พระเยซูคริสต์ช่วยชีวิตเรา สึนามิ

พระเยซูคริสต์ช่วยชีวิตเรา

สุภาพสตรีสองพี่น้องคริสเตียนชาวมาเลเซีย (จูนอายุ 42 ปี และชุงเองลี อายุ 33 ปี ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ The Sun ประเทศมาเลเซีย) ได้ประสบเหตุคลื่นยักษ์ที่หาดป่าตอง จ. ภูเก็ต

สมาคมพระคริสตธรรมไทยได้รับคำพยานของชุงเองลีทางอีเมล์ซึ่งส่งผ่านมาจากหลายบุคคล และได้พบคำพยานของจูนในเว็บไซท์ นอกจากนั้น หนังสือพิมพ์ The Sun ของประเทศมาเลเซียประจำวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2005ได้เสนอข่าวของสองท่านนี้ด้วย สมาคมฯ ได้พยายามหลายวิธีที่จะติดต่อกับทั้งสองท่านโดยตรงเพื่อจะขออนุญาตตีพิมพ์เรื่องที่านประสบมา แต่ไม่สามารถติดต่อท่านได้ จึงต้องเรียนขออนุญาตไว้ ณ ที่นี้

สมาคมฯ ได้ผนวกคำพยานของทั้งสองพี่น้องเข้าด้วยกันและแปลเป็นภาษาไทยเพื่อพิมพ์ในคริสตสายสัมพันธ์ฉบับนี้เท่านั้น ขอพระสิริจงมีแด่พระเยซูคริสต์ผู้คุ้มครองและปลดปล่อยเราจากความตายด้วยฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์ของพระองค์

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม 2004 การมาพักผ่อนที่ภูเก็ตเป็นการตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของจูน และ ชุงเองลี สองพี่น้องชาวมาเลเซีย ซึ่งแผนเดิมจะมาถึงภูเก็ตวันที่ 28 ธันวาคม 2004 แต่ทั้งสองคนแปลกใจมากที่สายการบินได้ออกตั๋วให้เดินทางวันที่ 25 ธันวาคมหลังจากที่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีที่นั่งในเที่ยวบินนั้นไปแล้ว จูนภาวนาให้เป็นความเข้าใจผิดและไม่ต้องเดินทางวันที่ 25 ธันวาคม เพื่อจะได้อยู่บ้านฉลองคริสตมาสกับครอบครัว แต่เมื่อได้รับการยืนยันจากสายการบิน จูนก็ยอมเดินทางตามตั๋วเครื่องบินที่ได้รับมาเพราะไม่อยากให้น้องสาวมาพักผ่อนโดยลำพัง สองคนพี่น้องจึงมาถึงภูเก็ตวันที่ 25 ธันวาคม และได้เข้าพักที่โรงแรมป่าตองวิลล่า แต่เห็นว่าโรงแรมไม่คุ้มค่าเงิน จึงได้ออกหาโรงแรมใหม่เพื่อจะย้ายเข้าวันรุ่งขึ้น

เวลา 2 ทุ่มคืนนั้น ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินไปตามถนนบนหาดป่าตอง ชุงเองลีรู้สึกไม่สบายใจจึงได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเพลงหนึ่งซึ่งไม่ได้ร้องมานานมากแล้ว เธอร้องเพลงนั้นอยู่หลายเที่ยว แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ จูนจึงแนะนำให้น้องอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วย “ภาษาของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (In tongues) (ภาษาซึ่งพระเจ้าดลใจให้พูดโดยไม่ใช่ภาษาซึ่งผู้พูดใช้เป็นประจำและไม่ใช่ภาษาที่ฝึกจากการศึกษาเล่าเรียน – สมาคมพระคริสตธรรมไทย) เพลงที่ชุงเองลีร้องในค่ำวันนั้นชื่อ “จงสงบนิ่ง” เนื้อเพลงกล่าวว่า “เมื่อมหาสมุทรพุ่งสูงขึ้นและท้องฟ้าคำราม ฉันจะทะยานสูงขึ้นเหนือพายุ โอ้พระบิดา พระองค์เป็นพระเจ้าเหนือผืนน้ำ ฉันจะสงบนิ่งเพราะรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า” (แปลตรงตัวโดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย เนื้อเพลงจากพระธรรมสดุดีบทที่ 46)

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2004 เวลาเช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรมเพื่อย้ายไปโรงแรมใหม่คือเที่ยงวัน จึงไม่จำเป็นที่ทั้งสองคนจะต้องตื่นเช้านัก อย่างไรก็ดี ประมาณตีห้า พี่น้องซึ่งนอนคนละเตียงในห้องเดียวกันรู้สึกว่าถูกปลุกให้ตื่น ต่างคนต่างก็คิดว่าเป็นอีกคนหนึ่งมาปลุกให้ตนเองลุกขึ้นอธิษฐานกับพระเจ้าตามที่ปฏิบัติเป็นประจำ แต่เมื่อชุงเองลีลืมตาและมองไปที่จูน ก็รู้ว่าจูนไม่ได้ปลุกตนแน่ ส่วนจูนเองก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนใจและรู้สึกเหมือนมีคนมาแตะที่นอน แต่เมื่อมองไปที่น้องสาว ก็รู้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนปลุกแน่นอน ทั้งคู่คิดว่าพระเจ้าคงเรียกให้ตื่นขึ้นอธิษฐาน จึงได้ตื่นทันทีและใช้เวลาอธิษฐานด้วยกันประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้น จูนมีนิมิตเห็นภาพคนต่างชาตินอนตายเกลื่อนกลาดบนพื้น ซึ่งเธอคิดว่าคงเป็นภาพวิญญาณคนตายที่ยังหลงหายวนเวียนอยู่เท่านั้น หลังจากนั้น พี่น้องได้เช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรมก่อนเวลาที่กำหนดไว้มาก เวลา 09:45 น. ทั้งคู่ลากกระเป๋าเดินไปถึงโรงแรมใหม่ที่จองไว้ (Casuarina Hotel หาดป่าตอง – ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ The Sun) ขณะที่กำลังยื่นเอกสารการจองโรงแรมให้กับพนักงานต้อนรับ มีคนมากมายได้วิ่งเตลิดขึ้นมาจากชายหาด ทันทีที่ทั้งสองพี่น้องเหลียวไปมองทางชายหาด ก็เห็นคลื่นทะเลสูงประมาณ 30 ฟุตซัดเข้ามาสู่ฝั่ง และโถมผ่านถนนเข้ามาปะทะกับประตูกระจกของโรงแรม คลื่นขนาดมหึมานั้นได้บดบังท้องฟ้าจนหมดสิ้นและทั่วทั้งบริเวณก็มืดมิดไปทันที คนที่อยู่ในล้อบบี้โรงแรมไม่มีทางหนีไปไหนได้เลยเพราะคลื่นกำลังซัดเข้ามาสู่ตัวอาคารโดยไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ เสียงกระจกแตกดังสนั่น และเพียงชั่ววินาที น้ำทะเลได้ทะลักเข้ามาท่วมบริเวณนั้นจนสูงถึงคอ สองคนพี่น้องยึดกันไว้แน่น จูนตะโกนบอกน้องสาวให้อธิษฐานกับพระเจ้า แล้วทั้งหมดก็ถูกน้ำซัดกระเด็นไปประมาณ 40 เมตรพร้อมกับสิ่งปรักหักพังต่างๆ จนหลุดออกไปอีกด้านหนึ่งของโรงแรม

ทั้งสองคนจำได้ว่าได้จมลงไปใต้น้ำแล้วโผล่พรวดขึ้นมาอีก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งโผมากอดจูนไว้อีกต่อหนึ่ง แล้วทั้งสามคนก็กอดเสาไม้ไว้ได้ต้นหนึ่งโดยที่ขาแตะไม่ถึงพื้น ในเวลานั้น สิ่งที่ทั้งสองพี่น้องนึกได้คือการอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นภาษาซึ่งพระวิญญาณ บริสุทธิ์ทรงดลใจตามที่ได้มีประสบการณ์มาจากชั้นเรียนพระคัมภีร์ซึ่งสอนโดย อาจารย์เวอร์น่อน ฟอลส์ (Pastor Vernon Falls) ซึ่งช่วยได้มากในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกอย่างเป็นความวุ่นวายโกลาหลอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้คนกรีดร้องระงมรวมทั้งหญิงไทยที่มากอดจูนไว้ เธอกรีดร้องอย่างเสียสติพร้อมทั้งพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเธอว่ายน้ำไม่เป็น ชุงเองลีต้องตะเบ็งเสียงสั่งให้เธอหยุดกรีดเสียงและอย่ากอดรัดจูนแน่นจนเกินไป ขอให้เธอตั้งสติและอธิษฐานด้วยกันกับทั้งสองพี่น้องเพื่อทุกคนจะผ่านพ้นเหตุการณ์นี้ไปได้ หญิงไทยคนนี้ก็สงบลงได้และขอบคุณทั้งสองคนที่ช่วยยึดเธอไว้ ในท่ามกลางความเป็นความตายนั้น จูนคิดว่าจะต้องนำหญิงผู้นี้ให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะคริสเตียนเชื่อว่าใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ และเขาก็จะมีสิทธิ์เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์เมื่อตายไป จูนได้สอนให้ผู้หญิงไทยคนนี้อธิษฐานเสียงดังร่วมกับเธอ โดยสั่งในพระนามพระเยซูคริสต์ให้ทะเลสงบและสั่งให้คลื่นหยุดซัดกระหน่ำ แล้วน้ำก็ลดระดับลงทันตาเห็น ในเวลานั้นมีทั้งรถเก๋ง รถบัส มอเตอร์ไซค์ และเจ็ตสกี อยู่ในสภาพหงายท้องลอยไปมาทั่วไปหมด จูนภาวนาขออย่าให้เห็นศพโดยเฉพาะศพเด็กลอยมาปะทะกับตนเลย เมื่อน้ำลดลงเหลือประมาณ 3 ฟุต ทั้งสามคนได้ลุยน้ำไปหาเคาน์เตอร์คอนกรีตสูงประมาณ 4 ฟุตครึ่ง จูนช่วยให้น้องสาวและหญิงไทยคนนี้โหนตัวขึ้นไปบนเคาน์เตอร์ก่อน แต่ตัวเธอเองกลับไม่มีแรงที่จะยกตัวขึ้นไป อีกสองคนต้องพยายามช่วยด้วยความยากลำบากและต้องรีบเร่งด้วยกลัวว่าจะเกิดคลื่นลูกใหม่อีก ในทันทีทันใด จูนรู้สึกว่าเธอตัวเบาและยกตัวขึ้นไปบนเคาน์เตอร์ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยกำลังของเธอเอง เธอรู้สึกว่าได้รับความช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ หลังจากขึ้นไปบนเคาน์เตอร์สำเร็จ เพียงพริบตาเดียว เสาไม้ที่ทั้งสามคนกอดไว้เมื่อครู่ก่อนก็พังครืนลงมาพร้อมทั้งมีเสียงคนตะโกนและกรีดร้องอีก และยังไม่ทันที่จูนจะตั้งตัวได้ คลื่นลูกที่สองซึ่งใหญ่กว่าลูกแรกก็ซัดเข้ามา ทำให้จูนหลุดออกไปจากเคาน์เตอร์ เธอทำได้แค่ยึดราวเหล็กเหนือศีรษะไว้ด้วยแขนซ้ายเท่านั้นและห้อยต่องแต่งเหมือนกับทาร์ซาน ทั้งน้องสาวและหญิงไทยช่วยกันคว้าตัวจูนไว้เพื่อจะไม่ถูกกระแสน้ำซัดไป เวลานั้น จูนบอกกับพระเจ้าว่า หากพระเจ้าไม่ช่วยอุ้มเธอ เธอคงจะโหนอย่างนั้นไปได้ไม่นาน เธอไม่กลัวที่จะต้องตายหากพระเจ้าต้องการรับเธอไป แต่เธอไม่อยากทิ้งน้องไปในเวลานี้ และหากเธอตาย ครอบครัวของเธอคงจะขมขื่นและไม่ยอมเชื่อพระเจ้าแน่นอน เธอและน้องอยากจะรอดชีวิตไปเป็นพยานให้แก่ครอบครัวเพื่อจะนำเขามาเชื่อพระเจ้า และอยากจะมีโอกาสทำงานรับใช้พระองค์ให้เสร็จเสียก่อน เมื่ออธิษฐานเช่นนั้นแล้ว จูนก็รู้สึกมีแรงมากขึ้นจนสามารถถีบตู้เย็นที่ลอยมาให้ห่างออกจากตัวได้ แต่น้ำก็ท่วมสูงขึ้นจนถึงระดับคาง ทั้งสามคนจึงได้ร่วมกันอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง สั่งน้ำให้ลดระดับลงและไหลกลับสู่ทะเลในพระนามของพระเยซูคริสต์ แล้วน้ำก็ลดลงทันที

ต่อจากนั้น ทั้งสามคนได้เสี่ยงลุยน้ำไปที่บันไดโรงแรมซึ่งนำไปสู่เฉลียงชั้นบน และได้เห็นว่ามีชาวต่างชาติและคนท้องถิ่นอยู่ที่นั่นประมาณ 20 คน ต่างอยู่ในสภาพช้อค บาดเจ็บ เสียงร้องไห้ระงมไปทั่ว และมีเลือดอยู่ทุกหนทุกแห่ง จูนมีแค่รอยฟกช้ำเล็กน้อย ส่วนชุงเองลีมีแผลลึกที่เท้าเพราะโดนกระจกบาดและเจ็บปวดมาก ทั้งคู่คุกเข่าลงและอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยและทรงอยู่ด้วยกับตนเสมอ พระองค์ทรงปลุกให้ตื่นแต่เช้าเพื่อจะออกจากโรงแรมแห่งแรกและมาถึงโรงแรมใหม่ทันเวลา หาไม่ทั้งสองพี่น้องก็คงติดอยู่ในห้องพักซึ่งอยู่ชั้นล่างหรือถูกถูกคลื่นกวาดไปหากยังเดินอยู่บนถนน ทั้งสองคนสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ไม่เคยสาย เวลาของพระองค์เป็นพรอันประเสริฐอย่างยิ่ง หลายคนบนเฉลียงนั้นสังเกตเห็นว่าสองพี่น้องอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยเสียงดัง จูนนึกถึงเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ที่ท่านอัครทูตเปาโลปลอดภัยจากเรืออับปาง และรู้สึกว่าเธอก็จะปลอดภัยเช่นเดียวกัน ชุงเองลีกอดพี่สาวไว้และร้องไห้ด้วยความกลัว และยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังทะเลด้วยความหวาดระแวง จูนสั่งให้น้องเฝ้าอธิษฐานกับพระเจ้าต่อไป และให้น้องร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอย่างที่ต้องการ ชุงเองลีร้องเพลงด้วยน้ำตานองหน้า “เมื่อมหาสมุทรพุ่งสูงขึ้นและท้องฟ้าคำราม ฉันจะทะยานสูงขึ้นเหนือพายุ โอ้พระบิดา พระองค์เป็นพระเจ้าเหนือผืนน้ำ ฉันจะสงบนิ่งเพราะรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า” เมื่อร้องเพลงนี้จบ จูนบอกว่า “ใช่แน่แล้ว! พระเจ้าพยายามจะบอกอะไรกับเราและพระองค์อยู่ด้วยกับเราตลอดเวลา พระองค์จึงดลใจให้น้องอยากจะร้องเพลงนี้เมื่อคืนนี้” ชุงเองลีเห็นด้วยกับพี่สาวทุกอย่าง ความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและสงบลง เธอยังคงยืนกอดเสาต้นหนึ่งไว้ ในขณะที่จูนเดินไปให้กำลังใจแก่คนอื่นๆ ด้วยการอธิษฐานกับเขา เพื่อเขาจะรู้จักกับพระเยซูคริสต์และบอกเขาว่าพระองค์จะช่วยให้เขาปลอดภัย หลายคนซาบซึ้งในการกระทำของเธอและอธิษฐานต้อนรับพระเยซูคริสต์ที่นั่น คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็ดูสงบลงได้ ไม่มีคลื่นระลอกสาม น้ำทะเลได้ลดลงแล้ว และหน่วยกู้ภัยได้ออกติดตามช่วยเหลือผู้ประสบภัย รถพยาบาลนำชุงเองลีไปส่งโรงพยาบาลเพราะบาดแผลลึกจนเดินไม่ได้ ทั้งเมืองโกลาหลวุ่นวายไปหมดรวมทั้งที่โรงพยาบาลด้วย ชุงเองลีจึงไม่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีนัก เพียงแต่รับพลาสเตอร์ยามาเท่านั้น แต่ทั้งสองพี่น้องก็ไม่เพิกเฉยที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่โรงพยาบาลเท่าที่จะทำได้ และยังใช้โอกาสนั้นอธิษฐานกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บด้วย ที่โรงพยาบาลนี้

จูนได้ใช้โทรศัพท์สาธารณะติดต่อไปหาอาจารย์เวอร์น่อน ฟอลส์ที่อเมริกาเพื่อแจ้งข่าวและขอการอธิษฐานเผื่อ และเธอโทรศัพท์สำเร็จโดยความช่วยเหลือของหญิงไทยที่รอดชีวิตมาด้วยกันและคนท้องถิ่นอีกหลายคนที่ช่วยกันหาเหรียญให้จูนใช้โทรศัพท์ เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล ชุงเองลีไม่มีรองเท้าใส่ ร้านรวงปิดหมด แต่ก็มีคนท้องถิ่นให้รองเท้าแตะมาหนึ่งคู่โดยไม่คิดเงิน ขณะนั้น มีผู้คนกำลังวิ่งหนีอะไรกันมาอย่างจ้าละหวั่นอีกครั้งหนึ่ง เสียงรถหวอและเสียงตำรวจประกาศดังลั่นเป็นภาษาท้องถิ่น เมื่อเห็นพี่น้องคู่นี้ ตำรวจได้บอกว่าอาจจะเกิดแผ่นดินไหวระลอกสองตามมา ให้ทุกคนขึ้นไปอยู่บนเขา ทั้งสองคนจึงรีบไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน และได้โบกเรียกรถแวนคันหนึ่ง ซึ่งคนขับได้พามาส่งที่เชิงเขาโดยไม่ยอมรับเงิน ทั้งคู่ค่อยๆ เดินขึ้นเขาไป ตลอดทางมีคนจำนวนมากนั่งเรียงรายอยู่ตามทางเดินและในป่าบนเขา วันนั้นอากาศร้อนมาก ทั้งสองคนอยากจะพักและต้องการที่สำหรับอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วทั้งคู่ก็มาถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่บนหน้าผา ทั้งคู่หาที่นั่งพักได้ในซอยหลังบ้าน จุดนี้สามารถมองลงไปเห็นทะเล ชุงเองลีรู้สึกขยาดกับทะเลเบื้องล่าง เธอไม่เคยคิดเลยว่าธรรมชาติที่เคยสงบนิ่งสวยงามจะกลายเป็นความดุร้ายน่าสะพรึงกลัวไปได้ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เป็นผลงานของผีมารซาตานซึ่งเลือกใช้เทศกาลวันหยุดยาวคร่าชีวิตของผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก เธอทั้งร้องไห้และอธิษฐานในเวลาเดียวกันด้วยความกลัวว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอีก จูนคิดว่าน่าจะลองขออนุญาตเจ้าของบ้านใช้โทรศัพท์เพื่อโทร. หาอาจารย์เวอร์น่อน ฟอลส์อีกสักครั้ง ทั้งคู่ยังมีเงินสดและพาสปอร์ตติดตัวอยู่ในกระเป๋าคาดเอว และจะสามารถรับผิดชอบค่าโทรศัพท์ได้ อัศจรรย์อย่างยิ่ง ที่เจ้าของบ้านไม่เพียงแต่ยอมให้ใช้โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังเชื้อเชิญทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน หาอาหารมาให้กิน ให้อาบน้ำ ให้เสื้อผ้า ให้ผ้าห่มสะอาด และให้แม้แต่เบาะนอนและหมอนเพื่อทั้งคู่จะพักอย่างสบาย โดยเจ้าของบ้านไม่ยอมรับเงินเลย ทั้งสองคนสังเกตเห็นว่ามีตนเท่านั้นที่ได้รับความจุนเจืออย่างอัศจรรย์เช่นนั้น คนที่เหลือทั้งหมดได้แค่อยู่ข้างนอกเพื่อรอความช่วยเหลือที่จะมาถึง

นอกจากนั้น จูนรู้สึกได้ว่าพระเจ้าได้นำเธอและน้องสาวมาที่บ้านนี้เมื่อเธอสังเกตเห็น ว่าเสื้อยืดคอกลมที่เจ้าของบ้านนำมาให้ใส่นั้นมีรูปนกอินทรีซึ่งสื่อถึงข้อ พระคัมภีร์ที่เธอชื่นชอบในพระธรรมอิสยาห์ 40:30-31 ซึ่งกล่าวว่า “แม้คนหนุ่มจะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลง แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย” จูนขอบคุณพระเจ้าผู้จัดเตรียมทุกสิ่ง พระองค์รู้ว่าจะดูแลมนุษย์ซึ่งประเสริฐกว่าเหล่านกน้อยใหญ่อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พักพิง และการปลอบโยน เวลาผ่านไปจนถึง 6 โมงเย็น ไม่มีแผ่นดินไหวระลอกสองอย่างที่คนกลัว มีข่าวว่าสนามบินภูเก็ตเปิดแล้ว จูนคิดว่าควรจะหาทางออกจากเกาะภูเก็ต แต่ก็อยากจะรอให้พระเจ้าบอกว่าควรจะทำอย่างไร ทั้งสองคนจึงร่วมกันอธิษฐานต่อไป แล้วชุงเองลีก็รู้สึกได้ว่าพระเจ้าบอกว่าทั้งสองคนจะได้ออกไปจากเกาะภูเก็ตภายในคืนนั้น ซึ่งความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทุกอย่างยังคงโกลาหลอลหม่านและไม่มีทางที่จะติดต่อกับสนามบินภูเก็ตเพราะระบบโทรศัพท์ยังใช้การไม่ได้ และหากแม้จะไปสนามบินได้ อะไรจะเกิดขึ้นหากมีคลื่นยักษ์ระลอกสามเพราะสนามบินตั้งอยู่ใกล้ทะเล แต่อยู่บนเขานี้ก็ไม่ใช่จะปลอดภัยหากเกิดแผ่นดินไหว ทั้งสองคนจึงอธิษฐานว่าหากพระเจ้าเห็นว่าทั้งสองคนควรจะออกไปจากภูเก็ตคืนนั้น ขอพระองค์ยืนยันน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยการให้อาจารย์เวอร์น่อนโทรศัพท์มาที่บ้านหลังนั้น และทั้งสองคนก็อธิษฐานกับพระเจ้าต่อไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 ทุ่มคืนนั้น มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นและผู้ที่โทรศัพท์มาคืออาจารย์เวอร์น่อน ท่านบอกว่าท่านอธิษฐานกับพระเจ้าและรู้สึกเช่นเดียวกันว่าพระเจ้าต้องการให้ทั้งคู่ออกไปจากภูเก็ตภายในคืนนั้น ทั้งสองพี่น้องจึงขอให้ลูกชายเจ้าของบ้านขับรถไปส่งที่สนามบินภูเก็ตทันที เมื่อไปถึงสนามบินภูเก็ตประมาณเที่ยงคืนครึ่ง มีคนไม่มากที่นั่น และดูเหมือนไม่มีใครเป็นเหยื่อของคลื่นยักษ์เลยนอกจากพี่น้องคู่นี้ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคน มีเที่ยวบินจะเข้ากรุงเทพฯ ภายในอีกครึ่งชั่วโมง พี่น้องมองหน้ากันและซื้อตั๋วสองใบ แล้วก็มาถึงกรุงเทพฯ เวลาตีสาม แท้จริงแล้ว เที่ยวบินนี้กำหนดออกจากภูเก็ตเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบห้านาที. แต่ได้เลื่อนเวลาออกไปจนเลยเที่ยงคืน ทั้งสองคนแทบไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นไปได้และตนเป็นผู้ประสบภัยสึนามิสองคนแรกที่ได้ออกไปจากภูเก็ต ชุงเองลีกล่าวว่า “พระเจ้าได้จัดเตรียมเที่ยวบินนี้ไว้คอยท่าเราอย่างอัศจรรย์ นี่เป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่พระองค์ได้สอนเราว่าถ้าพระองค์สั่งให้เราทำอะไร ไม่ใช่หน้าที่ที่เราจะต้องคิดว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่จงปฏิบัติตามนั้น ทุกสิ่งเป็นไปได้ตามน้ำพระทัยของพระองค์” จูนกล่าวว่า “เรานมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์เป็นพระเจ้าผู้สมควรต่อการสรรเสริญอย่างแท้จริง” สองคนพี่น้องกลับถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เวลาเที่ยงวันของวันที่ 27 ธันวาคม 2004 โดยสวัสดิภาพ

คำส่งท้ายจากชุงเองลี “ขอบคุณพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงพระชนม์อยู่ พระคำของพระองค์เป็นจริงชั่วนิรันดร์ ดิฉันไม่รู้สึกขมขื่นใจที่ได้เผชิญกับภัยพิบัตินี้ แต่กลับเข้มแข็งขึ้นและจิตวิญญาณของเราได้พุ่งทะยานขึ้นสูงกว่าคลื่นยักษ์ที่เราได้ประสบมา” คำส่งท้ายจากจูน “เราสองคนพี่น้องเป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่ได้วิเศษกว่าคนอื่น แต่เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่าพระองค์รักท่านทุกคนไม่ว่าท่านจะรู้จักพระองค์หรือไม่และพระองค์ทรงรู้ว่าท่านกำลังเผชิญกับปัญหาอะไร ท่านที่รัก หากท่านยังไม่รู้จักและไม่มีประสบการณ์กับพระเยซูคริสต์เป็นการส่วนตัว ดิฉันขอเชิญชวนท่านให้เปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นเพื่อนและเป็นพระผู้ไถ่บาปของท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระเจ้า และสวรรค์คือบ้านที่แท้จริงของท่าน”

  • จูนและชุง เอง ลี ชาวมาเลเซีย