“มั่นใจ หรือ ไว้วางใจ” 2/16

“มั่นใจ หรือ ไว้วางใจ”

คำถาม จากพระธรรมฮีบรู10:35 ฉบับมาตรฐานมีเนื้อความว่า “เพราะฉะนั้น อย่าละทิ้งความไว้วางใจของท่าน อันจะนำมาซึ่งบำเหน็จยิ่งใหญ่” มีผู้เห็นว่าทางสมาคมฯ น่าจะปรับแก้คำว่า“ความไว้วางใจ” เป็น “ความมั่นใจ” เพื่อให้ได้คำแปลตรงกับคำว่า “confidence” ในพระคัมภีร์อังกฤษหลายฉบับ และเพื่อจะเป็นการแปลคำกรีกคำเดียวกันอย่างเสมอต้นเสมอปลายเช่นในพระธรรม 1 ยอห์น 3:21; 4:17; 5:14 ที่แปลว่า “ความมั่นใจ” ทางสมาคมฯ คิดเห็นอย่างไร?

คำตอบ ทางสมาคมฯ ขอขอบคุณท่านผู้อ่านที่นำเสนอข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์มายังเรา และต้องขออภัยท่านด้วยที่ตอบสนองความเห็นของท่านช้า เพราะต้องทยอยตอบคำถามของหลายท่าน นอกจากนี้ยังต้องขออภัยด้วยในบางกรณีที่เราอาจไม่ได้ทำตามที่ท่านเสนอมา อย่างไรก็ดีทางสมาคมฯ ไม่ได้เพิกเฉยต่อความคิดเห็นของท่าน แต่ยินดีนำมาพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจกันว่า พระคริสต-ธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน 2011 นั้นไม่ได้แปลมาจากพระคัมภีร์อังกฤษ แต่แปลจากสำเนาต้นฉบับภาษาเดิม (อันได้แก่ ภาษาฮีบรู ภาษาอาราเมค และภาษากรีก) โดยเทียบเคียงคำแปลกับฉบับมาตรฐานฉบับก่อนๆ ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ที่บางตอนไม่ตรงกับฉบับอังกฤษ อย่างไรก็ดีเพื่อตอบคำถามข้างต้น ก็จะขอตอบในมุมต่างๆ ดังนี้

. ความหมายตามดิกชันนารี

เมื่อพิเคราะห์ดูความหมายของคำ“confidence” ในพจนานุกรมอังกฤษ-ไทยและพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ เราพบความหมายหลากหลายอย่าง เช่น ความไว้วางใจ ความมั่นใจ(Loy’s English-Thai Dictionary), ความเชื่อมั่นความไว้ใจ (Modern English-Thai Dictionary),ความเชื่อมั่น ความไว้ใจ ความเชื่อถือ (English-Thai Nontri Dictionary), ความไว้วางใจ ความมั่นใจ ความลับ (พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย ของ สอเสถบุตร) เป็นต้น ดังนั้น เราพบว่า “confidence” มิใช่แปลได้อย่างเดียวว่า ความมั่นใจ แต่อาจแปลว่า ความไว้วางใจ ด้วยก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะเห็นว่าฉบับมาตรฐานไม่ได้แปลต่างจากฉบับอังกฤษ เพราะ“confidence” ยังแปลได้อีกว่า “ความไว้วางใจ”

. ความหมายตามพจนานุกรมไทย

เรามาถึงคำถามด้านภาษาไทยว่า ความไว้วางใจ กับ ความมั่นใจนั้น เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? เพื่อให้เห็นภาพ ก็ขอยกเรื่องเล่าสองเรื่องมาเปรียบเทียบดังนี้

เรื่องที่หนึ่ง แม่กับลูกสาว ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกสาวเมื่อตัวเองอายุ35 ปี ต่อมาลูกอายุได้ 5 ขวบขณะยืนบนบันได แม่เรียกให้ลูกโดดลงมาแล้วแม่จะรับ ลูกสาวมองดูแม่ ลังเลนิดหนึ่ง แล้วโจนลงมาจากบันได แม่ก็รับเธอไว้มากอดแนบอก ลูกสาวมั่นใจว่าแม่รับเธอได้ และวางใจว่าแม่รักเธอ แม่จะไม่ปล่อยให้อันตรายเกิดกับเธอแน่นอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีก 10 ปี ลูกสาวอายุ 15 ปี เธอย่างเข้าสู่วัยรุ่น ขณะที่แม่ย่างเข้าวัยชราอายุ 50 ปี แล้วในวันหนึ่ง เหตุการณ์คล้ายกันนั้นก็เกิดขึ้นอีกลูกสาวอยู่บนบันได แม่อยู่เชิงบันได แม่ร้องเรียกให้ลูกโดดลงมา ลูกมองดูแม่ ลังเลนิดหนึ่งแล้วค่อยๆเดินลงบันไดมาหาแม่ ขณะที่แม่กำลังร้องไห้เสียใจที่ลูกไม่วางใจเธอลูกเองก็ร้องไห้กอดแม่แน่น แล้วบอกว่า “หนูรักแม่ หนูรู้ว่าแม่รักหนู หนูวางใจในความรักของแม่เสมอ แต่ครั้งนี้หนูไม่มั่นใจว่าแม่จะรับหนูได้ หนูกลัวว่า หนูจะทำให้แม่บาดเจ็บ”

สรุปเรื่องที่หนึ่ง ในเรื่องที่ยกมานั้น เราพบว่า ลูกสาววางใจในความรักของแม่เสมอไม่ว่าตอนเธออายุ5 ขวบ หรือ อายุ 15 ปี แต่เมื่อแม่อายุมากขึ้นเธอเริ่มไม่มั่นใจในความสามารถของแม่ว่าจะรับเธอได้เหมือนแต่ก่อน เมื่ออ่านดูแล้ว ก็จะเห็นว่า ความรักของแม่แตกต่างจากความสามารถของแม่ และ“วางใจ” กับ “มั่นใจ” ก็ต่างกันด้วยนั่นคือเธอไว้วางใจแม่ เธอวางใจในความรักของแม่แต่เธอไม่มั่นใจในความสามารถของแม่1

เรื่องที่สอง นักกายกรรมไต่ลวด นักกายกรรมคนหนึ่งนำลวดมาขึงเหนือน้ำตกจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งสูงจากพื้นดินมาก แล้วเขาก็เดินไปมาบนเส้นลวดนั้น นั่นทำให้คนข้างล่างตกใจมาก เพราะกลัวเขาจะตกลงมา แต่เขาก็เดินได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย หลังจากนั้น เขาก็เปลี่ยนมาเข็น รถเข็นล้อเดียวบนเส้นลวดนั้นเขาเข็นไปมาอย่างทะมัดทะแมง คนที่เฝ้าดูรู้สึกทึ่งและหวาดเสียว แต่เขาก็ทำได้สำเร็จ แล้วเขาตะโกนถามคนที่อยู่ข้างล่างว่า“คุณเชื่อมั้ยว่า ผมเดินบนเส้นลวดนี้ได?้ ” พวกเขาตอบว่า “เชื่อ” นักกายกรรมถามต่อว่า “คุณเชื่อมั้ยว่า ผมเข็นรถเข็นนี้บนเส้นลวดได้?” พวกเขาก็ตอบว่า “เชื่อ” ดังนั้น เขาจึงร้องขอสักคนหนึ่งมานั่งบนรถเข็นล้อเดียวนี้แล้วเขาสัญญาว่าจะพาไปส่งอีกฟากหนึ่งอย่างปลอดภัย แต่ไม่มีใครอาสาเลยสักคนเดียว

สรุปเรื่องที่สอง เรื่องนี้ทำให้เรามองเห็นความแตกต่างระหว่างความเชื่อกับความไว้วางใจ หลายคนเชื่อหรือมั่นใจเพราะเห็นกับตาว่านักกายกรรมเดินบนเส้นลวดได้ หรือเข็นรถเข็นล้อเดียวบนเส้นลวดได้ แต่ไม่มั่นใจว่าเขาจะพาผู้อื่นไปด้วยได้เพราะยังไม่เคยเห็นความไม่มั่นใจนั้นทำให้ไม่ไว้วางใจนักกายกรรมว่าจะสามารถพาตนไปถึงอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัยจึงไม่มีใครกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเขาโดยปกติ การมีประสบการณ์จะนำไปสู่ความเชื่อหรือมั่นใจ และความมั่นใจนำไปสู่ความวางใจ2และความวางใจนำไปสู่ความกล้าหาญ (การไม่กลัว) แต่ในบางกรณี การไม่มีประสบการณ์แต่มีความเชื่อก็จะนำไปสู่การวางใจและการวางใจนำไปสู่ความกล้าหาญ(การไม่กลัว)3 ในทางตรงข้ามหากไม่มั่นใจก็จะไม่วางใจ และที่สุดก็จะกลัวจากพจนานุกรมไทยและหนังสือคลังคำของดร.นววรรณ พันธุเมธา เราพอสรุปได้ว่า

1. มั่นใจ = แน่ใจ = เชื่อ
2. ไว้ใจ = วางใจ = ไว้วางใจ = เชื่อใจ

ข้อสังเกตการใช้คำในภาษาไทย

1. มั่นใจ

  • อาจใช้กับตัวเองหรือใช้กับผู้อื่นก็ได้ มักพุ่งความสนใจไปที่ความรู้และความสามารถ ยกตัวอย่าง สมจิตมั่นใจตัวเองมาก สมจิตมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้ หรือ สมจิตมั่นใจว่าสมปองทำงานนี้ได้ หากมั่นใจตัวเอง ก็จะกล้า ไม่กลัว ในการทำสิ่งใดๆ
  • นอกจากนี้ เรามีวลี“เชื่อมือ” เช่น สมจิตเชื่อมือสมปอง ซึ่งหมายความว่า สมจิตเชื่อในความสามารถของสมปอง และมั่นใจการปฏิบัติงานของเขา. เราอาจกล่าวว่า สมจิตวางใจสมปองในเรื่องความสามารถทำบางสิ่งบางอย่าง
  • เรายังมีอีกวลีหนึ่งคือ “เชื่อใจ” ซึ่งหมายถึง ไว้วางใจ ยกตัวอย่าง เธอไม่เชื่อใจสามี ซึ่งน่าจะหมายความว่า เธอไม่มั่นใจในความซื่อสัตย์ของสามี เป็นต้น

2. วางใจ

  • ใช้กับผู้อื่นมากกว่า เราไม่ค่อยพูดว่า ฉันวางใจตัวเอง แต่พูดว่า ฉันวางใจเขา คำ“วางใจ” พุ่ง ความสนใจไปที่คุณธรรมของบคุ คลและอาจไปที่ความสามารถด้วย ยกตัวอย่าง
    • แม้อยู่ห่างกันแต่สมหมายก็ยังวางใจ/เชื่อใจสมศรีเสมอนั่นหมายความว่า สมหมายวางใจในความซื่อสัตย์ของสมศรีว่าจะไม่ปันใจให้ชายอื่น ดังนั้นสมหมายจึงไม่กังวล
    • เจ้านายไว้วางใจมอบหมายงานสำคัญให้เขาทำนั่นหมายความว่า เจ้านายเชื่อว่าเขาสามารถทำงานสำคัญให้สำเร็จได้ด้วยดี
  • ช้เรียกความมั่นใจจากผู้อื่นมาที่ผู้พูด ยกตัวอย่าง คุณวางใจได้, ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังดังนั้นหากเราเปรียบเทียบคำแปลระหว่าง“อย่าละทิ้งความมั่นใจ” กับ “อย่าละทิ้งควาใจ”ลอยๆ โดยไม่มีบริบท ก็จะพบว่า “ความมั่นใจ” หากไม่มีเนื้อความขยายแล้วก็ไม่ชัดเจนว่าหมายถึงความมั่นใจในตัวเองหรือในผู้อื่นสิ่งอื่น แต่ “ความวางใจ” มักนำความคิดของเราไปยังผู้อื่นหรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเอง ดังนั้นความชัดเจนถือเป็นประเด็นสำคัญอันหนึ่งในการเลือกว่าจะใช้คำแปลใด

. ความหมายในภาษากรีก

คำกรีกที่เป็นประเด็นในข้อนี้คือ παρρησίαปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่31 ครั้ง 4 ในความหมายต่างๆ ตามที่ปรากฏในพจนานุกรมภาษากรีก 5 ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้คือ

  • เกี่ยวกับการพูด
    • พูดอย่างเปิดเผย(ไม่ปิดบัง, ในที่ชุมชน)เช่น มาระโก 8:32; ยอห์น 7:13,26; 18:20
    • พูดอย่างแจ่มแจ้ง(ไม่คลุมเครือ ไม่ใช้อุปมาหรือเรื่องเปรียบเทียบ) เช่น ยอห์น 16:25,29
    • พูดตรงๆ(ไม่อ้อมค้อม) เช่น ยอห์น10:24; 11:14
    • พูดอย่างกล้าหาญ เช่น กิจการของอัครทูต4:29,31; 28:31; 2 โครินธ์ 3:12
  • เกี่ยวกับท่าทีในใจ
    • ความกล้าหาญ เช่น กิจการของอัครทูต4:13 (แสดงออกมาในการพูด); ฮีบรู 4:16; 10:19 (แสดงออกโดยการเข้าเฝ้าพระเจ้าในสถานศักดิ์สิทธิ์)
    • ความไว้ใจ, ความไว้วางใจ เช่น 2 โครินธ์7:4; ฮีบรู 10:35
    • ความมั่นใจ เช่น1 ยอห์น 2:28; 3:21;4:17; 5:14
  • เกี่ยวกับการกระทำที่โดดเด่นในที่ชุมชน
    • การปรากฏตัวอย่างเปิดเผย เช่น ยอห์น7:4; 11:54
    • การประจาน เช่น โคโลสี2:15อย่างไรก็ดี ความหมายของคำในพระคัมภีร์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยพจนานุกรมเท่านั้น แต่กำหนดโดยบริบทหรือเนื้อความแวดล้อมของพระคัมภีร์ตอนนั้นๆด้วยไม่ว่าจะเป็นบริบทวงกว้างหรือวงแคบก็ตาม เราจึงต้องถามต่อไปว่า แล้วในบริบทของพระธรรมฮีบรู ควรใช้คำใดจึงจะเหมาะ?

. ความหมายในบริบทของพระธรรมฮีบรู

เราไม่ทราบชัดเจนว่าผู้เขียนและผู้รับพระธรรมฮีบรูคือใคร แต่จากเนื้อหาของพระธรรม6 เราทราบว่าผู้เขียนมีความรู้อย่างดีเกี่ยวกับภาษากรีกศาสนพิธีของคนยิว ผู้เขียนอ้างอิงพระคัมภีร์เดิมฉบับกรีกไว้ในพระธรรมฮีบรูหลายตอน ส่วนผู้รับจดหมายฮีบรูน่าจะเป็นคนยิวที่เชื่อพระเยซู แต่พบการกดขี่ข่มเหงอย่างหนักจึงคิดจะละทิ้งพระองค์ เพื่อกลับไปสู่ทางเดิมคือการรักษาธรรม-บัญญัติของบรรพบุรุษ จดหมายฮีบรูเขียนขึ้นเพื่อ 1. หนุนใจให้พวกเขายืนหยัดความเชื่อในพระเยซูต่อไปจนถึงที่สุดเพราะพระเยซูทรงเหนือกว่าทูตสวรรค์ เหนือกว่าโมเสสและโยชูวา เหนือกว่าอาโรนมหาปุโรหิต เครื่องบูชาของพระองค์ก็สมบูรณ์แบบกว่าของอาโรน พระเยซูทรงเป็นผู้เชื่อมโยงเราเข้ากับพระเจ้า เราสามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ทางพระองค์เท่านั้น2. เตือนสติพวกเขาถึงหายนะอันใหญ่หลวงหากเขาละทิ้งพระคริสต์เพื่อหาความหมายของคำ παρρησίαในพระธรรมฮีบูร เราจำเป็นต้องศึกษาการใช้คำนี้ในบริบททั้งวงกว้างและวงแคบ เพื่อเข้าใจว่าผู้เขียนตั้งใจใช้คำนี้ในความหมายอย่างไรบ้าง เราพบว่าคำนี้ปรากฏสี่ครั้งในพระธรรมฮีบรู7

 ฮีบรู 3:6 “แต่พระคริสต์นั้นทรงซื่อสัตย์ในฐานะพระบุตร ผู้อยู่เหนือชุมชนของพระเจ้า และเราก็เป็นชุมชนนั้นหากเพียงแต่เราจะยึดความมั่นใจและความภูมิใจในความหวังนั้นไว้” ดู คำอธิบายที่ เชิงอรรถท้ายเรื่อง 7 ลำดับที่ 4

 ฮีบรู 4:16 “ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ” บริบทของข้อนี้ได้แก่ ข้อ 14-16 ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูอธิบายว่าเนื่องจากคริสตชนยิวและตัวท่านเองมีพระเยซูผู้เป็นมหาปุโรหิตที่เห็นใจในความอ่อนแอของพวกเขา พวกเขาก็ควรทำสองสิ่งคือ หนึ่ง ยึดมั่นในหลักความเชื่อที่ประกาศรับไว้ดู ฮีบรู 3:1; 10:23 และ สอง กล้าเข้าไปถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ (ซึ่งน่าจะหมายความว่า กล้าเข้าเฝ้าพระเจ้าอย่างใกล้ชิดอย่างเดียวกับที่มหาปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้าในห้องอภิสุทธิสถาน) คำπαρρησίαในที่นี้น่าจะแปลว่า“ความกล้า”เพราะโดยปกติ ไม่มีคนยิวคนใดจะกล้าเข้าเฝ้าพระเจ้าในห้องอภิสุทธิสถานเนื่องจากเขาไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้นตามธรรมบัญญัติ แต่ผู้เชื่อพระคริสต์กล้าเข้าใกล้ชิดพระเจ้าอย่างนั้นทางพระเยซู

ฮีบรู10:19 “เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายเมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์โดยพระโลหิตของพระเยซู”

คำสันธาน“เพราะฉะนั้น” ในข้อ 19 แสดงความเชื่อมโยงเนื้อความก่อนซึ่งเป็นเหตุเข้ากับเนื้อความตอนนี้ซึ่งเป็นผลหากพิจารณาคร่าวๆ ข้อ10, 14, 19 และ 21 เป็นเหตุ ส่วนข้อ 22-25 เป็นผล โดยสังเกตวลี “ให้เรา…” กล่าวคือ

เหตุ: ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์, มีใจกล้าเข้าเฝ้าพระเจ้า, มีปุโรหิตใหญ่

ผล: ให้เราเข้าเฝ้าพระเจ้าอย่างใกล้ชิด ให้เรายึดหลักความเชื่อแห่งความหวังที่ประกาศรับไว้ให้เราปลุกใจกันให้รักและทำความดี อย่าขาดการประชุม หนุนใจกันเพราะเวลาของพระคริสต์มาใกล้แล้ว

คำπαρρησίαในที่นี้น่าจะแปลว่า“ใจกล้า” เพราะเกี่ยวข้องกับการเข้าเฝ้าพระเจ้าในสถานศักดิ์สิทธิ์ (ซึ่งน่าจะหมายถึง อภิสุทธิสถาน)เหตุผลในการแปลก็คล้ายๆ กับ ฮีบรู 4:16

ฮีบรู10:35 “เพราะฉะนั้น อย่าละทิ้งความไว้วางใจของท่าน อันจะนำมาซึ่งบำเหน็จยิ่งใหญ่” คำ παρρησίαในข้อนี้ แปลว่า“ความไว้วางใจ” เป็นคำแปลที่ดีและเหมาะแล้วหรือ? หากพิเคราะห์บริบทวงแคบคือ ข้อ 32-39 เราพบว่าตอนนี้เป็นคำกำชับและคำหนุนใจให้ผู้อ่านยืนหยัดในความเชื่อต่อไปจนถึงที่สุดดังนั้น คำกรีกนี้อาจแปลว่า “ความกล้าหาญ”(boldness หรือ courage) ซึ่งตามบริบทหมายถึงความกล้าเผชิญการกดขี่ข่มเหง กล้าเผชิญความยากลำบาก กล้าเผชิญการสูญเสียทรัพย์สินและอิสรภาพอันเนื่องมาจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้า (ดู มัทธิว 5:12 ประกอบ) พระคัมภีร์อังกฤษที่สนับสนุนการแปลอย่างนี้ ได้แก่ ASV, NCV,TS2009 และ YLT

หรือ อาจแปลว่า “ความเชื่อ” ดูข้อ38-39หรือ “หลักความเชื่อ” ดู ข้อ 23หรือ อาจแปลว่า “ความไว้วางใจ” (confidence)ซึ่งน่าจะหมายถึง ความวางใจในพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาของพระองค์ (ข้อ 23)

หรือ อาจแปลว่า “ความมั่นใจ” แต่ไม่ใช่ความมั่นใจในตัวเอง หากแต่เป็นความมั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้าฉะนั้นถ้าเราแปลข้อนี้ว่า“…อย่าละทิ้งความมั่นใจของท่าน” โดยไม่มีคำขยายความก็จะมีจุดอ่อนคือมีแนวโน้มนำผู้อ่านเข้าใจคลาดเคลื่อนจากความหมายตามบริบท เพราะอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นความมั่นใจในตัวเองแทนที่จะเป็นความมั่นใจในพระเจ้าหรือในพระสัญญาของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ คำแปลว่า “ความไว้วางใจ”น่าจะสื่อ ความหมายได้ดีกว่า เพราะทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นความวางใจในพระเจ้า ดังนั้น คำแปลของฉบับมาตรฐานจึงน่าจะเหมาะสมแล้ว คือ “…อย่าละทิ้งความไว้วางใจ…” แม้ว่าคำ παρρησίαใน ฮีบรู10:35อาจแปลออกมาได้ต่างๆ ดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่ก็ยังต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมในเชิงอรรถฉบับศึกษาเพื่อขยายความให้เข้าใจชัดเจนแก่ผู้อ่าน อย่าลืมว่าπαρρησίαเป็นของล้ำค่า หากละทิ้งแล้วก็จะทำให้ขาดบำเหน็จ 8 การแปลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ดังนั้นผู้แปลจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะแปลความตั้งใจของผู้เขียนพระคัมภีร์ออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการแปลมีขีดจำกัด ไม่ว่าจะในเรื่องภาษาเดิมของพระคัมภีร์หรือภาษาไทย ตลอดจนถึงความเข้าใจภูมิหลังของพระคัมภีร์ ดังนั้นผู้รู้บางท่านบอกว่า“การแปลคือการทรยศ” หมายความว่าแปลเป็นการตีความและอาจตีความเบี่ยงเบนไปจากความตั้งใจของผู้เขียนโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ดีที่สุดคือไม่ต้องแปล แต่ถ้าไม่แปลแล้วก็ยากที่คนไทยจะอ่านพระคัมภีร์ในภาษาเดิมให้เข้าใจได้ดังนั้นการแปลจึงยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

เชิงอรรถท้ายเรื่อง
1 แต่หากเราปรับเปลี่ยนคำใหม่ว่าลูกสาวมั่นใจในความรักของแม่เสมอ แต่เวลานี้เธอไม่มั่นใจในความสามารถของแม่ว่าจะรับเธอได้ นั่นก็จะทำให้เห็นว่าลูกสาวมีทั้งความมั่นใจและความไม่มั่นใจในเวลาเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะพบว่า

1.ความรักต่างจากความสามารถ

2.“วางใจ” กับ “มั่นใจ” ไม่ได้ต่างกันในบริบทที่กำหนดขึ้นนี้เมื่อเราเปรียบเทียบสองประโยคคือ

ก. ลูกสาววางใจในความรักของแม่ และ ข.ลูกสาวมั่นใจในความรักของแม่
2 ยกตัวอย่าง เรื่องการคืนพระชนม์ของพระเยซู พระองค์ตรัสทำนายการสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์กับพวกสาวกล่วงหน้า(มธ.20:18-19) แต่เมื่อพวกอัครทูตได้ฟังคำพยานของพวกผู้หญิงว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตายแล้ว พวกเขากลับไม่เชื่อแต่เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล (ลก.24:11) เปโตรและยอห์นวิ่งไปที่อุโมงค์ฝังศพ เปโตรไปถึงทีหลังแต่เข้าไปข้างในอุโมงค์ก่อน เขาเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่ผ้าพันพระเศียรพับไว้ต่างหาก ยอหน์ เข้าไปทีหลังก็เห็นเช่นกันและเชื่อ (ยน.20:4-8) ต่อมาพระเยซูทรงปรากฏแก่พวกสาวกในค่ำวันอาทิตย์

หนึ่งและให้พวกเขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ พวกเขาจึงเชื่อและยินดี(ยน.20:20) พวกสาวกบอกโธมัส แต่เขาไม่เชื่อจนพระเยซูมาปรากฏและให้โธมัสพิสูจน์เขาจึงเชื่อและวางใจพระองค์ (ยน.20:24-28) พระเยซูตรัสว่า “เพราะท่านเห็นเรา ท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” (ยน.20:29) จากเรื่องราวข้างต้น เราพบว่า การเห็นหรือมีประสบการณ์ตรงนำไปสู่ความเชื่อหรือความมั่นใจและสู่ความวางใจ อย่างไรก็ดีพระเยซูตรัสว่าคนที่ไม่เห็นแต่ (ได้ยินเรื่องราวพระองค์และ) เชื่อก็เป็นสุข นั่นหมายความว่า คนที่ไม่ได้เห็นแต่ได้ยินและเชื่อก็เป็นสุขด้วยเหตุนี้อัครทูตยอหน์จึงบันทึกพระกิตติคุณเพื่อให้คนอ่านคนฟังมีความเชื่อและได้รับชีวิตนิรันดร์ (ยน.20:31) ดังนั้นจากพระคัมภีร์ข้างต้น เราพบว่า 1.การเห็นทำให้เชื่อหรือมั่นใจในคำตรัสของพระคริสต์ว่าเป็นความจริง 2. การไม่ได้เห็นแต่ได้ยินได้ฟังคำพยาน

ก็ทำให้เชื่อหรือมั่นใจได้เช่นกัน ดัง รม.10:17 ว่า “ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์”
3. ยกตัวอย่าง คนโรคเรื้อนสิบคนที่มาขอให้พระเยซูรักษาพวกเขา คนเหล่านั้นน่าจะไม่เคยพบหรือมีประสบการณ์กับพระองค์มาก่อนพวกเขามีความเชื่อและความวางใจพระองค์ ดังนั้น จึงกล้าทำตามคำสั่งของพระองค์โดยการไปปรากฏตัวต่อหน้าปุโรหิต ขณะเดินไป พวกเขาก็หายสะอาด (ลก.17:11-19)
4.ได้แก่ มก.8:32; ยน.7:4,13,26; 10:24; 11:14,54;16:25,29; 18:20; กจ.2:29; 4:13,29,31; 28:31; 2 คร.3:12; 7:4; อฟ.3:12; 6:19; ฟป.1:20; คส.2:15; 1 ทธ.3:13; ฟม.8; ฮบ.3:6; 4:16; 10:19,35; 1 ยน.2:28; 3:21; 4:17; 5:14
5. Thayer, Joseph Henry. “A Greek-English Lexicon of the New Testament”
6. เนื้อหามีลักษณะเหมือนการรวมคำเทศนาเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนมากกว่าลักษณะของจดหมาย ทั้งนี้เพราะพระธรรมฮีบรูไม่มีหัวจดหมาย แม้จะมีคำลงท้ายแบบจดหมายก็ตาม นอกจากนั้น เนื้อหาเป็นการบรรยายว่าพระเยซูทรงเป็นช่องทางที่พระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ในวาระสุดท้าย และทรงเป็นหนทางเดียวที่จะให้มนุษย์เข้าถึงพระเจ้าได้ และยังเปรียบเทียบพระเยซูกับทูตสวรรค์ กับโมเสส กับมหาปุโรหิต และกับระบบการถวายสัตวบูชา เพื่อให้ผู้อ่านสมัยแรกคือคริสตชนยิวมองเห็นว่าพระเยซูทรงสมควรอย่างยิ่งแก่การยอมรับการไว้วางใจ และ การภักดีของพวกเขาจนถึงที่สุด
7. ฮบ.3:6 “แต่พระคริสต์นั้นทรงซื่อสัตย์ในฐานะพระบุตร ผู้อยู่เหนือชุมชนของพระเจ้า และเราก็เป็นชุมชนนั้น หากเพียงแต่เราจะยึดความมั่นใจและความภูมิใจในความหวังนั้นไว้” ฮบ.4:16 “ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา”

ฮบ.10:19 “เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์โดยพระโลหิตของพระเยซู” ฮบ.10:35 “เพราะฉะนั้นอย่าละทิ้งความไว้วางใจของท่าน อันจะนำมาซึ่งบำเหน็จยิ่งใหญ่”

จากข้อพระคัมภีร์ทั้ง4 ตอนนี้เราพอสรุปได้ว่า
ก. คำกรีก παρρησίαที่ใช้ในพระธรรมฮีบรูล้วนเกี่ยวกับท่าทีในใจเกี่ยวกับความไว้วางใจ ความมั่นใจ ความกล้าหาญ และความเชื่อ
ข. คำนั้น แปลออกมาอย่างไม่เสมอต้นเสมอปลายในฉบับมาตรฐาน
ค. คำกรีกคำหนึ่งอาจมเงาความหมายหลายอย่างอยู่ในตัว จึงทำให้มีคำแปลในภาษาไทยได้หลายคำเราอาจคิดว่าคำกรีกคำหนึ่งน่าจะคู่กับคำไทยคำหนึ่งเท่านั้นจะคู่กับคำไทยอื่นไม่ได้อีกแล้ว แต่ในความเป็นจริง อาจไม่ใช่ทุกกรณีก็ได้ บริบทเป็นตัวบีบรัดว่าคำกรีกนั้นน่าจะออกมาในความหมายใด ยกตัวอย่าง คำกรีก πιστεύωที่แปลว่า“วางใจ” ในยน.3:16 เป็นคำเดียวกันที่ใช้ใน ยน.3:12 ที่แปลว่า “เชื่อ” หากเราจะยืนยัน แปล ยน.3:12 ว่า “วางใจ” โดยไม่สนใจบริบท ก็จะทำให้เนื้อความแปลกๆ ดังนี้ “ถ้าเราบอกพวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายโลกและพวกท่านไม่วางใจ แล้วท่านจะวางใจได้อย่างไร ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายสวรรค์” เราพบว่าใน ยน.3:12 คำแปลที่ดีและเหมาะนั้นไม่ใช่ “วางใจ” แต่เป็น “เชื่อ” ต่างหาก ในทางกลับกัน ยน.3:16 แปลคำกรีกนั้นว่า “วางใจ” ก็เหมาะและดีกับบริบทมากกว่าคำ“เชื่อ” ลองพิเคราะห์วลี “เชื่อในพระบุตร” กับ “วางใจในพระบุตร” อย่างไหนเหมาะกว่ากันในบริบทข้างต้น ดังนั้น คำกรีก παρρησίαก็อาจมีคำแปลหลายอย่างแล้วแต่บริบท อาทิ ความกล้าหาญ ความมั่นใจ ความวางใจ การเปิดเผยตัวหรือความคิด เป็นต้น คำกรีก παρρησίαไม่จำเป็นต้องผูกไว้กับคำแปลเดียวว่า“ความมั่นใจ” เพราะทั้งหมดขึ้นกับบริบทนั้นๆ เป็นตัวกำหนด
ง. คำไทยหนึ่งคำก็อาจตรงกับคำกรีกมากกว่าหนึ่งคำก็เป็นได้ ยกตัวอย่าง คำว่า “ความมั่นใจ” ใน ฮบ.3:6 และ3:14 มาจากคำกรีกคนละคำกันคือ παρρησίαและ πόστασιςตามลำดับ หากพิจารณาในบริบท ฮบ.3:1-6 ผู้เขียนได้เปรียบเทียบพระคริสต์กับโมเสส เพื่อผู้อ่านจะมองเห็นว่าพระคริสต์ทรงเหนือกว่าโมเสส และให้ผู้อ่านยังคงยึด παρρησία(น่าจะหมายถึงความเชื่อในพระคริสต์ หรือ ความกล้าหาญที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าทางพระคริสต์) และความภูมิใจในความหวัง (ที่จะได้ตามพระสัญญา) นั้น เพื่อผู้อ่านจะเป็นชุมนุมชนของพระเจ้า

หากพิจารณาในบริบท ฮบ.3:7-19 ผู้เขียนได้หยิบยกพระคัมภีร์เดิมมาเพื่อจะเตือนสติผู้อ่านไม่ให้มีจิตใจดื้อรั้นและไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างที่บรรพบุรุษทำและถูกลงโทษไม่ให้เข้าแผ่นดินพระสัญญาเพื่อจะได้การหยุดพักสงบ หากผู้อ่านยังยึด πόστασις(น่าจะหมายถึงความเชื่อที่ประกาศรับไว้แต่แรกเมื่อได้ยินข่าวประเสริฐ) อย่างมั่นคงจนถึงที่สุด เขาก็จะมีส่วนร่วมกับพระคริสต์ (อนึ่ง πόστασιςปรากฏใน ฮบ.11:1 “ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น”) ในโครงสร้างประโยคภาษากรีกของ ฮบ.3:6 และ ฮบ.3:14 มีความคล้ายคลึงกันอยู่มากจนอาจทำให้คิดว่าπαρρησίαกับ πόστασιςน่าจะมีความหมายอย่างเดียวกัน และนี่คือเหตุผลที่ฉบับมาตรฐานแปลออกมาเหมือนกัน
8. ในหนังสือดรุณศึกษา ชั้นประถมปีที่2 บทที่ 25 เรื่องนักบุญมาร์ตีร์สี่สิบองค์ ได้ให้แง่คิดที่ดีเกี่ยวกับการละทิ้งและการรักษา παρρησία

  • อาจารย์ ปัญญา โชชัยชาญ
  • ภาพ Juanmarmolejos – Freepik.com