ยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 1/16

ยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์

คำถาม มีบางคนบอกว่ายุคสมัยปัจจุบันเป็นยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือไม่?

คำตอบ แนวความคิดนี้ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงเริ่มกระทำพระราชกิจของพระองค์ตั้งแต่พระธรรมปฐมกาลแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่

พระวิญญาณบริสุทธิ์เริ่มมีบทบาทตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม
ในสมัยพระคัมภีร์เดิมพระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกเรียกว่า “พระวิญญาณของพระเจ้า”  12ครั้งด้วยกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ถูกกล่าวถึงในช่วงการทรงสร้าง (ปฐก.1:2) ซึ่งเอลีฮูก็ได้ยืนยันว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสร้างท่าน (โยบ 33:4) และต่อมาในพระธรรมปฐมกาลเมื่อฟาโรห์เห็นว่า โยเซฟสามารถทำนายความฝัน และอธิบายถึงวิธีการที่จะเตรียมการล่วงหน้าต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ ฟาโรห์ก็ตระหนักว่า โยเซฟคือคนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะดูแลงานต่างๆ ของอียิปต์ (ปฐก.41:38-45)จากเรื่องราวของโยเซฟนี้ทำให้เราเห็นว่า คนทั่วไปยอมรับว่าคนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยนี้คือ คนที่มีสติปัญญาเหนือมนุษย์คนอื่นๆ ต่อมาในสมัยของโมเสสเมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายให้คนอิสราเอลสร้างเต็นท์​นัด​พบ หีบ​แห่ง​สักขี​พยาน พระ​ที่​นั่ง​กรุ​ณา​ซึ่ง​อยู่​บน​หีบ​แห่ง​สักขี​พยาน และ​เครื่อง​ใช้​ทุก​อย่าง​สำหรับ​เต็นท์นั้น พระองค์ได้เลือก​เบ​ซา​เลล​บุตร​อุรี​ผู้​เป็น​บุตร​เฮอร์​แห่ง​เผ่า​ยู​ดาห์เป็นหัวหน้ารับผิดชอบงานนี้ และเพื่อให้ท่านทำงานสำเร็จ พระเจ้าทรงให้ท่าน​เต็ม​เปี่ยม​ด้วย​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​เจ้า คือ​ให้​ท่าน​มี​สติ​ปัญ​ญา ความ​เข้า​ใจ​และ​ความ​รู้​ใน​งาน​ช่าง​ทุก​อย่าง (อพย.31:3)เราจะเห็นว่าการเต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในบริบทนี้คือ การมีสติปัญญา ความเข้าใจ และความรู้ในด้านช่างทุกอย่าง นอกจากนี้พระองค์ยังให้ผู้ช่วยแก่ท่านอีกคนหนึ่งคือ โอ​โฮ​ลี​อับ​บุตร​อา​หิ​สะ​มัค​แห่ง​เผ่า​ดาน  ยิ่งกว่านั้นพระองค์​ยัง​ให้​ทักษะ​แก่​ช่าง​ฝี​มือ​ทุก​คน (อพย.31:6)เหนือสิ่งอื่นใดทั้งเบซาเลลและโอโฮลีอับยังสามารถสอนคนอื่นให้มีทักษะเหมือนท่านได้อีก (อพย.35:34)

สิ่งที่น่าสนใจที่เชื่อมโยงระหว่างพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่คือเปโตรได้กล่าวถึงผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมว่า ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นมีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตในพวกเขาผู้แจ้งให้พวกเขาทราบล่วงหน้าถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ (1ปต.1:10-12)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงควบคุมการเผยพระวจนะ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงแต่จะประทานสติปัญญาให้กับบางคน พระองค์ยังทรงควบคุมคำเผยพระวจนะของผู้พยากรณ์ เมื่อบาลาอัมได้รับเชิญจากบาลาคกษัตริย์โมอับให้ไปสาปแช่งคนอิสราเอล แต่เมื่อเริ่มกล่าวคำพยากรณ์ แทนการสาปแช่งกลับกลายเป็นการอวยพรคนอิสราเอล (กดว.24:1-13) อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเผยพระวจนะนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับคนที่เป็นผู้พยากรณ์เท่านั้น แม้แต่ซาอูลหลังจากที่ได้รับการเจิมจากซามูเอลแล้ว ท่านได้รับการสวมทับโดยพระวิญญาณ ทำให้ท่านเผยพระวจนะได้ และการเผยพระวจนะนี้เป็นอาการบางอย่างที่คนทั่วไปสังเกตุเห็นได้ (1 ซมอ.10:10)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสวมทับผู้วินิจฉัย
หลังจากคนอิสราเอลเข้ายึดครองดินแดนคานาอัน พวกเขาได้ทำบาปและละทิ้งพระเจ้า พระองค์จึงส่งศัตรูมาลงโทษพวกเขา เมื่อพวกเขากลับใจ พระองค์ทรงส่งผู้วินิจฉัยมาช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากอำนาจของศัตรู สิ่งที่น่าสนใจคือมีผู้วินิจฉัยบางคนได้รับ “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์”  ซึ่งปรากฏในพระคัมภีร์เดิมด้วยกัน 23ครั้ง และปรากฏในพระธรรมผู้วินิจฉัย 7 ครั้ง ผู้วินิจฉัยเหล่านี้จะออกไปรบกับศัตรู ได้แก่ โอทนีเอล กิเดโอน เยฟธาห์ และแซมซัน (วนฉ.3.:10;6:34;11:29;13:25;14:6,19;15:14) เราจะเห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มีส่วนเสริมกำลังฝ่ายกายให้มนุษย์มีพละกำลังมากขึ้นในการออกไปต่อสู้กับศัตรู  ถึงแม้ศัตรูจะมีกำลังพลมากกว่า แต่ก็ไม่สามารถต้านทานผู้ที่มีพระวิญญาณของพระยาห์เวห์  นอกจากบรรดาผู้วินิจฉัยแล้วซาอูลก็ได้รับการสวมทับให้ออกรบกับพวกอัมโมน ข้อความที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับซาอูลคือ “พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูลและท่านโกรธจัด” (1 ซมอ.11:6)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสวมทับดาวิดแต่ไม่มีอาการอะไร
บางครั้งคนที่ถูกพระวิญญาณของพระเจ้าสวมทับก็ไม่ได้ปรากฏอาการอะไรให้เห็น เช่น หลังจากที่ซามูเอลเจิมดาวิดให้เป็นกษัตริย์แล้ว พระคัมภีร์บันทึกว่า  “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงสวมทับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป” (1 ซมอ.16:13)เมื่อดาวิดออกไปสู้กับโกลิอัท พระคัมภีร์ไม่บรรยายว่า พระวิญญาณของพระเจ้าสวมทับดาวิด สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับดาวิดคือ ออกรบทุกครั้ง ก็ได้ชัยชนะมาเสมอ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บรรยายว่า ในการรบแต่ละครั้ง พระวิญญาณทรงสวมทับท่าน การกล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยกษัตริย์ดาวิดเองปรากฏเพียงครั้งเดียว เมื่อท่านอ้างว่าท่านได้ประพันธ์บทเพลงตามคำตรัสของพระวิญญาณของพระเจ้า (2 ซมอ.23:2)

พระประสงค์ต่างๆ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสวมทับผู้คน
บางครั้งเมื่อพระวิญญาณสวมทับก็ช่วยให้เกิดคำพูดเป็นคำกลอนขึ้นมา เช่น ช่วยให้อามาสัยตอบดาวิดเป็นคำกลอน (1 พศด.12:18)บางครั้งเป็นคำพูดที่เตือนสติเช่น อาซาริยาห์เตือนสติกษัตริย์อาสา กษัตริย์ของยูดาห์ให้มีพระทัยกล้าหาญที่จะทำลายรูปเคารพในแผ่นดินยูดาห์ (2 พศด.15:1-9)บางครั้งก็เป็นการหนุนใจเมื่อประชาชนตกใจกลัวที่เห็นศัตรูจำนวนมาก เช่น เมื่อ พวกโมอับ อัมโมน และเอโดมยกกองทัพมาสู้รบกับยูดาห์ พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้เสด็จลงมาเหนือยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์ ซึ่งเป็นคนเลวีเชื้อสายอาสาฟ ได้กล่าวหนุนใจกษัตริย์เยโฮชาฟัทและประชาชนไม่ให้กลัวศัตรูของพวกเขา  (2 พศด.20:13-17) บางครั้งก็ได้เตือนสติคนอิสราเอลที่ละทิ้งพระเจ้า (2 พศด.24:20) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสวมทับเศคาริยาห์บุตรของเยโฮดาผู้เป็นปุโรหิต ท่านได้ว่ากล่าวตักเตือนให้คนอิสราเอลกลับใจจากบาป แต่แทนที่พวกเขาจะฟังท่าน กลับเอาหินขว้างท่านจนตาย ในพระคัมภีร์ใหม่ก็มีการเตือนเหมือนกัน แต่ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนใจ เปาโลได้รับคำเตือนถึงสองครั้งว่าอย่าไปกรุงเยรูซาเล็ม เพราะว่าท่านจะถูกจับ (กจ.21:4, 11) แต่เปาโลก็ยินดีที่จะถูกจับเพื่อเห็นแก่พระนามของพระเยซูคริสต์ (ข้อ 13)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงสวมทับเป็นครั้งคราวแต่สถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา
คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ปรากฏเพียงครั้งเดียวในพระคัมภีร์เดิม (สดด.51:11) ซึ่งกษัตริย์ดาวิดได้วิงวอนพระเจ้าที่จะไม่ให้นำพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกจากชีวิตของท่าน เพราะความบาปของท่านนั้น แสดงว่ากษัตริย์ดาวิดรู้ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่านตลอดเวลา ในขณะที่คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” ปรากฏในพระคัมภีร์ใหม่ถึง 91 ครั้ง บทบาทสำคัญของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับพระเยซูคริสต์หลายประการด้วยกัน

ความสัมพันธ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับพระเยซูคริสต์และผู้เชื่อ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้ทำให้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ (มธ.1:18, 20)  พระวิญญาณเสด็จลงมาเหนือพระเยซูเมื่อทรงขึ้นมาจากน้ำหลังจากรับบัพติศมาจากยอห์น (มธ.3:16; มก.1:10; ลก.3:22; ยน.1:32-33) ซึ่งเป็นการยืนยันให้ยอห์นผู้ให้บัพติศมารู้ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มธ.3:11; ลก.3:16) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อให้มารมาทดลองพระองค์ (มธ.4:1; มก.1:12; ลก.4:1) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้พระเยซูเป็นขึ้น (รม.8:11) คนที่วางใจในพระเยซูจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ยน.7:39)  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้แจ้งเรื่องราวของพระเยซูให้กับผู้ที่เชื่อในพระเยซู (ยน.16:15) พระเยซูทรงเป็นผู้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดา และเป็นผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่สาวกของพระองค์ (กจ.2:33)พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงยืนยันความชอบธรรมของพระเยซู (1 ทธ.3:16)

ลักษณะของผู้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มองเห็น
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาบนสาวกยุคแรกนั้น พวกเขาเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ซึ่งเป็นภาษาของคนหลายชาติ (กจ.2:4) แต่ก่อนที่พวกเขาจะพูดภาษาต่างๆ ได้มีเหตุการณ์ภายนอกปรากฏขึ้นด้วยคือ มีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้าดังก้องทั่วตึก และมีบางสิ่งคล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวผู้ที่รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กจ.2:2-3) และมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นใน กิจการ 4:31เมื่อสาวกรุ่นแรกได้ยินคำบอกเล่าของยอห์นและเปโตรเกี่ยวกับคำข่มขู่ของพวกผู้นำทางศาสนาของยิว พวกเขาได้อธิษฐานร่วมกัน ก็เกิดปรากฏการณ์ภายนอกขึ้นคือที่ซึ่งพวกเขาประชุมอยู่นั้นก็หวั่นไหว แล้วพวกเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่ค่อยพบปรากฏการณ์ภายนอกบ่อยนักในพระคัมภีร์ และการที่จะต้องพูดภาษาต่างๆ ก็ไม่ได้ต้องปรากฏทุกครั้ง

ลักษณะของผู้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้
หลายครั้งการเต็มเปี่ยมไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะควบคู่ไปกับสติปัญญา (กจ.6:3, 10) แต่ปัญญาที่คู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เป็นปัญญาฝ่ายโลกซึ่งมาจากเนื้อหนัง (1 คร.2:4) บางครั้งก็คู่กับความเชื่อ (กจ.11:24; กท.5:5) บางครั้งก็คู่กับความรัก (รม. 5:5; รม.15:30; คส.1:8) บางครั้งก็คู่กับความหวัง (รม.15:13) บางครั้งคู่กับฤทธิ์เดช (รม.15:19; 1ธส.1:5) บางครั้งคู่กับความชื่นชมยินดี (1 ธส.4:8) และพระธรรมที่สรุปสิ่งเหล่านี้ไว้ดีที่สุดคือ กาลาเทีย 5:22-23ที่กล่าวว่า “ส่วน​ผล​ของ​พระ​วิญ​ญาณ​นั้น คือ​ความ​รัก ความ​ยินดี สันติ​สุข ความ​อด​ทน ความ​กรุณา ความ​ดี ความ​ซื่อ​สัตย์ ความ​สุภาพ​อ่อน​โยน การ​รู้​จัก​บัง​คับ​ตน เรื่อง​อย่าง​นี้​ไม่​มี​ธรรม​บัญ​ญัติ​ห้าม​ไว้​เลย” เราจะเห็นว่าถึงแม้ผู้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่มีอาการพิเศษปรากฏให้เห็นแต่คุณภาพชีวิตของเขาทำให้เราสัมผัสได้

สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้กับชีวิตคริสตชน
สิ่งที่คริสตชนได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นจะตรงกันข้ามกับธรรมบัญญัติ (รม.7:6) พระวิญญาณทรงทำให้คริสตชนพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย (รม.8:2) และช่วยให้คริสตชนชนะความต้องการของเนื้อหนังคืออยู่ตรงกันข้ามกับเนื้อหนัง (รม.8:4, 9,13; กท.3:3; 5:17; 6:8) ทำให้คริสตชนเข้าเฝ้าพระเจ้าได้ (อฟ.2:18) ทำให้คริสตชนเป็นที่สถิตของพระเจ้า (อฟ.2:22) และยืนยันการสถิตของพระเจ้า (1ยน.3:24) ทำให้คริสตชนได้เป็นบุตรของพระเจ้า (รม.8:14-16) พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้คริสตชนเป็นขึ้นมาจากความตาย (รม.8:11)พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอธิษฐานขอแทนคริสตชน เมื่อเขาอ่อนกำลัง (กจ.8:26-27) ทำให้คริสตชนมีความกระตือรือร้น (รม.12:11) ทำให้คริสตชนรู้ความล้ำลึกของพระเจ้า (กจ.1 คร.2:10-14) พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับคริสตชน (1คร.3:16; 6:19; ยก.4:5; 1 ปต.4:14) พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้คริสตชนทำสิ่งประเสริฐหรือสิ่งที่ดี (2 ทธ.1:14) การที่คริสตชนทำดีได้นั้นไม่ได้เพราะความสามารถของตัวเอง แต่เป็นเพราะเขาได้รับการชำระและสร้างใหม่จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ทต.3:6; 1ปต.1:2) พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานของประทานให้แก่คริสตชนแต่ละคนไม่เหมือนกัน และให้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม (1คร.12:4-11) ทำให้คนยิวและคนต่างชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (1 คร.12:13) ทำให้คริสตชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (อฟ.4:3;ฟป.2:1)

คำพูดที่ยืนยันว่าวิญญาณไหนมาจากพระเจ้า
เนื่องจากเรามองไม่เห็นพระวิญญาณและมีคนแอบอ้างพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงจำเป็นต้องพิสูจน์ว่า วิญญาณนั้นเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์เสมอ พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องไม่พูดว่า “ให้พระเยซูเป็นที่สาปแช่ง” แต่ต้องพูดว่า “พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” (1คร.12:3) พระวิญญาณของพระเจ้าที่แท้จริงจะต้องยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ (1 ยน.4:2)

วิธีที่จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาบนสาวกยุคแรกนั้น พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย พวกเขาเพียงอยู่รวมตัวกันในที่แห่งเดียวเท่านั้น (กจ.2:1-4) สาวกยุคแรกเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการอธิษฐาน (กจ.4:31; 8:15)นอกจากการอธิษฐานแล้ว ผู้เชื่อได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการวางมือ (กจ.8:17, 18; 9:17; 19:6) หรือเพียงแค่ฟังคำเทศนาคนต่างชาติก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กจ.10:44; 11:15)หรือเมื่อนมัสการและถืออดอาหาร (กจ.13:2) ถึงแม้พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมีฤทธิ์เดชและมีอำนาจเหนือมนุษย์ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงบังคับจิตใจมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลและสามารถเสียพระทัยได้ (อฟ.4:30) มนุษย์สามารถขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ (1ธส.5:19)

ตรีเอกภาพ
ถึงแม้คำว่า “ตรีเอกภาพ” จะไม่ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ แต่ความจริงเรื่องนี้ก็ได้ปรากฏอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ตอนต่างๆ เช่น ในมัทธิว 28:19เราจะเห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์มีสิทธิอำนาจเทียบเท่ากับพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ ใน 2โครินธ์ 3:17-18ได้กล่าวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และเมื่อเราดูในบริบทนี้เราจะเห็นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าในบริบทนี้หมายถึงพระเยซูคริสต์ นั่นคือ พระเยซูและพระวิญญาณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในกาลาเทีย 4:6ได้เรียกพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ (พระเจ้า) จะเห็นว่าทั้ง 3พระภาคของพระเจ้าจะมีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด

ในพระธรรมวิวรณ์ได้มีการกล่าวถึงพระวิญญาณทั้งเจ็ดอยู่ด้วยกัน  4 ครั้ง ซึ่งบางคนบอกว่า วิญญาณทั้งเจ็ดนี้หมายถึงทูตสวรรค์ ไม่ใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะตีความว่าเลขเจ็ดเป็นจำนวนเหมือนกับคริสตจักร 7แห่ง แต่ถ้าหากเราจะพิจารณาบริบททั้งเล่ม วิญญาณทั้งเจ็ดนี้น่าจะเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะตลอดพระธรรมวิวรณ์เราไม่พบคำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เลย แต่พบคำว่า “พระวิญญาณ” 13ครั้ง และเมื่อดูจากบริบทเราจะเห็นว่าคำว่า “พระวิญญาณ” นี้น่าจะหมายถึงพระวิญญาณทั้งเจ็ด เพราะการพูดถึงสรรพนามที่สั้นกว่า น่าจะหมายถึงสิ่งที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว คำว่า “ทั้งเจ็ด” ไม่จำเป็นว่าหมายถึงจำนวน แต่สามารถเป็นสัญลักษณ์หมายถึงความสมบูรณ์ได้ หากเราพิจารณาเศคาริยาห์ 4:6เราจะพบว่าพระเจ้าได้หนุนใจเศรุบบาเบลว่า “ไม่​ใช่​ด้วย​กำ​ลัง ไม่​ใช่​ด้วย​ฤท​ธา​นุ​ภาพ แต่​ด้วย​วิญ​ญาณ​ของ​เรา” และในท้ายข้อที่ 10ได้มีการอธิบายว่า “ทั้ง​เจ็ด​นี้​คือ​บรรดา​พระ​เนตร​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​ซึ่ง​มอง​อยู่​ทั่ว​พิภพ” ซึ่งจากบริบททั้งเจ็ดไม่น่าจะหมายถึงพระเนตร7ดวง แต่น่าจะหมายถึงความครบถ้วน คือ ไม่มีที่ไหนในโลกที่พระเจ้าทรงมองไม่เห็น

สรุป
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม และในการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์เดิมมีทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวร บุคคลที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้สถิตอย่างถาวรคือกษัตริย์ดาวิด ถึงแม้ในพระคัมภีร์เดิมจะไม่ได้บรรยายถึงการที่พระวิญญาณสวมทับดาวิดบ่อยแค่ไหน แต่ใน 1ซมอ. 16:13ได้บันทึกว่า“และ​พระ​วิญ​ญาณ​ของ​พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​สวม​ทับ​ดาวิด​ตั้ง​แต่​วัน​นั้น​เป็น​ต้น​ไป” กษัตริย์ดาวิดทรงรู้ดีว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทำบาปและได้สารภาพต่อพระเจ้า พระองค์ได้วิงวอนว่า  “ขออย่าทรงนำพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพระองค์” (สดด. 51:11) และถึงแม้ในพระคัมภีร์เดิมจะไม่ได้ระบุว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจดาวิดให้เขียนพระธรรมสดุดี แต่ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ก็แน่ใจว่า กษัตริย์ดาวิดได้เขียนสิ่งต่างๆ ไว้โดยการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่น มาระโก 12:36บันทึกว่า “เพราะ​ว่า​ดาวิด​เอง​กล่าว​โดย​พระ​วิญ​ญาณ​บริสุทธิ์​ว่า ‘พระ​เจ้าตรัส​กับ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้าพ​เจ้า​ว่า “จง​นั่ง​ที่​ขวา​มือ​ของ​เรา จน​กว่า​เรา​จะ​ปราบ​ศัตรู​ของ​ท่าน​ให้​อยู่​ใต้​เท้า​ท่าน” ‘ ” พระวิญญาณทรงทำพระราชกิจของพระองค์ในสมัยพระคัมภีร์เดิมอย่างไร พระองค์ก็ยังทรงทำพระราชกิจในสมัยปัจจุบันอย่างนั้นด้วย ในสมัยพระคัมภีร์เดิม พระวิญญาณทรงทำการอิทธิฤทธิ์ให้คนเห็นได้และทรงทำสิ่งที่คนมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้เช่นเดียวกับสมัยพระคัมภีร์ใหม่ ความแตกต่างมีไม่มากนัก จุดแตกต่างที่พอจะกล่าวได้คือในสมัยพระคัมภีร์ใหม่หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับคริสตชนทุกคน แต่การที่แต่ละคนสำแดงพระวิญญาณบริสุทธิ์แตกต่างกันนั้นเป็นเพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้จัดสรรของประทานต่างๆ และขึ้นอยู่กับคริสตชนแต่ละคนจะยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน

  • ศจ.ดร.เสรี หล่อกัณภัย
  • ภาพ Ipopba – Freepik.com