชาวเอเชียด้วยกัน ผลจากการตรวจเลือดที่นั่นทำให้รู้ขึ้นมาอีกนิดว่าดิฉันเป็นไทรอยส์ประเภทไฮเปอร์ อาการก็คืออยู่นิ่งเฉยไม่ค่อยได้ ทั้งความคิด พฤติกรรม แม้แต่นอนก็ยังไม่อยากนอน เหนื่อยง่าย หงุดหงิดง่าย น้ำหนักตัวลด…ส่วนก้อนเนื้อที่คอนั้นทางศูนย์ฯ ไม่สามารถตรวจรักษาให้ได้เนื่องจากต้องการเครื่องมือที่เฉพาะทางกว่านี้ จึงส่งดิฉันไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลรัฐบาลมีชื่อแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส ซึ่งค่ารักษาก็ไม่ต้องพูดถึงว่าแพงสักเท่าไร แต่ทางศูนย์ฯ ก็แนะนำให้ดิฉันทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลได้ โดยทางศูนย์ฯ ได้แนะนำวิธีการต่างๆ ให้
การตรวจรักษาที่โรงพยาบาลรัฐบาลแห่งนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน เพราะคนไข้เยอะมากและต้องรอคิวการนัดตรวจแต่ละครั้ง ดิฉันต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ในการตรวจเพื่อความแน่ใจ ส่วนก้อนเนื้อเจ้าปัญหานั้นจำได้ว่าต้องเจาะคอถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกผิดพลาดทางเทคนิค ต้องกลับไปเจาะใหม่ ครั้งที่ 2 ผลออกมาไม่ค่อยดี หมอจึงตัดสินใจว่าดิฉันต้องผ่าตัดก้อนเนื้อนี้ออกมาจากต่อมไทรอยส์ และถ้าผลการตรวจก้อนเนื้อนี้ไม่มีอะไร ดิฉันก็จะเหลือไทรอยส์อีก 1 ข้างเอาไว้ทำงานผลิตฮอร์โมนให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามปกติ แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้าม ดิฉันจะต้องกลับมารับการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อดึงเอาต่อมไทรอยส์ทั้งยวงออกมา อือม์… ฟังดูแล้วน่ากลัวจัง แต่ดิฉันก็ยังเชื่อว่าตัวเองคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น เพราะดิฉันคิดว่าดิฉันเป็นคนดีคนหนึ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ (คือพระต่างๆ ของดิฉันขณะนั้น) จะต้องคุ้มครองเป็นแน่แท้…
เผชิญหน้ากับความตาย
การผ่าตัดครั้งแรกเป็นไปอย่างหฤโหด ดิฉันยังจำได้ไม่มีวันลืมรสชาติของมันกระทั่งทุกวันนี้…ไม่ใช่ว่าคุณหมอไม่เก่ง คุณหมอทุกท่านเก่งมากๆ แต่ร่างกายดิฉันที่ว่าแข็งแรงมันไม่แกร่งอย่างที่คิด..หลังจากผ่าตัดพอรู้สึกตัว ดิฉันก็มึนงงอยากแต่จะอาเจียน อีกทั้งรู้สึกปวดปัสสาวะอยู่ตลอดเวลา แต่พยาบาลไม่อนุญาตให้ลุกจากเตียงจนกว่าดิฉันจะมีสติมากกว่านี้ ดิฉันนอนทนปวดปัสสาวะกับอาการคลื่นไส้อยู่นาน พอลุกขึ้นได้ก็แทบวิ่งลากสังขารอันอ่อนเปลี้ยพร้อมกับเจ้าแท่นเหล็กติดล้อซึ่งห้อยน้ำเกลือกับยาต่างๆ ที่เสียบเข็มเข้ากับแขนดิฉันระโยงระยาง ติดตัวเข้าห้องน้ำไปด้วยกันอย่างทุลักทุเล ทั้งอาเจียน ทั้งปลดทุกข์ที่ไม่ยอมออก ใครที่เคยเป็นนิ่วหรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบคงพอจะเข้าใจอาการที่ปลดทุกข์แล้วไม่ยอมออกของดิฉันได้ว่ามันทรมานแค่ไหน มันปวดปัสสาวะเหมือนจะราด (ขอโทษที่ใช้คำที่ดูไม่ค่อยสุภาพ) แต่มันไม่ออก พอยิ่งนั่ง มันก็ยิ่งมึน พอยิ่งมึนมันก็ยิ่งอยากอาเจียน วนเวียนๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลานับตั้งแต่รู้สึกตัวหลังการผ่าตัด ซึ่งพยาบาลก็พยายามอธิบายว่ามันเป็นอาการที่ปกติมากสำหรับคนไข้หลายคนที่เข้ารับการผ่าตัด ไม่ต้องห่วงหรือกังวล มันจะค่อย ๆ ดีขึ้น
ดิฉันก็เชื่อฟังพยาบาลนะคะ แต่ที่สุดมันก็ไม่ดีขึ้น มันอาเจียนมากจนกระทั่งปากแผลที่ผ่าตัดมันฉีก (สงสัยดิฉันคงจะอ้าปากกว้างไปหน่อย) พอเดินออกจากห้องน้ำก็รู้สึกว่ามีน้ำอุ่นๆ ราดลงมาบนหน้าอกจำนวนมาก ดิฉันจึงก้มมองดูแบบงง ๆ ก็เห็นเลือดเต็มตัวไปหมด เพื่อนที่มาเยี่ยมและพยาบาลเดินมาเห็นพอดีก็ร้องเสียงตกใจ รีบลากดิฉันกับแท่นเหล็กไปที่เตียงนอน แล้วก็ตามคุณหมอมา 2 คน ทั้งคู่ก็พยายามกดปากแผลที่คอให้เลือดมันหยุดไหล กดจนดิฉันเจ็บคอไปหมด พูดอะไรไม่ออก ได้แต่โบกไม้โบกมือกลอกตาไปมาเพื่อให้หมอรู้ว่าเจ็บมากจนแทบหมดสติ สุดท้ายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเอาอะไรมาเย็บ (แต่เพื่อนที่มาเยี่ยมตอนนั้นบอกว่าดูแล้วเหมือนแม็กเย็บกระดาษอันใหญ่) รู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ที่คอแล้วก็ถูกฉีดยา เข้าใจว่าน่าจะเป็นยาแก้ปวดและยานอนหลับ แล้วดิฉันก็ไม่รับรู้อะไรอีก ตกกลางคืนดิฉันฝันว่าได้เล่นน้ำฝนอยู่ในทุ่งนาอย่างสนุกสนาน แล้วก็นอนแช่น้ำฝนอยู่เป็นเวลานานจนรู้สึกหนาวมาก แล้วก็ตื่นขึ้นมาด้วยอาการหนาวสั่น และสัมผัสได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนที่นอนแฉะๆ ทีแรกเข้าใจว่าตัวเองปัสสาวะราดที่นอน ก็เปิดไฟข้างเตียงดู ปรากฏว่าดิฉันนอนแช่เลือดตัวเองที่ไหลออกมาจากแผลผ่าตัดที่เปิดออกอีกครั้งหลังจากเมื่อกลางวัน พอตั้งสติได้ก็กดเรียกพยาบาล ตอนนั้นราวประมาณตี 2 พยาบาลมาดูแล้ววิ่งออกไปตามแพทย์เวรซึ่งเป็นแพทย์ฝึกงานหนุ่มๆ สาวๆ 4 คน กรูกันเข้ามาล้อมเตียงแล้วก็กดคอดิฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย (หนักยิ่งกว่าเมื่อตอนกลางวันเสียอีก) กระทั่งดิฉันอึดอัดจนหายใจไม่ออกเหมือนจะสำลักเลือดตัวเอง ความคิดขณะนั้นก็คือ นี่เรากำลังจะขาดใจตายใช่มั๊ย.. จากนั้นก็เริ่มคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ดิฉันมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะแยะที่กราบไหว้ก่อนหน้านี้จนไม่รู้จะเรียกสิ่งไหน เรียกได้แค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์) ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดิฉันนับถือและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ที่ดิฉันยังไม่เคยรู้จักช่วยดิฉันด้วย น่าแปลกที่สุดท้ายของความคิดดิฉันกลับคิดถึงพี่จุ๋ม (ที่ดิฉันกล่าวถึงเธอเมื่อเริ่มเรื่อง) และคำพูดที่เธอบอกก่อนจากกันวันนั้นว่า ถ้าดิฉันอยากรู้จักพระเจ้าของเธอก็ให้ลองอธิษฐานดู อธิษฐานขอได้ทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ดิฉันจึงเริ่มต้นอธิษฐาน ในขณะที่แพทย์กับพยาบาลก็ช่วยกันจับมือดิฉันให้เซ็นชื่อในใบอะไรก็ไม่รู้ (มารู้ภายหลังว่าเป็นใบอนุญาตให้ผ่าตัดอีกครั้งและถ้าเกิดตายก็จะไม่เอาเรื่องทางแพทย์และโรงพยาบาล) ดิฉันได้อธิษฐานกับพระเจ้าเป็นครั้งแรกว่า “ถ้าพระเยซูพระเจ้าของพี่จุ๋มมีจริง ขอช่วยลูกให้พ้นความตายด้วยเถิด และถ้าหายออกจากโรงพยาบาลไปลูกจะขอเป็นคริสเตียน หรือถ้าจะตายก็ขอให้ตายอย่างสงบอย่าทุกข์ทรมานเจ็บปวดมากไปกว่านี้เลย” จากนั้นดิฉันก็หมดสติไป…
มาตื่นอีกทีเพราะมีคนมาจับแขนเขย่า ลืมตาขึ้นมาก็พบนายแพทย์กลางคนท่านหนึ่งกำลังยืนมองเรียกชื่อดิฉันอยู่ จากนั้นก็ถามอาการต่างๆ ว่าเป็นยังไงบ้าง เจ็บหรือมีอะไรผิดปกติไหม แต่ดิฉันไม่ได้ตอบอะไรไปเลย เพราะกำลังเรียกสติกลับคืนมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิฉัน จึงจำได้ว่า… เมื่อคืนดิฉันผ่านนาทีวิกฤติมาได้อย่างน่ากลัวและยังมีชีวิตอยู่…พระเจ้าของพี่จุ๋มช่วยเราแน่ๆ คิดแล้วน้ำตามันก็ไหล หมอคงคิดว่าดิฉันกลัวท่านก็ปลอบใจว่า ไม่ต้องกลัวทุกอย่างของร่างกายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ท่านชมว่าดิฉันเก่งมาก แข็งแรงมาก แผลปิดแล้วเลือดหยุดไหลแล้ว ดิฉันไม่ต้องผ่าตัดใหม่เพียงรอให้เลือด (ที่เสียไปจำนวนมาก) ครบจำนวน อีกไม่กี่วันก็จะแข็งแรง…เพียง 3 วันต่อมาดิฉันก็กลับบ้านได้และรอการนัดจากหมอเพื่อมาทำแผลและฟังผลอื่นๆ ในอาทิตย์ถัดไป
การทรงเลือกและทรงเรียก
ดิฉันกลับบ้านได้ไม่กี่วันก็ได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลว่าให้กลับไปพบคุณหมอด่วน!! ดิฉันคิดว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็คิดปลอบใจตัวเองว่าหมออาจรีบแจ้งข่าวดีก็เป็นได้ เพื่อคนไข้จะได้มีความสุข แต่มันไม่เป็นตามที่ดิฉันหวัง หมอบอกว่า “เสียใจด้วยคุณเป็นมะเร็ง…” ดิฉันเพิ่งเข้าใจอาการเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า และอาการ ช็อค ว่ามันเป็นยังไงก็ตอนนั้นเอง พอจบคำว่ามะเร็ง ดิฉันก็ไม่ได้ยินเสียงคุณหมออีกเลยเห็นแต่ปากท่านผะงาบๆ แล้วก็เลือนหายไป ในหัวดิฉันมีแต่ความคิดของตัวเองว่า “มะเร็ง! เรากำลังจะตายเพราะมะเร็ง เราจะอยู่ได้อีกกี่เดือน? เราจะทำยังไงกับชีวิตที่เหลือ? จะบอกใครบ้างล่ะว่าเรากำลังจะตาย ก่อนตายเราจะทำอะไรก่อน? แล้วจะตายแบบไหน ตายที่ไหนดี???” คำถามมันวนเวียนอยู่ในหัวแค่นั้น มารู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ที่บ้านพักตัวเองแล้ว โดยมีเพื่อนที่ไปส่งนั่นแหละเป็นคนพากลับมาแบบที่ดิฉันเองไม่รู้ตัวจริงๆ ว่ากลับมากับเพื่อนได้ยังไง แล้วเพื่อนก็แจ้งว่า ตีห้าวันรุ่งขึ้นต้องเข้ารับการผ่าตัดเอามะเร็งที่ต่อมไทรอยส์ซึ่งยังเหลืออีกข้างออกให้หมด เพื่อไม่ให้เชื้อมันแพร่กระจายไปสู่ส่วนอื่นของร่างกาย การผ่าตัดก็ให้เตรียมตัวเหมือนครั้งแรก แล้วเพื่อนจะพาไปเอง…ก่อนเข้าห้องผ่าตัดครั้งที่สองนี้ คุณหมอบอกดิฉันว่า…การผ่าตัดครั้งนี้จะยากกว่าครั้งแรกเนื่องจากแผลดิฉันเปิดฉีกขาดเสียหายและฟกช้ำมาก ทำให้การมองยากขึ้นอาจไปกระทบกับเส้นประสาทต่างๆ ในลำคอที่มีอยู่มากมายโดยเฉพาะกล่องเสียง อาจทำให้ดิฉันไม่มีเสียงใช้ไปเป็นเวลานาน แต่นานแค่ไหนหมอก็บอกไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามันไปโดนมีดบาดกระทบมากแค่ไหน และอาจทำให้แขนซีกหนึ่ง (จำไม่ได้แล้วว่าซีกไหน) เกิดอาการชาด้านคล้ายเป็นอัมพฤตทำนองนั้น ก็เช่นกันนานแค่ไหนหมอบอกไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วงหมอจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และจะมีการทำกายภาพบำบัดให้หลังจากเกิดอาการดังกล่าวแล้วทุกอย่างจะกลับมาดีได้…อะไรต่อมิอะไรอีกก็ไม่รู้ที่หมอบอก เพื่อให้ดิฉันรับรู้และต้องเซ็นหนังสือยอมรับการผ่าตัดและผลที่อาจจะเกิดขึ้น จำได้ว่าดิฉันเริ่มต้นอธิษฐานตั้งแต่วินาทีนั้นจนกระทั่งขึ้นเตียงไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว มารู้อีกทีก็ถูกเฉือนไทรอยส์ไปหมดคอแล้ว..อ้อ..ไม่หมดซิ ยังเหลือรากไว้ให้ดูต่างหน้าเพราะไม่สามารถดึงรากออกมาด้วยได้
การผ่าครั้งหลังแตกต่างจากครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง ดิฉันไม่แพ้ยามาก มึนแต่ไม่อาเจียน ปวดปัสสาวะแต่ทนได้ไม่ทรมานมาก และอยู่โรงพยาบาลน้อยวันกว่าครั้งแรกด้วย… ดิฉันกลับมาพักฟื้นที่บ้านโดยมีเพื่อนๆ พี่น้องคริสเตียนที่พี่จุ๋มส่งข่าวให้มาดูแลแวะเวียนมาเยี่ยมแทบทุกวัน เอาข้าวปลาอาหาร ขนม นมเนย มาฝากกันไม่ขาดสาย ดิฉันรู้สึกแปลกใจจนต้องถามพวกเขาไปว่า ดิฉันไม่รู้จักพวกเขามาก่อนทำไมจึงใจดีกับดิฉันขนาดนี้ พวกเขาตอบว่า “พวกเขารักดิฉันเพราะความรักของพระเจ้า” ดิฉันฟังแล้วงง ๆ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รู้สึกประทับใจมากอย่างบอกไม่ถูก และตั้งใจว่าวันหนึ่งดิฉันจะเป็นแบบพวกเขาให้ได้คือช่วยผู้อื่นด้วยความรักโดยไม่หวังผลใด ๆ ..ดิฉันมีโอกาสไปคริสตจักรใกล้ ๆ ที่พักโดยมีพี่น้องเหล่านี้คอยมารับ-ส่ง อยู่หลายครั้ง ไปนั่งฟังพวกเขาร้องเพลงซึ่งเนื้อหาในบทเพลงทำให้ดิฉันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่ได้ฟัง แต่ไม่ค่อยได้ฟังคำสอนของศิษยาภิบาล เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงดีนักจึงขอกลับก่อนบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ดิฉันได้รับรู้เรื่องราวของพระเจ้ามากขึ้น และได้รู้ว่าการเป็นคริสเตียนต้องทำพิธีบัพติสมาจึงจะเป็นคริสเตียนโดยสมบูรณ์และต้องทิ้งพระเก่าทั้งหมด ซึ่งข้อนี้ดูจะเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับดิฉันมาก ด้วยความกลัวและไม่เข้าใจจึงโกรธพี่น้องในคริสตจักรบางคนที่ทักท้วงดิฉันว่าเมื่อไรจะทิ้งพระที่ห้อยคออยู่แล้วมาเป็นคริสเตียนซะที ตอนนั้นรู้สึกโกรธและตำหนิในใจว่า…คนคริสเตียนนี่ช่างใจแคบ ศาสนาพุทธไม่เคยห้ามเราไหว้พระอื่น เราไหว้ได้ทุกพระ ทั้งเจ้าแม่ เจ้าพ่อ เทวดา เทวรูป พระพุทธรูป ลูกแก้ว รูปภาพ สารพัดรูปแบบ เราเอาหมด ขอให้เรียกว่าเป็นพระเป็นเจ้า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราก็ถือเป็นพระเจ้าแล้ว..จำได้ว่าดิฉันตอบพี่เขาไปแบบโกรธ ๆ หยิ่ง ๆ ว่า “ขอคิดดูก่อนว่าจะเป็นดีหรือไม่เป็นดี” แต่พอกลับถึงบ้านก็รู้สึกไม่สบายใจที่ตอบและคิดแบบนั้น ตกกลางคืนก็ฝันว่า ดิฉันเดินเข้าไปในศาลเจ้าจีนแห่งหนึ่งซึ่งมีเสาหลักเมือง มีพระพุทธรูป และมีผู้ชายผมยาวใส่ชุดคุลมยาวสีขาวสว่างยืนนิ่งคล้ายรูปปั้น (และดิฉันคิดเองว่าเป็นพระเยซู เพราะคล้ายที่เคยเห็นตามภาพวาด) วางซ้อนกันเป็นแถว โดยมีพระเยซูอยู่ด้านหลังสุด แล้วก็มีเสียงดังลอยขึ้นมาถามดิฉันว่า เจ้าจะเลือกไหว้พระองค์ไหนล่ะ แล้วดิฉันก็เดินผ่านเสาหลักเมือง (ซึ่งเป็นสิ่งที่สมัยนั้นดิฉันนับถือมากกว่าพระอื่น ๆ เนื่องจากถูกปลูกฝังจากผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็ก) ผ่านพระพุทธรูป และไปก้มลงกราบพระเยซูที่อยู่ด้านในสุด ความรู้สึกในฝันก็คือพระองค์ทรงยิ้มให้ แล้วดิฉันก็ตกใจตื่น..น่าแปลกมากที่ฝันเหมือนเดิมอย่างนี้เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน ดิฉันก็ไปเล่าให้พี่น้องคริสเตียนที่อยู่ใกล้บ้านฟัง เธอก็บอกว่าพระเจ้าทรงรักและทรงเรียกดิฉันแน่นอน แล้วก็ชวนดิฉันให้รับเชื่อรับบัพติศมาและบอกว่าดิฉันต้องทำอะไรบ้างในการเข้าเป็นคริสเตียน ดิฉันไม่ได้ตอบตกลงใด ๆ แถมออกอาการลังเลและคิดว่าการเป็นคริสเตียนมันไม่น่าจะมีพิธีรีตองอะไรมาก มายก็แค่ดิฉันเชื่อพระเจ้าเพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่งเหมือนสมัยเป็นพุทธชนก็เท่า นั้นไม่ได้หรือ ดิฉันจึงเกิดความสับสนลังเลใจและเกิดความกลัวที่จะต้องเผาพระเครื่อง รูปเคารพต่าง ๆ ที่ดิฉันนับถือและมีอยู่เวลานั้น
เมื่อกลับถึงบ้านก็นั่งวิตกกังวลว่าจะตัดสินใจแบบไหนดี..คืนนั้นก่อนเข้านอน ดิฉันก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า “พระเจ้าองค์ไหนเป็นพระเจ้าจริงแท้ พระพุทธเจ้า พระเยซูเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนกันแน่ ขอมาเข้าฝันให้ลูกรู้ด้วยเถิด และอย่าเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ทำยังไงก็ได้ให้รู้ว่าที่มาเข้าฝันนั้นคือความจริง” ดิฉันอธิษฐานแบบที่ตัวเองก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง ฝันก็คือฝัน แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นความจริง เรานี่คงจะเพี้ยนไปแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมอธิษฐานไปแบบนั้น แล้วก็เข้านอนแบบตอบตัวเองเสร็จว่า “เออ..ฝันไปเถอะว่า ฝันจะเป็นจริง” !!!…
แล้วคืนนั้นดิฉันก็ฝันไปจริง ๆ ว่า..ตัวเองไปเดินอยู่ในทุ่งกว้างใหญ่มาก ซึ่งไม่รู้ว่าที่ไหน ก็เห็นมีตากับยายสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้กลางทุ่งกำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดิฉันก็เดินเข้าไปหาทั้งสองแล้วก็ได้ยินเสียงตาพูดว่า “นี่พระเจ้ากำลังจะเสด็จมาแล้วนะ..” ดิฉันก็ถามไปว่า “จริง ๆ เหรอ ไหน ๆ มายังไง..ยังไม่ทันจบคำถาม ดิฉันก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังมาจากบนฟ้า ก็แหงนหน้าขึ้นมอง เห็นนกพิราบขาวตัวใหญ่มากบินลงมาโถมใส่ดิฉัน แล้วก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเหมือนพระเยซูขาวสว่างจ้า (แบบที่ดิฉันเคยเห็นในฝัน) ลอยลงมาปะทะเข้าที่หน้าดิฉัน พร้อมมีเสียงดังขึ้นว่า “เราเป็นพระเจ้า เรามาแล้ว” แล้วดิฉันก็เหมือนคนที่ถูกไฟฟ้าดูด ใครที่เคยโดนไฟฟ้าจากหม้อหุงข้าวหรือตู้เย็นดูด จะรู้ว่าดิฉันมีอาการเป็นแบบไหน มันกระตุกไปทั้งตัวจนกระทั่งตกใจตื่น แต่อาการไฟฟ้าดูดดังกล่าวก็ยังไม่หายไป ทีแรกดิฉันคิดว่าเป็นอาการของเหน็บชา แต่ไม่ใช่มันเป็นอาการไฟฟ้าดูดแบบในฝัน เป็นอยู่นานพอที่จะทำให้ดิฉันตกใจกลัวจนต้องยกมือไหว้ท่วมหัวบอกว่า ดิฉันกลัวแล้ว เชื่อแล้วว่าพระองค์เป็นพระเจ้า จากนั้นไม่นานอาการดังกล่าวก็หายไป ดิฉันจึงรู้ว่าพระเจ้าทรงทำให้คำอธิษฐานก่อนนอนของดิฉันเป็นจริงได้ คือ ฝันแต่ให้รู้ด้วยว่าไม่ใช่แค่ฝันแต่เป็นความจริง…คืนนั้นทั้งคืนดิฉันไม่ ได้หลับเลยนอนรอจนถึงเวลาเช้าเพื่อจะรีบหอบพระเครื่องหุ้มทองทั้งหลาย (ที่ดิฉันหอบไปจากเมืองไทยจำนวนหลายองค์) ไปหาพี่น้องคริสเตียนคนที่อยู่ใกล้บ้านเพื่อนำไปเผาทิ้งตามที่เธอเคยแนะนำ ไปเคาะเรียกเธอแต่เช้าตรู่จนเธอสงสัยว่ามีอะไร ดิฉันก็เล่าเรื่องฝันทั้งหมดให้เธอฟัง แล้วก็นำพระเครื่องรูปเคารพทั้งหมดออกมาให้เธอเผา ซึ่งเธอก็ดีใจและใจกล้ามาก เธอบอกว่าอันที่จริงต้องนำไปให้ศิษยาภิบาลทำที่คริสตจักร แต่ต้องรอหลายวันกว่าจะวันอาทิตย์ เธอเกรงว่าดิฉันจะเปลี่ยนใจหรือกังวลใจก็ไม่ทราบ เธอจึงชวนดิฉันว่า “ไป เราไปช่วยกันเผา เราไม่กลัว พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่….” แล้วเธอก็นำดิฉันอธิษฐานให้พูดตาม ดิฉันก็พูดตามเธอแบบไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนักในเวลานั้น..แล้วเราก็นั่งเผาพระหุ้มทองกันที่หลังบ้านของเธอจนเหลือแต่เศษทองคำ ซึ่งเราก็ทิ้งเอาไว้อย่างนั้นไม่ได้เก็บไปขาย เธอบอกว่าของไม่ดีอย่าไปเอา ดิฉันก็เชื่อและรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ตัดสินใจทำเช่นนั้น วันถัดมาก็ไปขอพบศิษยาภิบาล (ต้องขอโทษอีกครั้งที่ดิฉันจำชื่อท่านไม่ได้) เพื่อขอบัพติศมา ท่านก็ได้อธิบายว่า ดิฉันต้องเข้ารับการเรียนบทเรียนต่าง ๆ ก่อนเพื่อความเข้าใจอันถูกต้องในการเข้ามาเป็นคริสเตียนซึ่งจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ เพราะจะมีการสอนและบัพติศมาเป็นรุ่น ๆ ดิฉันก็บอกท่านไปว่า ดิฉันไม่มีเวลาแล้วดิฉันไม่รู้ว่าเวลาเหลือเท่าไร (ตอนนั้นดิฉันคิดแต่ว่าอีกไม่นานตัวเองคงต้องตาย) และต้องการกลับไปตายเมืองไทย แต่ปรารถนาจะเป็นคริสเตียนตามที่เคยอธิษฐานไว้ให้เร็วที่สุด เวลานั้นดิฉันก็คิดในใจเองเสร็จสรรพว่า ไม่เป็นไรดิฉันกลับไปขอพระเจ้าเป็นคริสเตียนเองก็ได้ แล้วดิฉันก็กลับบ้านไปอธิษฐานขอเป็นคริสเตียนกับพระองค์ตามความเข้าใจผิดของดิฉันแบบสบายใจ
วันรุ่งขึ้นศิษยาภิบาลท่านนั้นเรียกดิฉันไปพบอีกครั้ง ท่านถามดิฉันเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้า เรื่องความเชื่อ..ดิฉันตอบท่านไปตามความเข้าใจของดิฉันซึ่งไม่ได้มีความรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ท่านก็พยายามอธิบายบางส่วนให้ดิฉันเข้าใจ สุดท้ายท่านก็กรุณานัดให้ดิฉันไปทำพิธีบัพติศมาที่คริสตจักรไทย เอาท์ริส เมืองพาสซาดิน่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ร่วมกับคนอื่นอีกประมาณ 3-4 คน ก็เป็นอันว่าดิฉันได้เข้าพิธีบัพติศมาเป็นคริสเตียนในที่สุด…ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงเลือกและทรงเรียกของพระองค์
ทรงจัดเตรียมทุกสิ่ง
อีก 3 อาทิตย์ ต่อมาหลังจากบัพติศมา ดิฉันก็เดินทางกลับเมืองไทยอย่างปลอดภัย และได้ไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรในจังหวัดตราด (บ้านเกิดดิฉัน) ซึ่งศิษยาภิบาล (ไม่) บังเอิญเป็นเพื่อนกับพี่ชาย (ดิฉันเป็นคนเดียวในครอบครัวที่เป็นคริสเตียน) และได้ภรรยาของศิษยาภิบาลท่านนี้เป็นพี่เลี้ยง…ต่อมาไม่นานดิฉันก็ได้พบกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมาเป็นเวลากว่า 15 ปี ซึ่งปัจจุบันก็คือสามีของดิฉันนั่นเอง ก่อนแต่งงานสามีดิฉันไม่ได้เป็นคริสเตียน แต่เป็นชาวพุทธที่เข้มแข็ง เขามักถวายพระประธาน (เขาเป็นคนประเภทเล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ชอบ) ตามวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือ แต่เขาบอกว่าไม่เคยพบสันติสุขอย่างแท้จริง มันเป็นเพียงการกระทำที่เชื่อว่าจะทำให้เขามีชีวิตที่ดีและมีสันติสุข ก่อนแต่งงานดิฉันได้แบ่งปันเรื่องราวของพระเจ้าให้เขาฟังอยู่เสมอ และชวนเขาไปโบสถ์วันอาทิตย์ ขอบคุณพระเจ้าที่เขาให้ความสนใจอย่างจริงจัง หลังแต่งงานได้ไม่นานเขาก็ตัดสินใจรับเชื่อและรับบัพติสมา…ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงจัดเตรียมคุณหมอเพื่อการรักษามะเร็งไทรอยส์ อันที่จริงดิฉันยังต้องเข้าโปรแกรมการรักษาอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลต่างประเทศ แต่ตอนนั้นดิฉันไม่ได้คิดอะไรนอกจากกลับมาตายเมืองไทย แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยได้เพียงไม่ถึงเดือน พระเจ้าทรงเมตตาจัดเตรียมคุณหมอซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของญาติที่มีศักดิ์เป็นหลานชาย (ซึ่งเป็นนักเรียนแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในขณะนั้น) เป็นอาจารย์หมอที่เชี่ยวชาญด้านโรคไทรอยส์ของโรงพยาบาลจุฬาฯ และท่านเคยไปศึกษาด้านเฉพาะโรคในโรงพยาบาลต่างประเทศซึ่งดิฉันได้รับการผ่าตัดมาแล้วนั้นด้วย…
ทุกวันนี้ดิฉันยังเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลจุฬาฯ เนื่องจากต่อมไทรอยส์ที่ดิฉันผ่าตัดทิ้งไปทั้งสองข้างนั้น ยังคงมีรากของต่อมไทรอยส์อยู่ คุณหมออธิบายง่าย ๆ ให้เข้าใจว่า รากมันยังติดอยู่กับอวัยวะส่วนอื่นไม่สามารถผ่าตัดทิ้งแบบถอนรากถอนโคนได้ ทำให้ดิฉันจำเป็นต้องดูแลรักษารากนี้เป็นอย่างดีไปตลอดชีวิต ด้วยการเช็คเลือดทุก 4-6 เดือน เพื่อการปรับเปลี่ยนยา และทุก 1-2 ปี ดิฉันต้องเข้าโปรแกรมทำ Total body Scan เพื่อตรวจจับหาเชื้อมะเร็งที่อาจจะลุกลามจากรากไทรอยส์ไปยังส่วนอื่น ของร่างกายได้..การที่มีรากนี้อยู่ทำให้ดิฉันนึกถึงท่านเปาโลที่บอกว่าการมี หนามในร่างกายก็เพื่อไม่ให้อวดตัวยกตัวจนเกินไป และแม้ท่านจะขอพระเจ้าให้มันหลุดไปแต่พระองค์ตรัสตอบว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น..” 2 โครินธ์ 12:9…ทำ ให้ดิฉันได้คิดเหมือนท่านเปาโลบอกไว้ “เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้าเพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะ ได้อยู่ในข้าพเจ้า”..และฤทธิ์เดชของพระองค์ก็อยู่ในข้าพเจ้าจริง ๆ เพราะนับเป็นเวลา 6 ปีมาแล้ว ที่ดิฉันเข้าโปรแกรมการรักษาโรคนี้ และผลการตรวจทุกครั้ง คุณหมอบอกว่าร่างกายดิฉันเป็นปกติดีทุกอย่าง.. นอกจากนี้ พระเจ้ายังทรงมีพระเมตตาต่อดิฉันและครอบครัวมากมายยิ่งนัก พระองค์ทรงรักษาพี่ชายผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตในสมองโป่งพอง รวมถึงคุณแม่ (วัย 89 ปี) ผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ ให้หายได้อย่างอัศจรรย์ ทุกวันนี้ทั้งคู่มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ทุกประการ…สรรเสริญพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
สุดท้ายที่ดิฉันอยากแบ่งปันก็คือ มีบางสิ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้และสัมผัสการทรงนำของพระองค์ได้อย่างชัดเจนคือ แม้พระองค์จะทรงเมตตาสำแดงการอัศจรรย์ต่าง ๆ ในชีวิตของดิฉันก็จริง แต่อย่าให้ดิฉันพอใจและปรารถนาเพียงการอัศจรรย์ (พระพร) เหล่านั้นที่เกิดขึ้น แท้จริงนั้นทรงประสงค์ให้ดิฉันแสวงหาแผ่นดินของพระองค์ (พระพักตร์และการปกครองของพระองค์) ด้วยการกลับใจและเปลี่ยนแปลงชีวิต (นิสัยจิตใจ ความประพฤติ ฯลฯ) จิตวิญญาณ (ความเชื่อ ความวางใจ ความสัตย์ซื่อ ฯลฯ) ของตนเองให้ได้อย่างบริบูรณ์ เพื่อการมีชีวิตซึ่งเป็นที่พอพระทัยและถวายเกียรติแด่พระองค์ทุกประการ…แหละนั่นต่างหากคือ ชีวิตใหม่ ที่จะเป็นการอัศจรรย์เหนือการอัศจรรย์อย่างแท้จริงที่พระองค์ทรงพอพระทัยและปรารถนาจะสำแดงต่อไปในชีวิตของดิฉัน…
“ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา” เอเฟซัส 3:20…ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระองค์
หมายเหตุ:ปัจจุบันดิฉัน นางอมรรัตน์ ชาญหิรัญ (อายุ 49 ปี) ได้สมัครเข้าเป็นนักศึกษาของสถาบันพระคริสตธรรมเชียงใหม่ ขอทุกท่านโปรดอธิษฐานเผื่อสุขภาพ สติปัญญา และความตั้งใจของเราทั้งสอง (ดิฉันและสามี) ที่จะมีชีวิตที่เกิดผลตามน้ำพระทัยของพระองค์ตลอดไป…ขอบคุณค่ะ
- คุณอมรรัตน์ ชาญหิรัญ