ยอมจำนนกับพระเจ้า 2/09

ยอมจำนนกับพระเจ้า

ผศ.ดร.สมนึก คีรีโต เกิดมาในครอบครัวที่มิได้ร่ำรวยเงินทอง เขาเป็นเด็กที่ใฝ่หาความรู้ เขาไปเรียนภาษาอังกฤษ ณ คริสตจักรเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยมีจุดมุ่งหมายเดียว คือเพิ่มพูนความรู้เรื่องภาษาอังกฤษ เขาไม่เคยรู้เรื่องหรือสนใจเรื่องพระเ

แต่อย่างใด แต่…สิ่งที่เขาได้รับกลับมาไม่เพียงแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น เขาได้รู้จักความรอดในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เขาได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต และชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป พระเจ้าทรงนำชีวิตเขาจากวันนั้น…ถึงวันนี้ เขาคือ ผศ.ดร.สมนึก คีรีโต

พระเจ้าทรงเลือกท่านให้รู้จักกับพระองค์ 
ดร.สมนึกเล่าให้ฟังถึงวันเวลาในอดีตเมื่อครั้งที่มารู้จักกับพระเจ้าว่า “ผมได้ไปที่คริสตจักรเล็กๆ แห่งหนึ่งแถวเทเวศน์ ซอย 3 ขณะนั้นผมอายุประมาณ 13 ปี และเรียนอยู่ชั้น ม.ศ. 1 โรงเรียนวัดมกุฎกษัติยาราม เวลานั้นผมไม่ได้สนใจเรื่องของพระเจ้าแต่อย่างใด แต่ไปเพราะมีการเปิดสอนภาษาอังกฤษที่คริสตจักรนั้น ก่อนเข้าชั้นเรียนจะมีผู้นำพูดเรื่องราวของพระเจ้า มีการเป็นพยาน และร้องเพลงคริสเตียน เมื่อได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ครั้งผมรู้สึกสนใจ จึงได้มาร่วมนมัสการในวันอาทิตย์ด้วย และมีโอกาสศึกษาเรียนคัมภีร์ ผมจำได้ว่าได้สัมภาษณพ์ ิเศษเรียนพระธรรมโรม เรื่องมนุษย์เป็นคนบาปและหลงเจิ่นไปจากทางของพระเจ้า
“ผมรู้สึกซาบซึ้งในพระวจนะของพระเจ้า จึงได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด โดยผมเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนๆ ที่ไปเรียนภาษาอังกฤษด้วยกัน ที่รับเชื่อ” “ผมรู้สึกซาบซึ้งในพระวจนะของพระเจ้า คือเมื่อได้ฟังเรื่องของพระเจ้าแล้วรู้สึกว่ามีความสงบ มีสันติสุข และรู้สึกว่าทางของพระเจ้านี่แหละคือทางที่เราอยากจะตัดสินใจเดินตาม ซึ่งก่อนที่ผมจะรับเชื่อ ผมได้ศึกษาค้นคว้าหาความจริงอยู่พอสมควร หลังจากได้กลับใจรับเชื่อแล้วชีวิตก็ดำเนินไปตามปกติ ไม่มีอะไรตื่นเต้นโลดโผนมากนัก เนื่องจากขณะนั้นผมยังเป็นเด็ก และเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน ไม่ได้เป็นเด็กที่เกเร แต่กระนั้นก็มีการต่อต้านจากครอบครัวอย่างมากเมื่อรู้ว่าผมมาเชื่อพระเยซู”

การต่อต้านจากครอบครัว
ขณะที่รับเชื่อนั้น ดร.สมนึกมีอายุเพียง 13 ปี ครอบครัวรู้สึกไม่พอใจเนื่องจากกลัวว่า ดร.สมนึกจะถูกปั่นหัวให้มาเชื่อศาสนาของฝรั่ง คุณพ่อคุณแม่รวมทั้งพี่ๆ ทั้ง 4 คนมีการต่อต้าน คุณแม่ตีด้วยไม้เรียว เอาพระคัมภีร์ไปฉีก และเผาทิ้งและสั่งห้ามไม่ให้ไปโบสถ์ ซึ่งเขาก็ได้เชื่อฟังเนื่องจากยังเป็นเด็ก ดังนั้นเขาจึงขาดการไปโบสถ์ประมาณ2-3 เดือน เขาอาศัยความอดทนให้ท่านเห็นการเชื่อฟัง และในที่สุดท่านทั้งสองก็อนุญาตให้ไปโบสถ์อีกครั้ง เพราะท่านทั้งสองได้เห็นว่าการไปโบสถ์นั้นไม่ได้ทำให้เขาเสียการเรียนแต่อย่างใดแต่ยังคงตั้งใจเรียนดี และผลการเรียนก็ดีมากด้วย อีกทั้งเขามิได้ประพฤติตัวไม่ดี เหมือนกับเด็กอื่นๆ ในสมัยนั้นที่ชอบยกพวกตีกันหรือปาระเบิดใส่กัน

ชีวิตในความเชื่อ
นับตั้งแต่วันที่ได้รับเชื่อจนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลา 37 ปีแล้ว ดร.สมนึกกล่าวว่า “ชีวิตในทางของพระเจ้านั้นเต็มไปด้วยพระพรและสันติสุขขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเลือกผมให้อยู่ในทางของพระองค์ และผมรู้ว่าการตัดสินใจนับแต่วันนั้นไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลย”

ชีวิตในความเชื่อของ ดร.สมนึก นั้นไม่ได้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ผิดหวังเลย โดยเฉพาะในเรื่องการเรียน ดร.สมนึก เล่าว่า “พระเจ้าอวยพรผมอย่างมากในเรื่องการเรียน ครอบครัวของผมไม่ได้ร่ำรวยอะไร ซึ่งคุณพ่อจะพูดเสมอว่าพ่อแม่ไม่มีมรดกอะไรให้ มีแต่เรื่องการเรียนนี่แหละที่จะสามารถให้เป็นมรดกได้ ซึ่งผมก็คิดว่าพระเจ้าอวยพรผมในเรื่องการเรียนจริงๆ โดยที่ผมได้รับทุนการศึกษาในหลายระดับจนจบปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา” เขากล่าวว่าขณะที่ศึกษาอยู่นั้น เขาจะทำตามที่พระคัมภีร์สอนคือ ขอสติปัญญาจากพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงตอบคำอธิษฐานมาโดยตลอด

ขณะที่ ดร.สมนึก จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แล้ว เขาปรารถนาที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท และพระเจ้าก็ทรงอวยพระพรเขามากมาย โดยได้รับทุนจากรัฐบาลเยอรมันให้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขาคอมพิวเตอร์ประยุกต์ ณ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT-Asian Institute of Technology) จังหวัดปทุมธานี และเมื่อเขาจบการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว พระเจ้าก็ทรงอวยพระเขามากยิ่งขึ้นอีก โดยได้รับทุนฟุลไบรท์ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้เรียนต่อในระดับปริญญาเอก ณ University of Southwestern Louisiana, มลรัฐหลุยส์เซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งนับว่าเป็นพระคุณพระเจ้าอย่างแท้จริงที่มีต่อชีวิตในความเชื่อของเขา

พันธกิจและการรับใช้
ดร.สมนึกไปนมัสการพระเจ้า และรับใช้ในงานทุกด้านที่เขาสามารถทำได้โดยคลุกคลีกอยู่ในคริสตจักรสันติสุขเหมือนเป็นเด็กวัด ตั้งแต่งานทำความสะอาด เป็นกรรมการกลุ่มอนุชน เล่นกีตาร์นำเพลง เล่นละคร สอนภาษาอังกฤษเพื่อประกาศเรื่องของพระเจ้า และเป็นคณะกรรมการบริหารของคริสตจักรสันติสุขในเกือบทุกตำแหน่งมาแล้ว จนกระทั่งในปี 1982 ดร.สมนึกและผู้นำคริสตจักรสันติสุขหลายท่านได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งคริสตจักรนิมิตใหม่ ณ ศูนย์รวมนักศึกษาTBS News เมษายน – มิถุนายน 2009แบ๊บติสต์ สี่แยกพญาไท โดยมีเป้าหมายในการทำพันธกิจร่วมกันกับศูนย์รวมนักศึกษาแบ๊บติสต์ ในการประกาศเรื่องพระเจ้าผ่านการสอนภาษาอังกฤษโดยคริสตจักรนิมิตใหม่จะรองรับผู้เชื่อใหม่โดยให้การเลี้ยงดู และฟูมฟักผู้เชื่อใหม่ต่อไป

ณ คริสตจักรนิมิตใหม่นี้ ดร.สมนึกมีส่วนในการรับใช้พระเจ้าในหลายด้านด้วยกัน นับตั้งแต่งานรับใช้ในกลุ่มอนุชน, คณะกรรมการคริสตจักรและพระเจ้าก็ให้เกียรติรับใช้พระองค์ในตำแหน่งความรับผิดชอบที่สูงขึ้น คือในตำแหน่งมัคนายก, ประธานธรรมกิจ และผู้ปกครองคริสตจักรในปัจจุบัน อีกทั้งยังได้รับใช้ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมสถาบันศูนย์รวมนักศึกษาแบ๊บติสต์ในขณะนี้ด้วย

ชีวิตครอบครัวและอาชีพ
ดร.สมนึกสมรสกับคุณนงลักษณ์ หล่อศิริพัฒน์ ในปี ค.ศ. 1984 ขณะที่ศึกษาระดับปริญญาโท สาขาคอมพิวเตอร์ประยุกต์ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย และปริญญาโทสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งในขณะนั้น ดร.สมนึกดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากทั้งสองสถาบัน และได้กลับมาทำงานสอนต่อที่ ม.เกษตรศาสตร์เป็นเวลา 3 ปี ในปี 1987 จึงได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ณ มลรัฐหลุยส์เซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทุนฟุลไบรท์ เป็นเวลา 5 ปี

ดร.สมนึกและคุณนงลักษณ์ให้กำเนิดบุตรสาว คือ ด.ญ.นัทลี หรือน้องแนท ขณะศึกษาที่สหรัฐฯ ในปีที่ 3 จนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก จึงได้กลับประเทศไทยในปี 1992 และเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จนกระทั่งปัจจุบัน
ขณะนี้น.ส. นัทลี กำลังศึกษาปีที่ 2 คณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ด.ช.ศิโยน บุตรชายคนเล็กกำลังศึกษาในชั้น ป.2 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดร.สมนึกและคุณนงลักษณ์อบรมเลี้ยงดูบุตรทั้งสองให้มีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าและดำเนินในทางของพระเจ้าตั้งแต่เด็ก และอธิษฐานเผื่อลูกทั้งสองอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตามเราทุกคนจำต้องประกาศตัวต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และนัทลีก็ได้ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาหลังจากที่ได้มีการศึกษาพระธรรมและเข้าใจในพระวจนะมากขึ้น ดังนั้น ด้วยความเชื่อ ความหวังใจในพระเจ้า ด.ช.ศิโยนจะประกาศตัวต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในเร็ววันเมื่อเขาเติบโต และเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเช่นกัน

เราควรต้องอธิษฐานเผื่อลูกอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้พระเจ้าประทานความรอด ความเข้าใจเพื่อเขาจะไม่พรากจากทางของพระองค์ เนื่องจากชีวิตเด็กวัยรุ่นในยุคนี้น่าเป็นห่วง ทั้งในเรื่องความการใช้ชีวิต เรื่องความคิด เรื่องข้อมูลต่างๆ ที่ผ่านมาทางสื่อต่างๆ ดร.สมนึกให้ความคิดเห็นว่าในฐานะพ่อแม่ เราควรอธิษฐาน ขอพระเจ้าที่จะปกป้องลูกของเรา เพราะการอบรมเลี้ยงดูบุตรในปัจจุบันนี้เหมือนการทำสงคราม เราต้องต่อสู้กับอุดมการณ์ ค่านิยมของโลก ซึ่งมาทางเพลง ทางสื่อต่างๆ ซึ่งสื่อเหล่านี้มีอิทธิพลมากต่อเด็กยุคนี้เราจึงควรการอธิษฐานเผื่อเขา และให้ความใกล้ชิดมากขึ้น

การทรงเตือนของพระเจ้า
โดยปกติแล้ว ดร.สมนึก เป็นคนที่ใส่ใจในสุขภาพตนเอง โดยการเลือกรับประทานที่มีประโยชน์ เล่นกีฬาและออกกำลังกายเสมอ และไม่เคยคิดว่าตนเองมีปัญาหาความดันโลหิตสูงแต่อย่างใด แต่เมื่อสองปีที่ผ่านมา ดร.สมนึกประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ครอบครัวต้องตระหนกตกใจด้วยเหตุความดันโลหิตสูงเฉียบพลัน เป็นเหตุให้ต้องเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินขณะขับรถกลับบ้านจากคริสตจักร
โดยความเข้าใจแล้ว สาเหตุทางกายคงมาจากความเครียดในความรับผิดชอบหลายอย่างในหน้าที่การงาน คือในขณะนั้น ดร.สมนึกได้รับเชิญจากสหประชาชาติ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้เป็นที่ปรึกษา ทำให้ต้องทำงานหนักและนอนดึกตื่นแต่เช้า และภารกิจที่รับผิดชอบก็เกี่ยวข้องกับนโยบาย และยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญต่อประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก (Trade FacilitationStrategy and Action Plan) ซึ่งมีสมาชิกในขอบเขตความรับผิดชอบของสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฯ สำหรับภูมิภาคที่กล่าวถึงนี้ถึง 66 ประเทศ
แต่ในฝ่ายจิตวิญญาณนั้น เขาเชื่อว่าที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เขามีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง เพื่อเป็นสัญญาณเตือนจากพระเจ้าว่าเขาอาจจะใช้เวลากับทางโลกและกิจการงานมากเกินไป ถึงแม้จะเป็นงานที่มีความสำคัญระดับประเทศชาติ หรือภูมิภาคก็ตาม ในทางของพระเจ้าแล้วเราต้องมีชีวิตบริสุทธิ์ และติดสนิทกับพระเจ้าแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ และถวายสรรเสริญแด่พระองค์เสมอ พระองค์ปรารถนาให้เราดำเนินเพื่อชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ ทั้งในด้านความคิด คำพูด และการกระทำ

จากการทรงเตือนของพระเจ้านั้น เขาได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตใหม่ทั้งฝ่ายกายและจิตวิญญาณ ในเรื่องอาหารฝ่ายกายต้องรับประทานอาหารสุขภาพมากขึ้น ออกกำลังกายพบแพทย์สม่ำเสมอ รับประทานยาตามแพทย์สั่งทางด้านอาหารฝ่ายวิญญาณ เขาได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอธิษฐานวิงวอน และเรียนรู้ที่จะฟังพระสุรเสียงของพระเจ้ามากขึ้น เพื่อจะมีชีวิตที่ดำเนินในน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแท้จริง
จากเหตุการณ์ฉุกเฉินนี้ทำให้เกิดการอธิษฐานลูกโซ่ที่คริสตจักรนิมิตใหม่ มีการศึกษาพระธรรมในระดับลึกและต่อเนื่อง ทำให้มีการเคลื่อนไหวฝ่ายวิญญาณอย่างมากในคริสตจักรเขาเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเป็นเหตุการณ์ที่พระเจ้าใช้เพื่อกระตุ้นเตือนให้สมาชิกคริสตจักรร้อนรนขึ้น มีการฟื้นฟูและฟื้นใจใหม่ เพื่อจะมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่เติบโตขึ้น โดยพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรหลายๆ คนได้อธิษฐานเผื่อเขาอย่างสัตย์ซื่อ อีกทั้งอธิษฐานเพื่อพี่น้องท่านอื่นและพันธกิจของคริสตจักรในด้านต่างๆ อย่างจริงจัง เขาเชื่อว่าพระเจ้าได้ให้บทเรียนเกี่ยวกับชีวิตแห่งการอธิษฐานแก่เขาและสมาชิกคริสตจักร
พระธรรม 2 พงศาวดาร 7:14 ที่กล่าวว่า “ถ้าประชากรของเรา ผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราจะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขา และจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย” เป็นข้อพระธรรมหลักที่กระตุ้นเตือนให้เกิดพันธกิจแห่งการคืนดีการเรียกร้องชีวิตที่บริสุทธิ์และติดสนิทกับพระเจ้า โดยมีสูตรในการจำอย่างง่ายๆ ในหมู่สมาชิกว่า 2x 7 = 14
ด้วยเหตุการณ์นี้เอง มีพี่น้องหลายท่านได้เป็นพยานว่าเขาสามารถอธิษฐานวิงวอนกับพระเจ้าเผื่อเรื่องนี้ได้เป็นชั่วโมงๆ ซึ่งในอดีตอาจจะอธิษฐานได้เพียงสิบนาที หรือ สิบห้านาทีเท่านั้นซึ่งการอธิษฐานลูกโซ่นี้เป็นการฝึกเรื่องความรับผิดชอบด้วย เพราะต้องอธิษฐานต่อเนื่องกันไม่ให้ขาดช่วง

ในช่วงเวลานั้นมิได้มีแต่เฉพาะเหตุการณ์ของ ดร.สมนึกผู้เดียวเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทำให้สมาชิกคริสตจักรร้อนรนในการศึกษาพระธรรม แสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าและเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระองค์อย่างสุดใจ แทนการพึ่งพาสติปัญญาของตนเอง อีกทั้งภาวนาพระคำของพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนและอธิษฐานวิงวอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระองค์ปรารถนาให้เรากระทำ
จากเหตุการณ์ต่างๆ ดังกล่าว คริสตจักรนิมิตใหม่ได้มีการตั้งทีมอธิษฐาน 24 หน่วย เพื่อที่จะเป็นยามเฝ้าในการอธิษฐานตลอด 24 ชั่วโมง ดังเช่นในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงคนยามที่ตื่นอยู่ ซึ่งหากสมาชิกท่านใดมีเหตุการณ์ที่ต้องการการอธิษฐานเผื่ออย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะมีการส่งข่าวถึงกันและทีมอธิษฐานนี้จะอธิษฐานอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อวิงวอนขอการปกป้อง การพิทักษ์รักษา การอวยพร และการพลิกฟื้นชุมชนจากพระองค์
ดร.สมนึกกล่าวเสริมว่า เขาเชื่อว่าพระเจ้ากำลังขัดเกลาคนงานของพระองค์ให้มีชีวิตที่ติดสนิทและบริสุทธิ์ในทางของพระเจ้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับผู้นำ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญในการกำหนดทิศทาง เป็นผู้นำเสนอข้อมูลให้ความคิดเห็น ตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ และกำหนดแนวทางการบริหารต่างๆ ให้แก่คริสตจักรและแก่สมาชิก ในส่วนตัวของเขาๆ ได้ก้าวไปสู่อีกระดับหนึ่งของการอธิษฐาน คือ การอธิษฐานและอดอาหาร เพื่อการวิงวอน การฝึกที่จะฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ โดยมีศิษยาภิบาลและสมาชิกคริสตจักรอีกหลายท่านที่ได้ร่วมอธิษฐานอดอาหารด้วยเช่นกัน ในปีที่ผ่านมา ดร.สมนึกและสมาชิกหลายท่านนี้ได้อธิษฐานอดอาหารรวมๆ กันแล้วเป็นจำนวนกว่าพันวัน การอธิษฐานอดอาหารนี้มีการตั้งเป้าหมายในการอธิษฐานเผื่อเรื่องต่างๆ เป็นเฉพาะเจาะจง เช่น การแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า การอธิษฐานเผื่อค่ายคริสตจักร การอธิษฐานเผื่อประเทศชาติ เพื่อที่แผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่ในชุมชน เป็นต้น พระเจ้าให้โอกาสทำงานในระดับที่กว้างขึ้น 

ดร.สมนึกกล่าวว่าเขาขอบคุณพระเจ้าที่ทรงมอบหมายให้เขามีโอกาสทำงานทั้งเชิงยุทธศาสตร์และการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญๆ ในระดับประเทศ และในระดับความร่วมมือระหว่างประเทศเขากล่าวว่าความจริงแล้วเขาเป็นเพียงอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ไม่ได้มีอำนาจในการสั่งการใดๆ ในระดับชาติ แต่เขาก็มีส่วนร่วมในการระดมสมอง การวางแผน และการให้คำปรึกษาเชิงนโยบายและแผนงานของประเทศในหลายเรื่อง อาทิ เขาได้ช่วยสนับสนุนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนดนโยบาย และแผนงานของชาติในการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ของประเทศ แผนงานดังกล่าวมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแง่ของการลดต้นทุนการค้า และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อธุรกรรม และเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการนำเข้าและส่งออกสินค้านโยบายดังกล่าวทำให้เขาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องการให้คำปรึกษา และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในหน่วยงานระดับกรม กอง มากกว่า 30 หน่วยงาน ในเกือบทุกกระทรวง และเขายังมีส่วนช่วยขับเคลื่อนนโยบายของผู้บริหารระดับสูงเช่น ช่วยเสนอนโยบายต่อคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีปลัด หรือ รองปลัดกระทรวง โดยให้คำปรึกษาในการเสนอการจัดสรรงบประมาณเป็นพันล้าน เป็นต้น

นอกจากนี้เขายังมีโอกาสทำงานกับกลุ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือ ที่เรียกว่า เอเปค ซึ่งเป็นมีผู้แทนที่ร่วมงานกันจากสมาชิกถึง 22 เขตเศรษฐกิจ (ในกลุ่มความร่วมมือนี้ จะหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า ประเทศ แต่ใช้คำว่าเขตเศรษฐกิจแทน) ดร.สมนึก เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาด้านเทรดโลจิสติกส์ (Trade Logistics หรือ Trade Facilitation) โดยเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย และการพัฒนาองค์ความรู้นอกจากนี้ ดร.สมนึก ยังทำงานอย่างใกล้ชิดในเวทีของสหประชาชาติด้วย ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสไปช่วยงานที่สหประชาชาติ หรือเอสแคป ที่กรุงเทพฯ อีกทั้งงานของสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย
การอธิษฐานเผื่อผู้นำต่างๆ เช่น นายกรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ รวมไปถึงผู้นำระดับองค์กรระหว่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่คริสเตียนควรกระทำ เพราะการตัดสินใจต่างๆ ของผู้นำเหล่านั้นเป็นการกำหนดทิศทางของประวัติศาสตร์ของประเทศ รวมทั้งของโลกนี้ ดังที่เราเห็นในพระคัมภีร์ที่กล่าวไว้ว่า ถ้าผู้นำมีความเที่ยงธรรม หรือเป็นคนที่เชื่อพระเจ้า อย่างโยเซฟ โมเสส เอสเธอร์ หรือดาวิด ทิศทางประวัติศาสตร์ของประเทศหรือของโลกก็จะเป็นไปในทิศทางที่อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าอย่างที่ควรเป็น ดังนั้นจึงเป็นภารกิจของคริสเตียนที่จะต้องอธิษฐานเผื่อให้ผู้นำทุกระดับให้กลับใจรับเชื่อในพระเจ้า หรือให้คนที่เชื่อพระเจ้าอยู่แล้วมีส่วนเข้าไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม ทั้งในระดับชุมชนระดับประเทศ และระดับโลก เราจะเห็นได้ว่าความบาปทำให้เกิดวิกฤติในที่ต่างๆ มากมาย โดยอาจกลายเป็นผลเสียใหญ่หลวงต่อประชากรโลก ดังนั้น ดร.สมนึก จึงขอบคุณพระเจ้าที่ได้มีโอกาสแม้เพียงจำกัด เข้าไปมีส่วนร่วมกับการขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเป็นโอกาสให้ได้ใช้สิ่งที่เรียนรู้มาให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศและต่อระดับสากล

ข้อพระธรรมที่หล่อเลี้ยงชีวิต จิตวิญญาณ 
ดร.สมนึกแบ่งปันว่ามีข้อพระคัมภีร์ที่ชื่นชอบหลายข้อด้วยกัน แต่ในวันนี้เขาระลึกถึงเป็นพิเศษสำหรับพระวจนะในพระธรรมสดุดี บทที่ 119 ข้อ 105 ที่กล่าวว่า ‘พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์’
ข้อพระคัมภีร์ข้ออื่นๆ ที่เขาชื่นชอบ ได้แก่ สดุดี บทที่ 1 ข้อ 1-2 ที่กล่าวว่า ‘ความสุขเป็นของบุคคลผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรมหรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน’ ในช่วงปีที่ผ่านมา พระเจ้าได้สอนเขาว่าแม้จะมีความรับผิดชอบในหลายตำแหน่งหน้าที่ แต่พระเจ้าก็ปรารถนาให้เขามีชีวิตแห่งการอธิษฐานเหมือนดาเนียลที่อธิษฐานวันละสามเวลา หรือเหมือนดาวิดที่ภาวนาพระธรรมของพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งในปีที่ผ่านเขาพยายามใช้ชีวิตอย่างนั้น โดยการอ่านพระคัมภีร์มากขึ้น การใช้คู่มือเฝ้าเดี่ยว การอ่านหนังสือที่ให้ข้อคิดหนุนใจ และหนังสือวรรณกรรมคริสเตียนต่างๆ เสมือนกับการชุบตัวลงในพระคำของพระเจ้า เพื่อให้ถ้อยคำของพระเจ้าสั่งสมอยู่ในชีวิตของเขา ดังนั้นการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการงานต่างๆ การจัดการภายในครอบครัวก็เป็นไปโดยมีถ้อยคำของพระเจ้านำมากขึ้น ซึ่งถ้อยคำของพระเจ้า ทำให้เกิดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต รวมทั้งมั่นใจในพระสัญญาต่างๆ ของพระองค์ด้วย ดังพระคัมภีร์ได้กล่าวว่าพระพรของพระองค์จะมาเหมือนห่าฝน ไม่ใช่เฉพาะตัวเราเองที่ได้รับ แต่จะไปถึงลูกหลาน ถึงคริสตจักร รวมถึงมีสิทธิอำนาจที่จะให้พรแก่คนอื่นด้วย

นอกจากนี้ยังมีอีกข้อพระธรรมอีกหลายข้อที่เขาชื่นชอบ เช่น สดุดี บทที่ 103 ข้อ 2-3 กล่าวว่า ‘จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้าและอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ ผู้ทรงอภัยความบาปทั้งสิ้นของท่านผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของท่าน’ และในพระธรรมเอเสเคียล บทที่ 34 ข้อ 27 กล่าวว่า ‘ต้นไม้ที่ในทุ่งจะบังเกิดผล และพิภพจะบังเกิดผลประโยชน์ และเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเขา และเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้าในเมื่อเราหักคานแอกของเขาเสีย และช่วยกู้เขาจากมือของผู้ที่กักเขาให้เป็นทาส’ และพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 3 ข้อ 16 กล่าวว่า ‘ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน’ นั่นคือชีวิตเราต้องมีชีวิตที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เพราะพระเจ้าของเราทรงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์’ ฝากความปรารถนาดีกับคนรุ่นใหม่

ในฐานะที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร ดร.สมนึก จึงอยากจะฝากคำแนะนำกับหนุ่มสาวในวันนี้ว่าอยากให้เขาดำเนินชีวิตในความเชื่อ อธิษฐานและติดสนิทกับพระเจ้า พึ่งพาในพระองค์และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเองเพราะในชีวิตคนเรานั้นอาจจะมีบางช่วงเวลาที่ตกต่ำ ต้องเผชิญกับการทดลอง ดังนั้นให้เราหันกลับมาหาพระเจ้า พึ่งพาในพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงรู้จักความอ่อนแอของเรา พระองค์ทรงรู้ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาปและมีจุดอ่อนในเรื่องใด และเมื่อไรที่พระเจ้าสะกิดเตือนให้เราสารภาพบาปกับพระองค์ เพราะในพระธรรมสดุดี บทที่ 32 ข้อ 3-4 กล่าวว่า ‘เมื่อข้าพระองค์ไม่แจ้งบาปของข้าพระองค์ ร่างกายของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไป โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำของข้าพระองค์ พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวัน ทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหี่ยวแห้งไปอย่างความร้อนในหน้าแล้ง’ และด้วยพระธรรมข้อนี้เองที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตของ ดร.สมนึกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ กล่าวคือ ถ้าเราปกปิดบาป หรือเฉยชาปล่อยให้ชีวิตของเราดำเนินในความบาปต่อไป ไม่แจ้งต่อพระเจ้า ชีวิตของเราในช่วงนั้นก็จะตกต่ำลงหากเราไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้า พระองค์ก็จะส่งสัญญาณเตือนมาซึ่งอาจเป็นการสะกิดเตือนหรือกระซิบเตือนเพียงเบาๆ แต่หากเรายังสาละวนกับกิจการฝ่ายโลกมากเกินไป เราก็อ า จ จ ะ ไ ม่ไ ด้ยินสัญญาณเตือนนั้น ซึ่งพระเจ้าคงอาจจะต้องเตือนแรงขึ้น และหากยังไม่ได้ยินอีก พระองค์ก็จะทรงตีสอน ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้ เราคงต้องยอมจำนนกับพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงและจัดการยอมรับพระคำของพระเจ้า และดำเนินในทางของพระองค์

ข้อแนะนำอีกประการหนึ่งคือการจัดสรรเวลาในการเข้าเฝ้าพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ดร.สมนึกได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าเราจะมีความเชื่อและเป็นคริสเตียนมาแล้วกี่ปีก็ตาม พระเจ้ายังทรงปรารถนาให้เราเข้าเฝ้าและมีสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ เรียนรู้จากพระองค์ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และดำเนินชีวิตในทางบริสุทธิ์ของพระองค์

ชีวิตคริสเตียนหรือชีวิตที่ดำเนินในความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นกระบวนการของการเติบโตที่ต่อเนื่องแบบไม่หยุดยั้ง พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า เราทั้งหลายต้องเติบโตจนไปถึงความไพบูลย์ในพระคริสต์ ดังนั้นเราจึงต้องมีชีวิตในความเชื่อที่เติบโตขึ้น มีประสบการณ์กับพระเจ้ามากขึ้นเรียนรู้จักพระเจ้ามากขึ้น เพราะพระเจ้าทรงมีความเข้าใจใหม่ๆ สิ่งอัศจรรย์ใหม่ๆ ที่จะเปิดเผยกับเราอีก

ในท้ายที่สุด นี้ ดร.สมนึกอยากจะย้ำเรื่องการอธิษฐานเผื่อประเทศชาติของเราและผู้นำทุกระดับ โดยเฉพาะผู้นำระดับสูง ผู้มีส่วนในการกำหนดทิศทางของประเทศ ซึ่งเราทั้งหลายผู้เชื่อในพระเจ้าปรารถนาให้ประเทศของเราเป็นประเทศที่พระเจ้าทรงครอบครองและทรงนำและสุดท้ายขอให้เราดำเนินชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า เพื่อพระพรของพระเจ้าจะเทลงมาเหนือเราทั้งหลาย และเพื่อเราทั้งหลายจะเป็นพรสำหรับผู้อื่นด้วย

ชีวิตของ ดร.สมนึก คีรีโต เป็นชีวิตที่พระเจ้าอวยพรมากมายหลายด้าน แม้ว่าท่านจะมีภารกิจความรับผิดชอบมากมาย แต่พระคุณของพระเจ้าที่มีต่อท่านนั้นก็มากพอที่จะเรียกให้ท่านมีชีวิตที่บริสุทธิ์ และยอมจำนนกับพระองค์ ท่านจึงขอถวายเกียรติแด่พระเจ้ามีชีวิตที่รับใช้พระองค์และแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ตลอดไป จนกว่าจะถึงความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

  • ดร.สมนึก คีรีโต