ภาษาเดิมสำคัญไฉน
คำถาม: การแปลพระ คัมภีร์และการอธิบายพระคัมภีร์ต้องยึดหลักจากภาษาเดิมด้วยหรือไม่ อย่างไร?
คำตอบ: สำหรับ คำถามช่วงแรกนั้น ตอบได้เลยว่าต้องยึดหลักจากภาษาเดิมแน่นอน
เพราะว่าพระคัมภีร์เขียนโดยใช้ภาษาฮีบรูและภาษากรีก ผู้เขียนต้องการสื่อความจริงโดยสองภาษานี้ที่พวกเขาคุ้นเคย ภาษาทั้งสองมีความแตกต่างกับภาษาไทยอย่างแน่นอน คนที่ใช้ภาษาทั้งสองก็มีวัฒนธรรมและสภาพเบื้องหลังที่ต่างจากคนไทย คำหรือข้อความที่เขาเขียนนั้นอาจมีความหมายต่างจากคำไทย แม้จะเป็นคำที่เหมือนกัน เช่น เมื่อเปาโลกล่าวว่าให้ทาสเชื่อฟังนาย (อฟ.6:5) ทาสในสังคมโรมันและโดยเฉพาะสังคมยิวในสมัยนั้นแตกต่างจากทาสในสังคม ไทยสมัยก่อนมาก ทาสของพวกเขาเป็นชนชั้นในสังคมที่ไม่มีสิทธิในการเป็นเจ้าของตัวเอง แต่ไม่ใช่ชนชั้นต่ำที่ทำงานต่ำต้อยและถูกดูหมิ่นเสมอไปดังเช่นในสังคมไทย ทาสในสังคมโรมันหรือยิวมีบทบาทหลากลายในบ้านนายหรือในสังคม ทาสบางคนมีอำนาจหน้าที่เป็นผู้ดูแลหรือจัดการบ้านแทนนายของตนเอง ทาสของทางราชการบางคนเป็นหมอ บางคนทำหน้าที่แทนข้าราชการเมื่อจำเป็น บางคนทำหน้าที่เหมือนตำรวจของทางการ ทาสจำนวนไม่น้อยจึงเป็นคนที่สังคมให้ความเคารพนับถือ นอกจากนี้พวกเขามีอิสระพอควรที่จะนับถือศาสนาหรือร่วมกิจกรรมทางศาสนาโดย เฉพาะในสังคมยิว
บางครั้งคำในภาษาเดิมบางคำไม่สามารถหาคำแปลที่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้ กัน จึงมีการหาคำที่มีส่วนคล้ายกันบ้างมาแปล เช่น ในสดุดี 2:2 “…ต่อสู้ พระเจ้าและผู้รับการเจิมของพระองค์” “ผู้รับการเจิม” แปล จากคำว่า “เมสสิยาห์” ในภาษาเดิมซึ่งในที่นี้ หมายถึงกษัตริย์ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้ง คำว่า “เมสสิยา” ในภาษาเดิมหมายถึงผู้ที่ได้รับการเทน้ำมันลงบนศีรษะเพื่อแต่งตั้งให้ เป็นปุโรหิต หรือกษัตริย์ หรือผู้เผยพระวจนะ (1 ซมอ.16:13) พิธีนี้ไม่มีในสังคมไทย จึงมีการหาคำที่มีส่วนคล้ายกันบ้างคือ “การเจิม” ที่มีนัยของพิธีกรรมมาแปลคำว่า “เม สสิยาห์” แต่คำว่า “เจิม” ในภาษา ไทยแปลว่า การเอาแป้งหอมแต้มเป็นจุดๆ ที่หน้าผากหรือบนสิ่งที่ต้องการให้เป็นสิริมงคง (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน) ฉะนั้นผู้รับการเจิมตามความหมายในภาษาไทยคือผู้ที่ได้รับการเอาแป้งหอมแต้ม ที่หน้าผากเพื่อให้มีสิริมงคล จะเห็นว่าในภาษาไทยคำนี้แตกต่างทั้งรูปแบบและเป้าหมายของพิธีกรรมจากภาษา เดิม สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือตัวอย่างที่ให้เห็นว่าการแปลหรือการอธิบายพระ คัมภีร์นั้นจำเป็นต้องยึดภาษาเดิมเป็นหลัก ไม่เช่นนั้นเราอาจเข้าใจความหมายของผู้เขียนผิดไป
ส่วนคำถามที่สองคือจะยึดอย่างไร? คงหมายความว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วเราต้องรู้ภาษากรีกและฮีบรูหรือไม่? คำถามนี้ ขอแบ่งตอบเป็นสองส่วนคือการแปลและการอธิบายพระคัมภีร์
การแปลพระคัมภีร์
การแปลพระคัมภีร์นั้นโดยปกติย่อมจะต้องเกี่ยวข้องกับภาษาเดิม ฉะนั้นหากผู้แปลมีความรู้ภาษาเดิมย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้แปลทุกคนของทุกภาษาต้องรู้ภาษาเดิม บางครั้งก็อาจแปลจากพระคัมภีร์ฉบับแปลมาตรฐานในภาษาอื่นๆ เช่น ฉบับแปลภาษาอังกฤษ นอกจากนั้น หลักการแปลในปัจจุบันจะเน้นการทำงานเป็นทีม เพราะการหาคนที่มีความรู้ภาษากรีก ฮีบรู และภาษาท้องถิ่นอย่างดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงมีการแบ่งงานกันทำ โดยอาจมีบางคนแปลจากภาษาอื่นๆ และบางคนที่รู้เรื่องภาษาเดิมคอยช่วยตรวจสอบความถูกต้อง ถึงกระนั้นการรู้ภาษาเดิมอย่างมากและละเอียด ยิ่งหาได้ยาก โดยปกติผู้ที่รู้ภาษาเดิมยังต้องอาศัยคู่มือต่างๆ ของกลุ่มนักวิชาการที่ค้นคว้าในเรื่องรายละเอียดและความหมายของคำต่างๆ ในภาษาเดิม
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดของการแปลพระคัมภีร์คือการยึดความหมายของภาษาเดิมแล้วแปลให้ ถูกต้องและชัดเจน รองลงมาจึงเป็นการแปลให้อ่านง่าย สละสลวยและน่าฟัง เพราะถ้าแปลโดยไม่ยึกหลักของภาษาเดิมแล้ว สิ่งที่แปลออกมาอาจไม่ใช่ความหมายของพระคัมภีร์แต่เป็นความคิดของผู้แปลเอง
การอธิบายพระคัมภีร์
ส่วนการอธิบายพระคัมภีร์นั้น โดยปรกติพระคัมภีร์ฉบับแปลมาตรฐานต่างๆ ย่อมแปลได้ถูกต้องและใกล้เคียงกับภาษาเดิมทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านด้วยความ มั่นใจ ภาษาไทยก็เช่นกัน ผู้อธิบายจึงไม่จำเป็นต้องรู้ภาษาเดิม แต่สามารถทำความเข้าใจและอธิบายโดยใช้ฉบับภาษาไทย ถึงกระนั้นสิ่งที่ไม่มีคำแปลที่เหมือนหรือใกล้เคียงก็มีไม่น้อย ดังตัวอย่างที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้น การหาพระคัมภีร์ฉบับศึกษา (เช่น ฉบับศึกษาที่ผลิตโดยสมาคมฯ) หรือคู่มือที่อธิบายพระคัมภีร์ช่วย จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้อธิบาย แต่อย่างไรก็ตามต้องบอกตัวเองเสมอว่า ต้องอธิบายโดยยึดความหมายของภาษาเดิมเป็นหลัก ถ้าส่วนไหนไม่แน่ใจ ให้ตรวจสอบกับคู่มือที่ให้คำอธิบาย
- อ.ทองหล่อ วงศ์กำชัย
- ภาพ Racool_Studio – Freepik.com