พระเจ้าแพทย์ผู้ประเสริฐของฉัน
ดิฉันนางสาวกันยารัตน์ เทียมทัน ปัจจุบันอายุ 32 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฎภูเก็ต จบปริญญาโทจากโรงเรียนคริสตศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์ ปัจจุบันทำงานเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาที่คริสตจักรคริสเตียนสถานภูเก็ต ดิฉันอยากจะถ่ายทอดคำพยานชีวิตที่มีประสบการณ์กับพระเจ้า ทั้งความรัก การดูแลของพระองค์ผ่านทางผู้คนมากมาย เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้า… ผู้เป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ในชีวิตของฉัน
รู้จักพระเจ้า
เมื่อตอนสมัยที่ฉันเรียนอยู่ ปวช. ปี 1 เพื่อนได้ชวนไปร่วมนมัสการที่โบสถ์ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเขาไปทำอะไรกัน จึงไปโบสถ์กับเขา เมื่อไปครั้งแรกรู้สึกประทับใจในการต้อนรับอันแสนอบอุ่นของพี่น้องในคริสตจักรคริสเตียนสถานภูเก็ต ฉันจึงได้เข้าร่วมกลุ่มอนุชนทุกวันเสาร์เสมอ
วันหนึ่ง เมื่อกลับจากโบสถ์ในวันเสาร์ พระคำของพระเจ้าทำงานในจิตใจของฉันอย่างมาก ฉันต้องการที่จะสารภาพบาปกับพระเจ้า จึงปิดประตูห้องและร้องไห้สารภาพบาปกับพระองค์ และฉันบอกกับพระเจ้าว่า “ต่อไปนี้ฉันจะมีพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียวขอพระองค์เป็นเจ้าชีวิตของฉัน” เมื่อฉันสารภาพบาปกับพระเจ้าแล้ว ฉันได้สัมผัสว่าฉันมีสันติสุขจากพระเจ้า ทำให้รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของฉันแล้ว
เมื่อก่อนฉันเป็นคนใจร้อน เอาแต่ใจตัวเอง ดื้อเงียบ แต่หลังจากเชื่อพระเจ้าแล้วก็กลายเป็นคนใจเย็นไม่เอาแต่ใจตัวเอง มีเหตุผล และเชื่อฟังมากขึ้น เมื่อจบปวส.ปีที่ 2 ในเวลานั้นฉันจึงได้เข้าศึกษาต่อในสถาบันราชภัฎภูเก็ต ฉันเรียน ทำงาน พร้อมทั้งรับใช้พระเจ้าไปด้วย งานที่ทำคือการขายประกันชีวิต เป็นงานที่ท้าทายความสามารถมาก แต่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาชีพนี้ทำให้ฉันได้ฝึกความอดทน เรียนรู้จักการให้ รักในการบริการและดูแลลูกค้าดุจญาติมิตร ทำงานอาชีพนี้อยู่ประมาณ 5 ปี เมื่อเรียนจบแล้วก็ยังคงทำงานต่อจนมีลูกค้าประมาณ 200 ราย
สูญเสียคุณแม่ แต่ยังทำตามการทรงเรียกของพระเจ้า
เมื่อฉันออกไปทำงานทุกเช้าฉันจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า มีอยู่วันหนึ่งฉันพูดกับพระเจ้าในใจว่า “พระเจ้าลูกรักอาชีพการขายประกันชีวิตมากมีเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้ลูกออกจากอาชีพนี้ได้คือ การทรงเรียกของพระองค์โดยการถวายตัวรับใช้พระองค์เต็มเวลาเท่านั้น” และพระองค์ก็เรียกฉันจริงๆ
ทางคริสตจักรได้จัดค่ายทุกปีและมีอยู่ปีหนึ่งที่ทำให้ฉันได้ยินเสียงเรียกของพระเจ้าอย่างชัดเจน ผ่านทางศาสนาจารย์ทวีชัย เอื้ออริยะกุล ท่านเทศนาจากพระธรรมอิสยาห์ และท่านบอกว่าอีกสักครู่จะลงจากธรรมาสน์ไปหาพี่น้อง อาจารย์จะถามว่า “เราจะใช้ผู้ใด และผู้ใดจะไปแทนเรา””ข้าพระองค์อยู่นี่พระเจ้าข้าขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด” (อิสยาห์ 6:8) ในเวลานั้นฉันตื่นเต้นมากและคิดอยู่ในใจว่าคงไม่ใช่ฉันหรอกแต่เมื่ออาจารย์ ลงจากธรรมาสน์พร้อมกับถือกระจกอยู่ด้านหลังเดินมาหาฉัน และเมื่ออาจารย์ถามโดยให้ฉันมองดูที่กระจกและพูดกับตัวเองว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด” นั่นเป็นเสียงเรียกที่ชัดเจนที่สุดในเวลานั้น แต่ฉันก็ยังรู้สึกเกิดความกลัวอยู่ลึก ๆ ภายในใจให้คนที่อาจารย์เดินไปหาพูดว่า
และแล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ฉันสูญเสียแม่อันเป็นที่รักไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2546 ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวกระทันหัน เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดและไม่ทันตั้งตัว ในงานศพมีการต่อต้าน มีการทดลองเกิดขึ้นกับฉันอย่างมากมาย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยพระคุณและความรักของพระเจ้า เมื่อฉันสูญเสียแม่ทำให้ฉันได้คิดใคร่ครวญกับชีวิตมากขึ้น เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรพยายามหาคำตอบให้กับชีวิตในที่สุดก็รู้ว่า “ชีวิตที่มีค่ามากที่สุดคือการมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า” ในตอนนั้นฉันใช้เวลาอยู่กับพระเจ้า อดอาหารอธิษฐานเพื่อฟังเสียงของพระเจ้าผ่านทางพระคำของพระองค์ ฉันบอกกับพระเจ้าว่า “ลูกกลัวจริงๆ ในการตัดสินใจในครั้งนี้และลูกก็ยังมีห่วงที่ต้องดูแลและรับผิดชอบห่วงทั้งครอบครัวต้องดูแลพ่อและน้อง ห่วงทั้งลูกค้า เพราะเคยสัญญากับลูกค้าว่าเราจะอยู่กับเขาไปจนตลอดชีวิตเพราะลูกรักในสิ่งที่ลูกทำ ห่วงคริสตจักรเพราะลูกมีส่วนในการรับใช้ภายในคริสตจักรและรู้สึกผูกพันกับพี่น้อง”
พระเจ้าตรัสในอิสยาห์ 41:9-16 กล่าวว่า “เจ้าผู้ซึ่งเรายุดไว้จากที่สุดปลายแผ่นดินโลกและเรียกมาจากที่ไกลสุดของโลกกล่าวแก่เจ้าว่า “เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา เราได้เลือกเจ้าและไม่เหวี่ยงเจ้าออกไป อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาดเพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา ดูเถิดบรรดาผู้ที่ขัดเคืองกับเจ้าจะต้องได้ความอายและอดสูคนเหล่านั้นที่ฝืนสู้เจ้าจะศูนย์และพินาศไป เจ้าจะแสวงผู้ที่ต่อสู้กับเจ้าแต่เจ้าจะไม่พบเขา ผู้ที่ทำสงครามกับเจ้าจะเป็นศูนย์และศูนยภาพ เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ยุดมือขวาของเจ้าไว้ คือเราเองพูดกับเจ้าว่า “อย่ากลัวเลยเราจะช่วยเจ้า” พระเจ้าตรัสว่า”อย่ากลัวเลยเจ้าหนอนยาโคบ เจ้าคนอิสราเอล เราจะช่วยเจ้า ผู้ไถ่ของเจ้าคือองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล ดูเถิดเราจะกระทำเจ้าให้เป็นเลื่อนนวดข้าว ใหม่ คม และมีฟัน เจ้าจะนวดและบดภูเขาและเจ้าจะทำเนินเขาให้เหมือนแกลบ เจ้าจะซัดมันและลมจะพัดมันไปเสียและพายุจะกระจายมันและเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้า เจ้าจะอวดอ้างในองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล” และตรัสอีกในอิสยาห์ 30:18-23“และเมื่อเจ้าหันไปทางขวาหรือหันไปทางซ้าย หูของเจ้าจะได้ยินวจนะข้างหลังเจ้าว่า ‘นี่เป็นหนทาง จงเดินในทางนี้’” เมื่ออ่านพระคำเหล่านี้น้ำตาก็ไหล เหมือนกับพระคำของพระเจ้าแทงทะลุเข้าไปถึงหัวใจ และพระองค์ก็ตรัสอีก สดุดี 32:8 “เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าด้วยจับตาเจ้าอยู่” ยิ่งอ่านก็ยิ่งเจอการทรงเรียกที่มาจากพระเจ้าเรื่อยๆ ห่วงต่างๆ ที่พะวงอยู่ก็ค่อยๆ หลุดทีละห่วง ได้รับคำตอบจากพระเจ้า เมื่อพ่อไม่ต่อต้านและอนุญาตให้ไปเรียนที่โรงเรียนพระคริสตธรรมได้ ลูกค้าเข้าใจและบอกว่าให้ไปได้เลย ถ้าไปเรียนต่อและไปเจอสิ่งที่ดีกว่าก็ยินดีด้วย คริสตจักรให้การสนับสนุนด้านการเงินในการศึกษาต่อระดับปริญญาโท ในที่สุดก็ได้ไปเรียนต่อด้านศาสนศาสตร์ระดับปริญญาโท โรงเรียนคริสต์ศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์ จึงตัดสินใจลาออกจากงานและตั้งใจมาเรียนพระคัมภีร์อย่างเต็มที่ เมื่อมาศึกษาที่โรงเรียนแห่งนี้ทำให้ได้รับความรู้จากพระวจนะคำของพระเจ้ารวมถึงประสบการณ์ในการรับใช้อย่างมากมาย
การเผชิญกับโรคร้ายอย่างไม่คาดฝัน
วันหนึ่ง เมื่อฉันสังเกตว่าทำไมท้องของฉันจึงเริ่มโตขึ้น และใหญ่ขึ้นเหมือนคนท้องเมื่อไปหาหมอตรวจท้องและบอกถึงอาการที่เป็น หมอลงความเห็นว่าฉันเป็นโรคกระเพาะจึงให้ยาเกี่ยวกับการรักษาโรคกระเพาะมาทาน หลายวันต่อมาอาการของฉันไม่ดีขึ้นเลย ท้องกลับโตขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มอาเจียน หัวใจสั่น มือไม้สั่น หมดเรี่ยวแรง ทรมานอย่างมากฝ่ายร่างกาย และพลอยทำให้จิตวิญญาณอ่อนกำลังไปด้วย ฉันนอนร้องไห้ขอพระเจ้าเมตตาและช่วยฉันด้วย ฉันไม่มีแรงแม้กระทั่งจะอธิษฐานและไม่รู้จะอธิษฐานอย่างไรแล้ว และพระคำของพระเจ้าก็ผุดมาว่า “พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้าเป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเราและมาอธิษฐานต่อเราและเราจะฟังเจ้า”(ยรม.29:11-12) อย่างไรก็ตามฉันก็ยังเชื่อและไว้วางใจในพระคำของพระเจ้าเสมอ จากพระคำตอนนี้จึงทำให้ฉันพักสงบและนอนหลับได้ ฉันได้รับคำแนะนำให้ไปตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในจังหวัด แต่ก็ยังหาสาเหตุของอาการท้องโตไม่พบหมอทำการตรวจด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์ มันใหญ่และน่ากลัวมาก เมื่อท่อเข้าไปในปาก และตรวจดูการทำงานของลำไส้(ทางเดินอาหาร) และส่งกล้องเข้าทางทวาร เวลานั้นยากจะบรรยายถึงความเจ็บปวด ฉันรู้สึกทรมาน ฉันร้องสุดเสียง ฉันร้องเรียกหาพระเจ้าอยู่ในใจและฉันก็รู้ว่าในเวลานั้นพระเจ้าอยู่กับฉัน พระเจ้าเข้าใจถึงความเจ็บปวดของฉัน ท่อที่ใส่เข้าไปตามรอยหยักของลำไส้ กว่าจะสุดฉันรู้สึกว่ามันช้าเหลือเกิน พอจะเอาออกอีกครั้งมันไม่สามารถดึงออกได้อย่างรวดเร็ว มันก็ต้องเหมือนครั้งแรกที่ได้ใส่เข้าไป นั่นเป็นความเจ็บปวดที่ฉันต้องเจอ
วันรุ่งขึ้น ฉันต้องเข้าตรวจ MRI (เข้าอุโมงค์) และผลสรุปก็ออกมาว่าหมอได้พบ “เส้นเลือดไปอุดตันในตับ” ฉันเข้ารับการรักษาตัวอยู่ประมาณ 7 วัน และหมอก็บอกว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายในเวลานั้นสำหรับฉันถือว่าสูงมากประมาณ 200,000 กว่าบาทแล้ว ขอบคุณพระเจ้าคริสตจักรคริสเตียนสถานภูเก็ตที่ฉันรับใช้อยู่ที่ภูเก็ต ยินดีช่วยเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด นี่คือพระคุณพระเจ้าที่ฉันได้รับ พร้อมกับพ่อที่มาดูแลฉันตลอดเวลา พ่อได้เห็นถึงความรักของพระเจ้าผ่านทางพี่น้องคริสเตียน พ่อพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยให้ฉันหาย ท่านไปหาพระที่เคยนับถือ และพระบอกท่านว่า พ่อต้องอธิษฐานกับพระเจ้าของฉันเท่านั้น จึงจะสามารถช่วยฉันได้ ดังนั้นพ่อจึงถามฉันว่า พ่อจะอธิษฐานกับพระเจ้าของลูก พ่อต้องทำอย่างไรบ้าง ฉันรู้สึกดีใจมากเพราะเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของฉันคือการที่ครอบครัวได้มารู้จักกับพระเจ้า และได้รับความรอดทั้งครอบครัว และนี่เป็นคำตอบที่พระเจ้าให้กับฉัน ผ่านความเจ็บป่วยที่ฉันต้องเผชิญในเวลานั้น
ฉันต้องไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เนื่องจากที่นั่นมีหมอที่เก่งด้านโรคตับอันดับหนึ่งของเมืองไทย และที่สำคัญท่านเป็นคริสเตียน ชื่อคุณหมอธีระเป็นสามีของคุณพิมพร ซึ่งอยู่ที่คริสตจักรแบ๊บติสต์หาดใหญ่ ฉันได้เห็นถึงความรักของพี่น้องในพระคริสต์ร่วมมือร่วมใจกันมาเพื่อช่วย เหลือฉันทั้งด้านการเงินและการย้ายโรงพยาบาล ฉันคิดในใจว่า ฉันเป็นผู้ใดเล่า ทำไมพระเจ้าจึงรักและห่วงใยฉันมากขนาดนี้ ฉันเป็นเพียงผู้เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงฉันไม่สมควรจะได้รับ แต่เพราะพระคุณและความรักของพระเจ้าที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อฉัน ฉันจึงสัมผัสได้เลยว่าพระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งลูกของพระองค์ เลย พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลาและเป็นผู้จัดเตรียมทุกสิ่งในชีวิตของฉันจริงๆ
ในเวลานั้นท้องของฉันเริ่มโตขึ้นเหมือนคนท้องประมาณหกเดือน ขาเริ่มบวม เดินไม่ค่อยสะดวก หมอที่นั่นตรวจหาสาเหตุของฉันอีกครั้ง ฉันต้องเจาะเลือด เจาะที่ท้องเพื่อเอาน้ำในท้องไปตรวจ ทั้งเอ็กซเรย์และอัลตร้าซาวด์ ฉันต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกวันที่อยู่ที่นั่น ไม่มีวันไหนที่ฉันไม่โดนฉีดยา ไม่โดนเจาะเลือด และหมอพบว่าฉันมีเลือดแดงข้นมากกว่าคนปกติ จึงต้องถ่ายเลือดออกไปประมาณ 2 ถุงใหญ่ เพื่อไม่ให้เลือดข้นจนเกินไป นี่จึงเป็นสาเหตุของโรคที่เป็น คือ เมื่อเลือดข้นมากมันจึงไปอุดตันเส้นเลือดในตับทั้ง 3 เส้น ทำให้ไม่สามารถนำเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้สะดวก ตับจึงได้ผลิตน้ำออกมามากจนทำให้ท้องโต และหลังจากนั้นเมื่อท้องฉันโตขึ้นเรื่อยๆ หมอจะเจาะท้องเพื่อถ่ายน้ำออกประมาณ 1.5-2 ลิตร/วัน พร้อมกับให้ยาโปรตีนไข่เพื่อไม่ให้ฉันอ่อนเพลียมากจนเกินไป เนื่องจากสูญเสียน้ำมาก เมื่อฉันกินอาหารเข้าไปทีไร ท้องก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกอึดอัดหมอก็จะมาเจาะท้องให้เสมอ เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด จนมีครั้งหนึ่งฉันไม่ต้องการที่จะเจาะท้องแล้วเพราะเจาะตอนกลางวัน กลางคืนน้ำจะเพิ่มขึ้นมาอีกปรากฏว่าน้ำเริ่มท่วมปอด หายใจไม่ค่อยสะดวก จนต้องให้ออกซิเจน แขนของฉันเริ่มเขียวเป็นจ้ำๆ เพราะต้องเจาะเลือดทุกวัน ฉันรู้ว่าหมอพยายามรักษาฉันโดยการใช้ยาเพื่อบำบัดให้อาการของฉันดีขึ้น แต่มันก็ยังไม่ดีขึ้น
ในที่สุดหมอก็มาบอกความจริงกับฉันว่า โรคที่ฉันเป็นรักษายากและมีจำนวนน้อยที่พบว่าเป็นโรคนี้ หมอพบเพียง 3 รายเท่านั้นในโรงพยาบาลและมาด้วยอาการที่น่าเป็นห่วงและร้ายแรงมากกว่าฉันจึงต้องทำการผ่าตัด และผลการผ่าตัดทั้ง 3 รายเสียชีวิตทั้งหมด ฉันร้องไห้โฮ กอดเพื่อนที่มาเฝ้าไว้แน่น แต่หมอบอกว่า ถ้าฉันเลือกจะผ่าตัดที่นั่น ฉันมีโอกาสรอด 80% แต่ไม่รับรองผลการติดเชื้อ ซึ่งต้องใช้เวลารักษาตัวอยู่นานหมอจึงให้ทางเลือกใหม่ว่า มีอีกที่หนึ่งที่จะช่วยฉันได้ คือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หมอจะส่งฟิล์มเอ็กซเรย์ให้หมอที่เก่งที่สุดในเมืองไทยที่สามารถช่วยฉันได้โดยการทำทริป คือการใส่ท่อเล็กๆ ลงไปเชื่อมในตับเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ท่านชื่อหมออัครวัติและผลการส่งฟิล์มเมื่อให้หมออัครวัติดูท่านบอกว่าจะประสบความสำเร็จ 60% สำหรับการทำทริปครั้งนี้ ฉันตัดสินใจตกลงจะทำทริป
พระเจ้าอยู่กับฉัน ในยามทุกข์ยาก
เมื่อฉันพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นเวลาที่ฉันได้พักสงบกับพระเจ้า ได้ใคร่ครวญและพูดคุยกับพระเจ้าแทบทุกคืน มีคืนหนึ่งฉันได้ยินเสียงของพระเจ้าผ่านทาง MP3 ที่พี่น้องนำมาให้ฉันได้ฟังเพลงนมัสการและสรรเสริญพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า “เราคือพระเจ้าพระบิดาของเจ้า เจ้าจงเข้ามาหาเรานอนลงและพักสงบอยู่ในเรา เราจะเทความรักและความเมตตาแก่เจ้า เราจะเยียวยารักษาเจ้าให้หาย เราจะเสริมกำลังใหม่แก่เจ้า เราจะให้เจ้ามั่นคงและจำเริญขึ้น ลูกเอ๋ย เรารักเจ้า และเราจะอวยพรเจ้าตลอดไป”
เมื่อได้ฟังถ้อยคำนี้ ฉันก็ร้องไห้กับพระเจ้า และรู้ว่านี่คือเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับฉัน พระองค์ปรารถนาให้ฉันเข้าใกล้พระองค์ พักสงบอยู่กับพระองค์และพระองค์สัญญาว่าจะรักษาฉันให้หาย พร้อมกับให้กำลังใหม่แก่ฉัน และรู้ว่าพระเจ้ารักฉันมากจริง ๆ
หมอเตรียมการผ่าตัดและบอกว่าจะเลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุดให้กับฉันคือ การทำทริป และหมอก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะประสบความสำเร็จ 60% และให้เผื่อใจไว้ 1% ทำปุ๊บเสียชีวิตทันที และอีก 5% เผื่อไว้สำหรับการติดเชื้อ และถ้าการทำครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ หมอจะเลือกวิธีที่ 2 คือวิธีการผ่าตัดหน้าท้อง แต่แน่นอนมันจะอันตรายกว่าวิธีแรกมากและมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ถ้าทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จและฉันยังมีชีวิตรอด หมอจะเลือกวิธีที่ 3 คือ การเปลี่ยนตับใหม่ แต่ต้องมีเงินทุนสำรองสำหรับการเปลี่ยนตับ 1 ล้านบาท และต้องรอตับที่สามารถเข้ากับฉันได้ เนื่องจากโรคที่เป็นหมอบอกว่าพบเพียง 1 ในแสนคนเท่านั้น ดังนั้นฉันจึงต้องอยู่ในการดูแลของหมออย่างใกล้ชิด มีทั้งหมอโรคเลือด โรคตับ และหมอที่ทำทริป หมอโรคเลือดลงความเห็นว่า ฉันเป็นโรคเลือดข้น คือ มีเม็ดเลือดแดงมากกว่าคนปกติ โดยการเจาะที่กระดูกไขสันหลังแล้วนำไปตรวจจึงพบอาการของโรค ดังนั้นฉันจึงต้องไปเจาะเลือดทุกเดือนเพื่อดูปริมาณความเข้มข้นของเลือด คอยดูแลไม่ให้เลือดข้นจนเกินไป หมอโรคตับก็บอกว่า ผลจากเลือดข้นจึงทำให้เส้นเลือดไปอุดตันในตับทั้ง 3 เส้น ไม่สามารถทำงานได้ จึงทำให้มีน้ำออกมามากบริเวณที่ท้องและขา ทำให้ท้องและขาบวมผิดปกติ ดังนั้นฉันจึงต้องงดกินเค็มไปโดยปริยาย หมอทำทริปบอกว่าจะเจาะที่คอของฉันโดยไม่ใช้ยานอนหลับ แต่จะใช้ยาฉีดเข้าไป ดังนั้นฉันจึงรู้สึกตัวทุกอย่าง หมอจะใส่ท่อเล็กๆ ขนาด 1 ซม. ลงไปพร้อมกับเข็มที่เจาะลงไปในตับ ซึ่งจะช่วยให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ ส่วน 3 เส้นที่เคยมีอยู่นั้นก็จะค่อยๆ ฝ่อและไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ
เมื่อหมอได้มาบอกถึงโรคที่ฉันเป็น ฉันอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ขอเป็นวิธีที่ 1 ครั้งเดียวพอเถิดพระเจ้า ก่อนผ่าตัดฉันได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้าผ่านทางคณาจารย์เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จากโรงเรียนคริสตศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์รวมถึงพี่น้องจากคริสตจักรต่างๆ ในกรุงเทพฯ ที่ได้ยินเรื่องราวของฉัน หมั่นมาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ฉันได้รับการเลี้ยงดู การจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ขาดพระพรหรือของดีใดๆ เลยจากพระเจ้าขอบคุณพระเจ้า คืนก่อนทำการผ่าตัด เป็นอีกคืนที่ฉันร้องไห้สุดหัวใจกับพระองค์ และฉันก็บอกกับพระองค์ว่า “พระเจ้าเจ้าข้า ได้โปรดอย่าให้ลูกต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปเลย ลูกทนแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ถ้าถึงเวลาแล้วที่พระเจ้าจะรับลูกไป ลูกก็พร้อมที่จะไปกับพระองค์ แต่ได้โปรดเมตตากับคนในครอบครัวของลูกด้วย ลูกขอมอบพ่อ พี่น้องทั้งหมดให้พระเจ้าทรงดูแล มอบการรับใช้และงานทั้งหมดที่ลูกได้รับใช้พระองค์ ขอพระเจ้าจัดเตรียมคนงานแทนลูกด้วย แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่ลูกจะไปอยู่กับพระองค์และพระองค์เมตตาให้ลูกมีชีวิตอยู่ต่อไป ได้โปรดให้ลูกมีความอดทนที่จะทนกับความเจ็บป่วยในครั้งนี้ให้ได้ ขอให้มีความหวังใจ มีกำลังใจที่มาจากพระองค์ที่จะสู้ต่อไป และลูกอยากจะบอกว่า ลูกรักพระองค์ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ลูกรักพระองค์มากกว่าแต่ก่อน และยิ่งทำให้รักพระองค์มากขึ้นทุกวันๆ ไม่ว่าลูกจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือได้ไปอยู่กับพระองค์ลูกก็จะยังคงรักพระองค์ตลอดไป”
วันที่ 28 สิงหาคม 2552 เป็นวันที่ต้องผ่าตัดทำทริป ฉันเข้าห้องผ่าตัดด้วยความไว้วางใจในพระเจ้า เพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับฉันตลอดเวลา เมื่อเข้าไปหมอก็ได้เจาะท้องเพื่อเอาน้ำออกอีกครั้งเพื่อไม่ให้ท้องโต การผ่าตัดครั้งนี้ทำโดยไม่ต้องมีการผ่าตัดหน้าท้อง ในเวลานั้นฉันได้แต่ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา “พระเยซู พระผู้ช่วย” เป็นเพลงที่ฉันร้องในเวลานั้น ฉันถูกมัดตัวเพื่อไม่ให้ดิ้น มือข้างซ้ายของฉันถูกเจาะอีก 2 เข็ม เข็มแรกเจาะเพื่อให้น้ำเกลือ เข็มที่ 2 เจาะเพื่อรอการฉีดยาบรรเทาอาการปวดในระหว่างการผ่าตัด
หมอเริ่มเจาะที่คอข้างซ้ายของฉันโดยใช้ยาชาเท่านั้น เข็มถูกเจาะลงไปผ่านหลอดเลือดดำ เข้าสู่ตับ ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกปวด พยาบาลจะรีบเข้ามาฉีดยาแก้บรรเทาปวดให้กับฉัน ฉันรู้สึกอึดอัด และแน่นท้องมาก หมอจะคอยบอกให้ฉันรู้สึกตัว บางครั้งก็บอกให้ฉันกลั้นลมหายใจ ผ่อนลมหายใจได้ และนาทีระทึกขวัญก็เกิดขึ้นเมื่อหมอบอกว่าเห็นตับแล้ว และเวลานั้นหมอกำลังจะเล็งเพื่อให้ตรงจุดโดยให้ท่อเส้นเล็กๆ เส้นนี้สามารถเกี่ยวกับตับได้ตรงจุด เมื่อถึงเวลาหมอก็บอกว่าจะแทงแล้วนะ แล้วหมอก็พุ่งเข็มลงไป ปรากฏว่าตรงจุดพอดี ขอบคุณพระเจ้าหมอบอกว่าประสบความสำเร็จแล้ว รายนี้สำเร็จแล้ว ฉันกล่าวขอบคุณพระเจ้าขอบคุณคุณหมอ แล้วก็อ่อนกำลังไปเลย รู้สึกตัวแต่ไม่สามารถลืมตาหรือขยับเขยื้อนอะไรได้ ในความเป็นจริงหมอ บอกว่า กรณีของฉันหมอให้เวลา 24 ชม.เพราะเป็นกรณีที่ยากมาก หรือเร็วสุด 6 ชม. แต่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับหมอเพราะใช้เวลาเพียงแค่ 3 ชม.เท่านั้นก็เสร็จสิ้นการผ่าตัดแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เพราะคนไข้ที่หมอเคยผ่าตัดนั้น บางคนอุดตันแค่ 1 เส้น ยังมี 2 เส้นที่เหลืออยู่ หรือบางคนอุดตัน 2 เส้น ยังมี 1 เส้นที่เหลืออยู่สามารถทำได้ง่ายกว่า แต่กรณีของฉันหมอไม่เคยเจอที่อุดตันทั้ง 3เส้น ตันสนิทเหมือนถนนที่ปิดตายแล้วรถไม่สามารถแล่นผ่านไปได้ จึงต้องทำถนนเส้นใหม่เพื่อให้รถวิ่งได้ ฉันรู้ว่าในห้องผ่าตัดนั้น พระเจ้าเป็นผู้รักษาและเป็นผู้ผ่าตัดฉัน โดยผ่านทางมือหมอให้เป็นผู้กระทำแต่พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม ฉันจึงได้เส้นเลือดใหม่ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพระเจ้าที่ได้เข้ามาอยู่ในตัวของฉัน มันแทนความรักขององค์พระเยซูคริสต์ที่เชื่อมต่อลมหายใจให้ฉันได้มีชีวิตอยู่ ทำให้ตับไม่วาย ฉันจึงกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ทำให้ฉันรู้ว่าการมีลมหายใจและมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้ว ณ เวลานี้ มีชีวิตอยู่เพื่อจะสรรเสริญพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และประกาศถึงความรัก และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ให้กับคนอีกมากมายได้รู้จักกับพระองค์ ฉันได้เรียนรู้ว่า ไม่มีอะไรที่พระเจ้าทรงกระทำไม่ได้ “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง” (มาระโก 10:27)
เป็นพยานข้างเตียง
ฉันได้มีโอกาสเป็นพยานกับน้องผู้หญิงคนที่นอนข้างเตียงใกล้ๆ ฉัน ชื่อน้องจ๋า(พิชญาวี ทองชมพู) อายุ 25 ปี เธอสมองบวม หน้าบวม หมอพบมีน้ำที่กระดูกไขสันหลังและเส้นประสาทไปทับที่สมอง น้ำจึงไปขังอยู่บริเวณสมอง ทำให้ต้องเจาะน้ำที่กระดูกไขสันหลังออกเพื่อไม่ให้สมองบวม ถ้ามีน้ำขังอยู่จะทำให้ปวดศีรษะและมีผลต่อระบบประสาทตา ทำให้หูอื้อ ตาลาย ดังนั้นการประกาศความรักของพระเจ้าจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการแบ่งปันอาหาร ผลไม้ ขนม นม ที่มีอยู่ ให้น้องได้รับประทานร่วมกับฉัน เราจึงสนิทกันเร็วมาก เพียงไม่กี่วันน้องจ๋าก็เดินมาหาฉัน และบอกว่าชอบจังเลยเวลาเห็นคนมาเยี่ยมพี่แล้วมาร้องเพลงให้ฟัง และหวังว่าจะมีใครมาเยี่ยมแบบนี้บ้าง เพราะบ้านเธออยู่ไกลถึงชัยภูมิ ครอบครัวยากจนจึงทำให้ไม่มีใครสามารถเดินทางมาเยี่ยมเธอได้ ฉันจึงมีโอกาสเป็นพยานเรื่องราวความรักของพระเจ้า น้องบอกว่าอยากรู้จักพระเยซูแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง? ฉันบอกว่าต้องมีพระเยซูเพียงผู้เดียว ให้เราอธิษฐานสารภาพบาปกับพระเจ้าและเชิญพระเยซูเข้ามาอยู่ในหัวใจ หลังจากนั้นฉันจึงให้น้องจ๋าพูดตามและได้เชิญองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาใน ชีวิตของน้อง ฉันได้ให้หนังสือคริสเตียนเล่มเล็กๆ ที่หนุนใจให้เธอได้อ่านและพี่น้องคริสเตียนเมื่อรู้เรื่องราวของน้องจ๋าก็ ทยอยนำหนังสือมาให้น้องอ่านเสมอๆ เราใช้เวลาด้วยกันทุกเช้าและก่อนนอนอธิษฐานด้วยกันตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล และพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเธอเสมอ เมื่อขอสิ่งใดแล้วได้รับคำตอบจากพระเจ้าเธอก็จะมาเป็นพยานให้ฉันฟัง เธอจะตื่นเต้นและดีใจทุกครั้งที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ขอบคุณพระเจ้า วันนี้น้องจ๋าได้รับการรักษาจากพระเจ้าอาการเธอดีขึ้นและสามารถกลับบ้านได้ แล้ว ขอพระเจ้าจัดเตรียมพี่น้องคริสเตียนที่จะหนุนใจและพบคริสตจักรที่จะไปร่วม นมัสการให้กับเธอด้วย
ขอบคุณทุกความห่วงใย
ขอขอบคุณพี่น้องในพระคริสต์ทุกท่าน พี่น้องในจังหวัดภูเก็ต จังหวัดสงขลา คริสตจักรต่างๆ ในกรุงเทพฯ คณาจารย์และพี่ๆ เพื่อนๆ จากโรงเรียนคริสต์ศาสนาศาตร์แบ๊บติสต์ พี่น้องที่อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา และพี่น้องท่านอื่นๆ ที่ได้ยินเรื่องราวของฉัน ขอขอบคุณทุกท่าน ที่ได้มีส่วนในการอธิษฐานเผื่อ มีส่วนในการถวาย มีส่วนในการเยี่ยมเยียน หนุนใจ และให้กำลังใจผ่านทางบทเพลง ผ่านทางพระวจนะคำของพระเจ้าอยู่เสมอ ขอพระคุณความรัก และสันติสุขในองค์พระเยซูคริสต์จะครอบครองจิตใจของพี่น้องทุกท่านตลอดไป
- คุณกันยารัตน์ เทียมทัน