“ริษยา รีบยอมรับ รีบจัดการ” 3/19

“ริษยา รีบยอมรับ รีบจัดการ”

ผมมีเพื่อนบางคนที่เมื่อรำลึกถึงอดีตที่เคยใช้เวลาด้วยกันนั้น เขาไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรทั้งในด้านการเรียน กิจกรรม หรือบุคลิกภาพพิเศษ แต่เมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบันกลับพบว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่สังคมยกย่องว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิต และเมื่อมีโอกาสได้พบเพื่อร่วมรุ่นในสมัยนั้น กลับมีเสียงกระซิบบอกว่าความสำเร็จของเขามาจากความบังเอิญเท่านั้น เขาโชคดีกว่าคนอื่น เขาเผอิญทำสำเร็จ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้ชื่นชมยกย่องในความสามารถของเขาเลยแม้แต่น้อย และผมสัมผัสได้ทันทีถึงความรู้สึกไม่พอใจของเจ้าของเสียงกระซิบนั้นที่มีต่อความสำเร็จและได้ดีของเพื่อน และผมเรียกมันว่า ความริษยา และมันทำให้ผมต้องย้อนถามกับตัวเองด้วยว่า ตัวผมเองยืนอยู่ตรงไหน ผมกำลังชื่นชมกับความสำเร็จของเพื่อน หรือตัวผมเองก็กำลังริษยาเพื่อนของตัวเองกันแน่

ความอิจฉาริษยาในความเห็นของหลายๆคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นสีสันในชีวิตที่ต้องเกิดขึ้นบ้าง บ้างก็ว่าจะให้เราพอใจไปกับความสำเร็จของคนอื่นไปเสียหมดได้อย่างไร เพียงแต่ไม่มีใครหรอกที่จะยอมรับตรงๆ ว่าตัวเองมีความอิจฉาหรือริษยาผู้อื่นในจิตใจ เรื่องนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้ศึกษาในพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับความริษยาแรกที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ นั่นคือเรื่องราวของคาอินและอาเบลที่ ปรากฎในพระธรรมปฐมกาลบทที่ 4 ที่ความริษยาแรกของโลกที่ไม่ถูกจัดการได้กลับกลายเป็นการฆาตกรรมแรกของโลก ดังที่ได้บันทึกไว้ว่า “พระ​องค์​ตรัส​ว่า “เจ้า​ทำ​อะไร​ลง​ไป? เสียง​ของ​โลหิต​น้อง​ของ​เจ้า​ร้อง​ดัง​ขึ้น​มา​จาก​ดิน​ถึงเรา บัด​นี้ เจ้า​จึง​ถูก​สาป​จาก​ดิน​ที่​อ้า​ปาก​รับ​โลหิต​ของ​น้อง​จาก​มือ​เจ้า”(ปฐก.4:10-11) นั่นชี้ให้เห็นว่าความริษยาเป็นสัญญาณเตือนภัยที่เราต้องระมัดระวัง รีบยอมรับ และรีบจัดการก่อนที่มันจะนำพาเราไปสู่ความเกลียดชังแม้กระทั่งพี่น้องร่วมสายโลหิตของตัวเอง พระเจ้าทรงบันทึกเรื่องราวนี้ไว้เพื่อให้พวกเราใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขความริษยาที่เกิดขึ้นในจิตใจไว้ดังนี้

ประการแรก
“ความริษยาเกิดจากการไม่ยอมรับความจริง” พระธรรมปฐก.4:3-5 บันทึกไว้ว่า “อยู่​มา​วัน​หนึ่ง​คาอิน​นำ​พืช​ผล​จาก​ผืน​ดิน​มา​เป็น​ของ​ถวาย​แด่​พระ​ยาห์​เวห์ ส่วน​อาเบล​ก็​นำ​แกะ​หัว​ปี​จาก​ฝูง​และ​ไขมัน​ของ​แกะ​มา​ถวาย พระ​ยาห์​เวห์​พอ​พระ​ทัย​อาเบล​และ​ของ​ถวาย​ของ​เขา แต่​คาอิน​กับ​ของ​ถวาย​ของ​เขา​นั้น พระ​องค์​ไม่​พอ​พระ​ทัย คาอิน​ก็​โกรธ​ยิ่ง​นัก ก้ม​หน้า​ลง” เราได้เห็นความเหมือนกันของคาอินและอาเบลก็คือ ทั้งคู่ต่างก็มีสิ่งที่มาถวายแด่พระเจ้า แต่ความจริงที่แตกต่างที่เราได้อ่านจากพระวจนะตอนนี้ก็คือ คาอินนำพืชผลที่ตนปลูกมาถวาย พืชผลนี้ไม่ได้ระบุความพิเศษที่เฉพาะเจาะจง เป็นไปได้ว่าคาอินไม่ได้เลือกสรรสิ่งที่จะนำมาถวายแด่พระเจ้าด้วยหัวใจของเขา แตกต่างจากอาเบล พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า “ส่วน ​อาเบล​ก็​นำ​แกะ​หัว​ปี​จาก​ฝูง​และ​ไขมัน​ของ​แกะ​มา​ถวาย” อาเบลไม่ได้แค่นำแกะตัวหนึ่งจากฝูงแกะ แต่เขาเลือกแกะหัวปีจากฝูง นั่นแปลความว่าอาเบลได้เลือกสิ่งที่เป็นผลแรกที่เขาได้ดูแลเพื่อถวายแด่พระเจ้า แทนที่คาอินจะเรียนรู้จากความจริงว่า สาเหตุที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงพอพระทัยของถวายของอาเบลนั้นก็เพราะท่าทีที่ถูกต้องของอาเบลที่มีต่อการมอบถวาย แท้ที่จริงเขาควรจะขอบคุณที่ได้เรียนรู้สิ่งดีจาก อาเบล และโอกาสต่อไปเขาจะสามารถถวายผลแรกของผลผลิตของเขาได้เช่นเดียวกัน แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า “คาอิน​ก็​โกรธ​ยิ่ง​นัก ก้ม​หน้า​ลง” เขาเกิดความรู้สึกไม่พอใจการตัดสินของพระเจ้า และเขาเลือกเก็บมันไว้ในใจก้มหน้าลงและปิดซ่อนความริษยาไว้ภายใน

พี่น้องที่รักมีกี่ครั้งที่เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น รู้สึกขมขื่นในการอวยพรของพระเจ้าที่มีต่อคนอื่นมากกว่าเรา และร้องในใจว่า “พระเจ้าไม่ยุติธรรมกับท่านเลย” จะดีกว่าหรือไม่ถ้าเราเริ่มต้นแสวงหาว่าแท้ที่จริงแล้วพระเจ้าไม่อวยพรท่านจริงหรือ? หรือเพียงเพราะว่าพระเจ้าไม่ได้อวยพรท่านอย่างที่ท่านต้องการกันแน่ เรียนรู้จากชีวิตของผู้ที่ได้รับพรทั้งจากพระคัมภีร์และชีวิตความเชื่อของท่าน ชีวิตของคนเหล่านั้นไม่ได้มีเอาไว้ให้อิจฉา แต่มีเพื่อเตือนใจให้เราสำรวจท่าทีภายในของตนเองที่มีต่อการมอบถวายแด่พระเจ้า อย่าเข้าใจผิดว่าท่านถวายเยอะก็ควรได้รับการอวยพรเยอะ เพราะมากในจำนวนเงินและราคาที่ท่านได้ถวายแท้จริงมันอาจเป็นเศษเงินจากท่าทีในใจของท่าน เลิกตำหนิผู้อื่น เลิกขมขื่นกับพระเจ้า แล้วให้พระคำของพระองค์สำรวจท่าทีของเราเพื่อชีวิตของเราจะมอบถวายและนมัสการอย่างถูกต้อง

ประการที่สอง
“ให้พระเจ้าชันสูตรใจริษยาของเรา” พระคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ 4 ข้อ 6 บันทึกไว้ว่า “พระ​ยาห์​เวห์​จึง​ตรัส​ถาม​คาอิน​ว่า “ทำไม​เจ้า​โกรธ? ทำไม​หน้า​เจ้า​บูด​บึ้ง?” พระคัมภีร์ชี้ให้เราเห็นว่าไม่มีทางที่เราจะปิดซ่อนความรู้สึกจากพระเจ้าได้ พระองค์ทรงรู้จักเราทุกคนดี นั่นเพราะพระองค์ทรงรักเรา พระเจ้าทรงเผชิญหน้ากับคาอินด้วยการพูดถึงท่าทีในใจและพฤติกรรมภายนอกของเขาว่า “ทำไม​เจ้า​โกรธ? ทำไม​หน้า​เจ้า​บูด​บึ้ง?” พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาจะลงโทษคาอิน แต่พระเจ้าทรงมีน้ำพระทัยให้คาอินรีบยอมรับท่าทีที่ไม่ถูกต้องที่เวลานี้ได้เกิดขึ้นในใจของเขาแล้ว มันคือความโกรธ ภายใต้ความริษยา และอย่างที่เราทราบดี เมื่อคาอินไม่ได้จัดการกับมัน มันถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นความเกลียด และนำไปสู่การฆาตกรรม พี่น้องที่รักมีกี่ครั้งที่เราเก็บความไม่พอใจต่อผู้คนไว้ในใจ ซ่อนมันไว้ที่ลึกที่สุดในหุบเหวของจิตใจ และใช้ความโกรธปกปิดมันเอาไว้ และคาดหวังว่ามันจะหายไปเอง ความริษยาไม่มีวันหายไปเองเฉยๆ อย่างแน่นอน เราต้องทำอะไรกับมันสักอย่าง โดยเริ่มต้นยอมรับว่ามันเกิดขึ้นในความคิดและความรู้สึกของเราแล้ว ทำให้มันปรากฏตัวออกมา อย่าละเลยที่จะอธิษฐานเผื่อศัตรูของท่าน อย่าละเลยที่จะอวยพรคนที่ข่มเหงท่าน เพราะนี่คือเวลาที่ความริษยาจะถูกจับกุมจากจิตใจของเราได้ ความทรมานที่เราต้องทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจิตใจตามพระบัญชาของพระเจ้า จะเป็นเหมือนไม้เสียบกับปูนขาวที่ทำให้หอยหลอดต้องโผล่มาให้ชาวประมงตระครุบจับไป มันไม่แปลกหรอกครับที่จะเกิดความริษยากับเราได้ เพราะเราต่างก็ชอบเปรียบเทียบ มันเป็นสันดานของความบาปแห่งเนื้อหนังของเรา แต่สำหรับคนที่บังเกิดใหม่ในพระเจ้าอย่าลืมว่าพระเจ้าให้หัวใจฝ่ายจิตวิญญาณของเราเริ่มเต้นพร้อมกับชีวิตใหม่ และเราสามารถจับกุมความริษยาได้โดยการเผชิญหน้ากับมันด้วยพระวจนะพระเจ้า และการสรรเสริญนมัสการพระองค์ ให้พระองค์ทำให้ตาของเราสว่างพอจะมองเห็นท่าทีในหัวใจของเราได้เอง

ประการสุดท้าย
“จงเอาชนะความริษยา และกลับมาหาพระเจ้า” ปฐก.4:7 ได้บันทึกไว้ว่า “ถ้า​เจ้า​ทำ​ดี เจ้า​ก็​จะ​เป็น​ที่​ยอม​รับ​ไม่​ใช่​หรือ? ถ้า​เจ้า​ทำ​ไม่​ดี บาป​ก็​หมอบ​อยู่​ที่​ประตู อยาก​ตะครุบ​เจ้า เจ้า​จะ​ต้อง​เอา​ชนะ​บาป​นั้น” พระเจ้าทรงเตือนคาอินให้เอาชนะบาปนั้น และสิ่งที่สำคัญก็คือพระเจ้าทรงบอกกับคาอินว่า “ถ้า​เจ้า​ทำ​ดี เจ้า​ก็​จะ​เป็น​ที่​ยอม​รับ​ไม่​ใช่​หรือ?” นั่นแปลความว่าพระเจ้าปรารถนาจะรักคาอิน จะใกล้ชิดคาอิน แต่เขาต้องจัดการกับความริษยาที่ปรากฎออกมา และเอาชนะมัน การเอาชนะมันก็คือการกลับมาใกล้ชิดกับพระเจ้า ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ น่าเสียดายที่พระเจ้าทรงใช้เวลามากมายพูดคุยกับคาอิน เพื่อได้เขากลับมา แต่เขากลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย เพราะเขาปล่อยให้ความโกรธเกลียดจากแรงริษยาปิดหูของเขาเสียแล้ว

พี่น้องที่รักเราไม่อาจทำความสะอาดใบหน้าของตัวเองจากรอยเปื้อนได้อย่างหมดจด ถ้าเราไม่มีกระจกที่ดีพอ พระเจ้าทรงเตือนเราให้เห็นตัวเอง และเรียกเราให้ชำระตัวเอง เพราะอะไรหรือครับ? ก็เพราะพระเจ้าปรารถนาจะใกล้ชิดกับเราเหมือนเดิม กระซิบที่ข้างหูของเราอีกครั้ง แต่มันจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าเราปล่อยให้ใจของเราสกปรกจากความริษยาที่เราเก็บซ่อนไว้ จนกลายเป็นหนอง กลายเป็นรากขมขื่นในจิตใจของเรา โปรดอนุญาตให้ชีวิตของเราจมลึกอยู่ในความรักของพระเจ้าอีกครั้ง ให้อภัยในความล้มเหลวของตัวเอง เอาชนะความริษยาที่แอบซ่อนในใจของเรา บ่งมันออกมันอาจจะเจ็บก็จริง แต่สุดท้ายเราจะหายดีอย่างแน่นอน

หลายคนอาจจะนึกเถียงในจิตใจว่าแม้ความไม่พอใจในผู้คนจะมีอยู่ในชีวิตของฉันจริงๆ แต่ฉันก็ไม่เคยไปฆ่าใครสักหน่อย ท่านอาจจะแย้งในความคิดของท่านว่าแม้ท่านจะเกลียดใครสักคน ท่านก็แน่ใจว่าจะไม่เอาไม้ไปตีหัวเขาจนแตกแน่ บางทีเราอาจลืมคำเตือนของพระเยซูคริสต์ไปแล้วว่า “ผู้​ที่​เกลียด​ชัง​พี่​น้อง​ของ​ตน​ก็​เป็น​ผู้​ฆ่า​คน และ​พวก​ท่าน​ก็​รู้​อยู่​แล้ว​ว่า​ผู้​ฆ่า​คน​นั้น​ไม่​มี​ชีวิต​นิรันดร์​ดำ​รง​อยู่​ใน​ตัว​เขา​เลย” (1ยน. 3:15) อย่าทำให้พระเจ้าไกลจากเราด้วยแรงแห่งริษยาต่อไปอีกเลยครับ ผมขอหนุนใจท่าน เพราะความริษยานั้นต้องรีบยอมรับ และต้องรีบจัดการ ขอพระเจ้าอวยพรพระพรผู้อ่านทุกท่านครับ

  • อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
  • ภาพ www.bibleteachingnotes.blog