วิธีบูรณาการคำสอนพระคัมภีร์ แก่เด็กและเยาวชน 3/18

วิธีบูรณาการคำสอนพระคัมภีร์ แก่เด็กและเยาวชน

พระคัมภีร์ คือ หนังสือยิ่งใหญ่ เป็นพระวจนะของพระเจ้า มีผู้กล่าวว่า หากจะให้คำจำกัดความวัตถุประสงค์แบบชัดเจนที่สุดของพระคัมภีร์ก็คือ  หนังสือที่เปิดเผยให้เห็นว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะอย่างไร พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่พระเจ้าสำแดงให้แก่มนุษย์ได้เรียนรู้  บอกให้ทราบว่ามนุษย์คือใคร มีความเป็นมาอย่างไร พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นคนบาปและพระเจ้าทรงมีแผนการไถ่โดยทางพระเยซูอย่างไร มีผู้กล่าวว่า “พระคัมภีร์คือข้อมูลพื้นฐาน (คำสอน) เพื่อเตรียมตัวออกจากโลกนี้” (Bible- Basic Information Before Leaving Earth, Basic Instructions Before Leaving Earth)
.
ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์จึงเป็นหนังสือเหนือกว่าหนังสือทั้งมวล หนังสือที่ขายดีที่สุดในโลกตั้งแต่มีการพิมพ์ ไม่มีใครปฏิเสธถึงความยิ่งใหญ่ในหลักคำสอนซึ่งก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั่วโลก ในทุกทวีป พระคัมภีร์มีบทบาทเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนนับพันๆ ล้านคน ทั้งวิถีการดำเนินชีวิตของประชาชน นำไปสู่การพัฒนาชาติบ้านเมือง
.
อย่างไรก็ตาม ขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความรู้ของมนุษย์ทวีมากขึ้น คนจำนวนมากเริ่มออกห่างและละเลยไม่ใส่ใจคำสอนของพระคัมภีร์ แม้แต่ในสถาบันการศึกษาของคริสตจักร บางแห่งละเลยวัตถุประสงค์การศึกษาของคริสตชนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาชีวิตผู้เรียน ให้มุ่งไปสู่พระประสงค์ของพระเจ้า ให้มีลักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่ดีงาม ตรงตามเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้า “เพื่อ​คน​ของ​พระ​เจ้า​จะ​มี​ความสา​มารถ​ และ​พรัก​พร้อม​เพื่อ​การ​ดี​ทุก​อย่าง” (2 ทธ. 3:17) สถาบันการศึกษาของคริสตจักรจึงจำเป็นต้อง  บูรณาการคำสอนของพระคัมภีร์แก่นักเรียน นักศึกษา ปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ใช่บุตรหลานคริสตชน นี่จึงเป็นโอกาสดีในการนำข่าวประเสริฐไปสู่นักเรียนเหล่านั้น เพื่อให้เขานำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิต
.
ดังที่ผู้เขียนกล่าวไปแล้วว่าสถาบันการศึกษาที่ก่อตั้งโดยคริสตจักรเริ่มเปลี่ยนแปลง ไม่ให้ความสำคัญต่อพระคัมภีร์ ตัวอย่างในอดีต วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นมาจากสถานศึกษาเกี่ยวกับพระคัมภีร์ เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและเยล ก่อตั้งโดยกลุ่มเพียวริตัน   มหาวิทยาลัยพรินสตัน ก่อตั้งโดยคริสตจักรเพรสไบทีเรียน สถาบันเหล่านี้เคยมีประวัติศาสตร์ที่ดีงามของความเป็นคริสตชนดังที่ทราบกันดี เช่น ฮาร์วาร์ด ได้ชื่อมาจากศาสนาจารย์ท่านหนึ่ง มหาวิทยาลัยเยล เริ่มก่อตั้งโดยบรรพชิต และเมื่อมหาวิทยาลัยพรินสตันเปิดสอน ผู้สอนนักศึกษาปีแรกคือ สาธุคุณโจนาธาน  ดิ๊กคินสัน ตราประจำมหาวิทยาลัยพรินสตัน ยังคงคำว่า “Dei sub numine viget” ภาษาลาติน หมายความว่า “สถาบันนี้เจริญก้าวหน้าภายใต้พระเจ้า”
.
ในประเทศอังกฤษ สถาบันอุมศึกษาแห่งแรกเริ่มจากระดับวิทยาลัย เมื่อ ค.ศ. 500 โดยนักเทศน์ชาวเซลติค โดยสาธุคุณอิลไทด์ มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดก่อตั้งตามนโยบายด้านศาสนา เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ก่อตั้งขึ้นโดยผู้นำคริสตชนเมื่อ ค.ศ. 1209 โดยผู้นำคริสตจักร มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ สถาบันเก่าแก่ที่สุดของสก็อตแลนด์ ก่อตั้งขึ้นบนพื้นฐานสถานศึกษาศาสนศาสตร์ จะเห็นได้ว่าสถาบันการศึกษามีชื่อเสียงเหล่านี้สร้างขึ้นโดยผู้เชื่อในพระคัมภีร์ มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก เริ่มต้นจากคริสตจักรเพรสไบทีเรียน ให้เป็นสถาบันอบรมด้านพระคัมภีร์และการประกาศศาสนา เป็นต้น
.
สิ่งที่น่าเสียใจเกิดจากการที่ผู้นำสถาบันทำตามทัศนะความรู้สมัยใหม่ บ้างก็เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่เชื่อการเนรมิตสร้างอีกต่อไป จึงลดความสำคัญของพระคัมภีร์ลง เป็นจุดเริ่มต้นของการประนีประนอม ในที่สุดมรดกความเป็นคริสตชนก็ถูกกลืนหาย
.
สถาบันครอบครัวคริสตชนยุคใหม่ก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เมื่อลดความสำคัญของพระคัมภีร์ลง เริ่มใส่ใจในพระคัมภีร์ลดลง นี่คือศตวรรษแห่งการท้าทายที่จะรักษาความเชื่อไว้และถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นต่อไปอย่างไร
.
สถาบันการศึกษาของคริสตจักรในยุคปัจจุบัน
จากประสบการณ์ทำงานในแวดวงการศึกษาของคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสมาหลายทศวรรษ ผู้เขียนขอนำเอามาแบ่งปันผู้อ่าน เพื่อเป็นแง่คิดในการบูรณาการคำสอนของพระคัมภีร์ในชีวิตประจำวันและในห้องเรียนของสถานศึกษาของคริสตจักร ในชั้นเรียนคริสตจักรและในครอบครัว เพื่อนำไปประยุกต์ใช้
.
พระคัมภีร์ในระดับประถมและมัธยมศึกษา
นักเรียนและนักศึกษาในสถาบันของคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นผู้เชื่อศาสนาอื่น (พุทธ มุสลิม) การสอนพระคัมภีร์ให้แก่นักเรียนจึงไม่อาจใช้วิธีการเหมือนการสอนคริสตชน หลักสูตรการสอนพระธรรมจึงขึ้นอยู่กับอนุศาสกผู้ดูแลฝ่ายจิตวิญญาณของนักเรียน โดยการปูพื้นให้รู้จักประวัติการเขียนพระคัมภีร์ และคำสอนที่ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เสริมสร้างจริยธรรมและคุณธรรมของคริสตชนให้แก่นักเรียน การเข้าแถวเคารพธงชาติทุกเช้า นักเรียนและครูอธิษฐานร่วมกัน
.
บางโรงเรียนของเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส เป็นโรงเรียนประจำ นักเรียนทุกคนจึงมีโอกาสเข้าร่วมนมัสการเช้า-เย็น ทุกวัน และเข้านมัสการปลายสัปดาห์ รายการเยาวชนคืนวันศุกร์และนมัสการเช้าวันเสาร์ (สะบาโต)
.
ตัวอย่างวิชาที่เรียนในระดับประถมและมัธยมศึกษาครอบคลุมเนื้อหาพระคัมภีร์ทั้งหมด ได้แก่ ประวัติความเป็นมาของพระคัมภีร์ การสร้างโลก เรื่องราวของบุคคลในพระคัมภีร์เดิม-ใหม่ ราชกิจของพระเยซู การตั้งคริสตจักร การประกาศข่าวประเสริฐของอัครสาวก คำสอนของพระเยซูและอัครสาวก การประกาศข่าวประเสริฐยุคปัจจุบัน การส่งเสริมให้นักเรียนรู้จักวิธีแบ่งปันข่าวดี และแผ่นดินสวรรค์ที่กำลังจะมาพร้อมกับการเสด็จกลับมาของพระเยซู เป็นต้น
.
กิจกรรมเสริมสร้างอุปนิสัยด้วยพระคัมภีร์
โรงเรียนมีกิจกรรมส่งเสริมทางกาย สติปัญญา จิตใจและศีลธรรมให้เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบและสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความสามัคคีและมีความเจริญก้าวหน้า เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงของประเทศชาติ ในโรงเรียนของเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส มีกิจกรรมลักษณะคล้ายกับลูกเสือและเนตรนารี โดยบูรณาการคำสอนของพระคัมภีร์สอดแทรกในกิจกรรมด้วย กิจกรรมเหล่านี้มีในโบสถ์ส่วนใหญ่ ซึ่งเด็กไม่มีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนคริสเตียน จัดอบรมทุกสัปดาห์ ส่วนในโบถ์จัดกิจกรรมตอนบ่ายวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ แบ่งออกเป็นกลุ่มตามอายุดังนี้
.
1. ชมรม “แอ๊ดเวนเจอเรอร์” (Adventurers) 
มีปรัชญาในการเสริมสร้างและสนับสนุนผู้ปกครอง ให้เห็นถึงความสำคัญและรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตร โดยการฝึกฝนผู้ปกครองให้เป็นครูคนแรกของลูก เสริมสร้างให้ผู้ปกครองและบุตรมีกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้เด็กเติบโตทางด้านร่างกาย สมองและจิตวิญญาณ ให้เป็นเด็กที่มีความสุขและเติบโตเป็นวัยรุ่นที่มีความพร้อมทุกด้าน จากนั้นชักชวนให้เด็กเข้าชมรมแอ๊ดเวนเจอเรอร์ ให้เด็กและผู้ปกครองมีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน ฝึกการเข้ากับกลุ่มและเพื่อน มีความฉลาดด้านอารมณ์ (EQ) เมื่อผ่านวัยและชั้นแอ๊ดเวนเจอเรอร์ เด็กเหล่านี้จะก้าวไปสู่ชั้น “พาธไฟเดอร์” (Pathfinders) หรือ “ผู้เบิกทาง” ต่อไป
.
คำปฏิญาณของแอ๊ดเวนเจอเรอร์  “เพราะพระเยซูทรงรักฉัน ฉันจะทำดีที่สุดเสมอ”
.
กฎของแอ๊ดเวนเจอเรอร์
  • เชื่อฟัง
  • จงบริสุทธิ์
  • จงมีเมตตา
  • จงเคารพยำเกรง
  • จงตั้งใจ
  • จงช่วยเหลือผู้อื่น
  • จงชื่นชมยินดี
  • จงรอบคอบ
  • จงให้เกียรติ
ระดับชั้นเรียนตามอายุ
  • ชั้น “แกะน้อย” (Little Lamb) สำหรับเด็กก่อนชั้นอนุบาล อายุ 4 ปี
  • ชั้น “บีเวอร์จอมมุ่งมั่น” (Eager Beaver) ชั้นอนุบาล อายุ 5 ปี
  • ชั้น “ผึ้งขยัน” (Busy Bee) ชั้น ป. 2 อายุ 7 ปี
  • ชั้น “แสงตะวัน” (Sun Beams) ชั้น ป. 3 อายุ 8 ปี
  • ชั้น “ผู้สร้าง” (Builders) ชั้น ป. 4 อายุ  9 ปี
เมื่ออนุชน/นักเรียนอายุ 10 ปี ขึ้นไป จะเข้าร่วมชมรม “พาธไฟเดอร์” (Pathfinders)
.
2. ชมรมพาธไฟเดอร์ (Pathfinder Club)
วัตถุประสงค์ของพาธไฟเดอร์ คือการสร้างเยาวชนเพื่อเป็นผู้นำในอนาคต เพื่อนำข่าวประเสริฐประกาศทั้งในท้องถิ่นและทั่วโลก โดยการให้ความรู้ด้านพระคัมภีร์ศึกษา เรามีกิจกรรมด้านร่างกายเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่เด็กและเยาวชน อีกด้านหนึ่งด้วย ชมรม “พาธไฟเดอร์”  มีศูนย์กลางของกิจกรรมอยู่ที่ การสร้างเสริมจิตวิญญาณ ร่วมกับกิจกรรมสันทนาการ เพื่อเด็กและอนุชนอายุ 10-15 ปี โดยมีกิจกรรมที่สนองต่อความสนใจและต้องการของเด็กวัยนี้ ซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงเร็ว กิจกรรมจึงมีการแสดงออก การผจญภัย การท้าทาย กิจกรรมกลุ่ม และให้โอกาสในการสร้างทัศนคติที่ดี ทักษะในการสร้างลักษณะนิสัยที่เหมาะสมกับวัยและในการเข้ากับเพื่อนในกลุ่ม การทำงานเป็นทีม สร้างความจงรักภักดีต่อพระเจ้า พระผู้สร้างของเขา และคริสตจักรของพระองค์
.
คำปฏิญาณพาธไฟเดอร์  “โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าฯ จะเป็นคนบริสุทธิ์ มีน้ำใจ และสัตย์จริง ข้าฯ จะรักษากฎของพาธไฟเดอร์ ข้าฯ จะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าและเป็นมิตรกับทุกคน”
.
ความหมายคำปฏิญาณ 
  • “โดยพระคุณ” การทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าโดยการช่วยเหลือของพระองค์
  • “เป็นคนบริสุทธิ์” จะดำรงชีวิตอยู่เหนือวิถีของโลก รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะและสร้างสันติสุขทุกหนแห่ง
  • “มีน้ำใจ” มีจิตเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่งที่มีชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้าง
  • “รักษากฎของพาธไฟเดอร์” เข้าใจ เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำปฏิญาณและกฎของพาธไฟเดอร์
  • “เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า” ปฏิญาณตนรับใช้พระเจ้าเป็นสิ่งแรกและสิ่งสุดท้าย และสิ่งดีที่สุดเหนืออื่นใด
  • “เป็นมิตรกับทุกคน”  มีชีวิตเป็นพรแก่คนทั้งหลาย ดังที่เขาเป็นพรแก่เรา
กฎพาธไฟเดอร์ ทุกคนพึงปฏิบัติดังนี้
  • นมัสการเช้าทุกวัน-เฝ้าเดี่ยว ศึกษาพระคัมภีร์และอธิษฐานทุกวัน
  • ให้เกียรติผู้อื่น-โดยพระคุณพระเจ้า ฝึกเป็นคนสุภาพ ถ่อมตนเสมอ
  • ใส่ใจดูแลร่างกาย-ฝึกการบังคับตน ดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ
  • ซื่อตรง-ไม่พูดโกหก พูดปด หลอกลวง คิดและพูดแต่ความจริง หลีกเว้นความคิดชั่วร้าย
  • มีน้ำใจและเชื่อฟัง-มีน้ำใจให้ผู้อื่น แสดงความรักของพระเยซูให้ทุกคนเห็นในการกระทำทุกอย่าง
  • เดินเรียบร้อยในโบสถ์-สำรวมกิริยามารยาทในสถานนมัสการ
  • ร้องเพลงในใจเสมอ-มีใจร่าเริง สดชื่น เป็นแสงสว่างให้ผู้อื่นได้เห็นพระคริสต์เสมอ
  •  มุ่งหน้ารับใช้พระเจ้า-พร้อมทำความดี และแบ่งปันพระคริสต์แก่ทุกคน
ชั้นเรียนของพาธไฟเดอร์ มีระดับต่างๆ ดังนี้
  • ชั้น “เพื่อน” (Friend) ชั้น ป. 5 อายุ 10-11 ปี
  • ชั้น “สหาย” (Companion) ชั้น ป. 6 อายุ 11-12 ปี
  • ชั้น “ผู้บุกเบิก” (Explorer) ชั้น ม. 1  อายุ 12-13 ปี
  • ชั้น “ผู้พิทักษ์” (Ranger) ชั้น ม. 2  อายุ 13-14 ปี
  • ชั้น “ผู้นำวิถี” (Voyager) ชั้น ม. 3  อายุ 14-15 ปี
  • ชั้น “ผู้ชี้นำ” (Guide) ชั้น ม. 4-6 อายุ 15-16 ปี
ผู้ที่ผ่านชั้น “ผู้ชี้นำ” ครบ 4 ปี จะก้าวไปเป็นผู้สอนหรือวิทยากร (Master Guide) ต่อไป
.
กิจกรรมเพื่อเด็กและเยาวชนทั้งหมดนี้มีการศึกษาพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่อง การท่องจำ เรียนรู้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อการนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยหวังว่าทุกคนจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย สมองและจิตวิญญาณ ชั้นเรียนทั้งหมดนี้มีสอนอยู่ในโรงเรียนของเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสทุกแห่งทั่วโลก ในประเทศไทยทั้งหมด 10 โรงเรียน
.
บูรณาการพระคัมภีร์ในระดับอุดมศึกษา
ผู้เขียนเคยมีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตรวิชาพื้นฐานของมหาวิทยาลัยนานาชาติเอเชีย-แปซิฟิก ดำเนินงานโดยมูลนิธิคริสเตียนเมดิคอลเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส เปิดสอนหลายสาขาวิชา โดยกำหนดนโยบายให้นักศึกษาทุกสาขาต้องเรียนวิชาด้านพระคัมภีร์ศึกษา 12 หน่วยกิต ในหมวดวิชาพื้นฐาน เพื่อให้ผู้ศึกษาพัฒนาตนเองด้านชีวิต การศึกษา และแบ่งปันพระวจนะ โดยการนำหลักการ นำคำสอนของพระคัมภีร์สอดแทรกในทุกวิชาเรียน เรียกว่า “บูรณาการความเชื่อและการเรียนรู้” (Integration of Faith and Learning) นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยฯ เปิดสอนสาขาศาสนศึกษา (Religious Study) เพื่อเตรียมนักศึกษาเข้าสู่การเป็นผู้รับใช้พันธกิจอภิบาลศิษย์ในคริสตจักร ปรัชญาการดำเนินงานสถานบันการศึกษาแห่งนี้ยกย่องพระคัมภีร์เป็นหนังสือต้นแบบการสอน เหมือนสถาบันอุดมศึกษาของคริสตจักรทั่วโลกกว่า 115 แห่ง โรงเรียนระดับประถมและมัธยม 7,760 แห่ง ใน 215 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ประสบการณ์ด้านการศึกษาโดยมีพระคัมภีร์เป็นศูนย์กลาง ดำเนินมากว่า 150 ปี (ดูรายชื่อ https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Seventh-day_Adventist_colleges_and_universities)
..
วิชาเกี่ยวกับพระคัมภีร์ในกลุ่มวิชาพื้นฐานที่นักศึกษาทุกคนต้องลงทะเบียนเรียนได้แก่ 
  • สัมมนาการพัฒนาลักษณะนิสัย นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมและรับฟังข้อคิดเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณทุกสัปดาห์ เรียนรู้หลักการดำเนินชีวิตที่ดีงาม ตามแบบจริยธรรม คริสตชน เพื่อนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวัน เพื่อเตรียมตัวออกไปรับใช้สังคม และเป็นผู้นำด้านจริยธรรมในอนาคต เพื่อนำสันติสุขมาสู่ชุมชน
  • ชีวิตและคำสอนของพระเยซู ศึกษาความเป็นมาความเชื่อของคริสตชนในพระคัมภีร์ โดยการศึกษาชีวิตและคำสอนของพระเยซูที่มีต่อสังคมมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
  • จริยศึกษา ศึกษาจริยธรรมตามทัศนะของคริสตศาสนาและการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าประวัติ ปรัชญาของจริยธรรมด้านพฤติกรรมอื่นๆ ในสังคม เพื่อสร้างคุณค่าและพัฒนาลักษณะนิสัย
  • กำเนิดชีวิต ศึกษาปัญหาที่มาของจักรวาลและเผ่าพันธุ์มนุษย์จากมุมมองของศาสนา ปรัชญา และสะท้อนความคิดเห็นจากวิทยาศาสตร์ ค้นคว้าหาคำตอบให้แก่คำถามการเกิดขึ้นของชีวิตมนุษย์ จากแนวคิดทั่วไปและคำสอนของพระคัมภีร์เกี่ยวกับกำเนิดชีวิต ซึ่งเห็นด้วยหรือแตกต่างจากความรู้อื่นๆ
  • ทักษะการใช้ชีวิตในสังคม ศึกษาทัศนะเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และบทบาทในสังคมของแต่ละคน รู้จักเอกลักษณ์ของตนเอง และพลังทางสังคม โดยนำเอาหลักการของพระคัมภีร์มาศึกษาเปรียบเทียบและประเมินประเด็นต่างๆ ในสังคม เตรียมเยาวชนหนุ่มสาวก้าวไปสู่การสร้างครอบครัวของตนเองต่อไป
  • พื้นฐานความเชื่อคริสตชน ศึกษาพื้นฐานความเชื่อและคำสอนของคริสตชน เช่น ความรอดบาป การนมัสการ การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ การดูแลสุขภาพ การบังคับตน การประกาศข่าวประเสริฐ ชีวิตและความตาย การพิพากษา ฯลฯ
  • จุดมุ่งหมายของมนุษย์ ศึกษาอนาคตศาสตร์ของโลก บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ โดยเฉพาะพระธรรมดาเนียลและวิวรณ์
.
สิ่งที่คริสตจักรพึงตระหนักในสภาพความเป็นจริง บุตรหลานคริสตชนส่วนมากไม่ได้ศึกษาในโรงเรียนของคริสตจักร ด้วยเหตุนี้ อนุชนและเยาวชนเหล่านี้ไม่มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับจิตวิญญาณตามคำสอนของพระคัมภีร์ ยิ่งไปกว่านั้น หากศึกษาในสถาบันการศึกษาของรัฐบาล นักเรียน นักศึกษาต้องเข้าร่วมกิจกรรมด้านศาสนาที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อ จึงเป็นหน้าที่ของคริสตจักรและครอบครัวในการให้ความรู้แก่เยาวชน หลักสูตรและกิจกรรมที่นำเสนอในบทความนี้ สามารถนำไปปรับใช้ได้
.
นอกจากโรงเรียนรวีวารศึกษา ควรหรือไม่ที่จะให้มีชั้นศึกษาในวันอื่นนอกจากวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เพื่อส่งต่อความเชื่อให้แก่ชนรุ่นต่อไป เหมือนชาวยิวที่ยังคงความเป็นชนชาติอยู่ได้ทุกวันนี้ แม้เวลาผ่านมาหลายพันปี แม้สิ้นแผ่นดินอาศัย ชาวยิวไม่เคยละทิ้งการศึกษาและการสั่งสอนความเชื่อในพระเจ้าแก่บุตรหลาน
.
การศึกษาตามแบบชาวยิวคือการถ่ายทอดคำสอน หลักการต่างๆ และธรรมบัญญํติของศาสนา    ยูดาย พวกเขาได้ชื่อว่า “คนแห่งหนังสือ” (People of the Book) คนยิวจึงเห็นคุณค่าการศึกษา เน้นค่านิยมการศึกษายิ่งกว่าสิ่งใด จนกลายเป็นวัฒนธรรมยิวไปโดยปริยาย ศาสนายูดายเน้นหนักไปที่การศึกษาพระคัมภีร์โทราห์ ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาชาวยิวสั่งสอนพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม เขาเชื่อว่า พระคัมภีร์คือหนังสือที่อธิบายความการศึกษาของชาวยิว ด้วยวัตถุประสงค์หลักคือ การรู้จักและนมัสการพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ผู้ปกครองชาวยิวจึงมีหน้าที่สั่งสอนบุตรหลานของตนให้รู้จักการอธิษฐาน สอนให้รู้ว่าโทราห์มีข้อห้ามใดบ้าง ผู้ปกครองคือผู้ถ่ายทอดจริยธรรม ความเชื่อและค่านิยมแบบยิวให้แก่บุตรหลาน
.
นักเขียนชื่อ นาธัน เอช. วินเธอร์ กล่าวว่า “เป็นที่ยอมรับว่า โทราห์ เป็นคำสอนที่เกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่างในการดำรงความเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่สัมผัสกับชีวิตในทุกมิติ นอกจากนี้โทราห์ยังให้ความหมายของการเรียนรู้ การสั่งสอน และการแนะแนว การศึกษาของยิวจึงเกี่ยวข้องกับกับการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมแก่ปัจเจกยิวทุกคน”
.
ประวัติการศึกษาของชาวยิวถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับศาสนายูดาย ชาวยิวยกย่องให้อับราฮัมเป็นผู้ริเริ่มการสอนวิถีของพระเจ้าแก่บุตรของท่าน หน้าที่พื้นฐานของผู้ปกครองชาวยิวคือ การสอนบุตรหลานของเขาให้อธิษฐาน “เช-มา ยิสราเอล” จากพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ “และจง​ให้​ถ้อย​ คำ​เหล่า​นี้​ที่​ข้าพ​เจ้า​บัญชา​ท่าน​ใน​วัน​นี้​อยู่​ใน​ใจ​ของ​ท่าน และ​ท่าน​จง​สอน​ถ้อย​คำ​เหล่า​นั้น​แก่​บุตร​หลาน​ของ​ท่าน และ​จง​พูด​ถึง​ถ้อย​คำ​เหล่า​นั้น​เมื่อ​ท่าน​นั่ง​อยู่​ใน​บ้าน เดิน​อยู่​ตาม​ทาง นอน​ลง​หรือ​ลุก​ขึ้น จง​เอา​ถ้อย​คำ​เหล่า​นี้​ผูก​ไว้​ที่​มือ​ของ​ท่าน​เป็น​หมาย​สำคัญ และ​คาด​ไว้​ที่​หน้า​ผาก​ของ​ท่าน​เป็น​สัญ​ลักษณ์ และ​จง​เขียน​ถ้อย​คำ​เหล่า​นี้​ไว้​ที่​เสา​ประตู​บ้าน และ​ที่​ประตู​ของ​ท่าน” (6:6-9)
.
คริสตชนควรฝึกบุตรหลานเช่นเดียวกับชาวยิว โดยการใช้ 10 วิธีต่อไปนี้ 
     เมื่อ “ลุกขึ้น”
     1. สอนให้บุตรหลานฝึกนิสัยอธิษฐานทุกวัน ฝึกให้เขาเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า ในวัยเด็กเล็ก เปิดเสียงอ่านพระคัมภีร์ให้ลูกฟัง เพลงคริสตชน อธิษฐานกับลูกเป็นประจำทุกวัน จัดหาหนังสือ ซีดี สื่อ ให้สมกับวัยของเด็ก (ซื้อได้จากสมาคมพระ    คริสตธรรมไทย)
     เมื่อ “นอน​ลง”
     2. นมัสการก่อนนอนกับลูก ไม่จำเป็นต้องอ่านจากพระคัมภีร์เสมอไป เพียงอธิบายความหมายของพระธรรม เล่าเรื่องบุคคลในพระคัมภีร์ให้ลูกฟังก่อนนอน ช่วยให้ลูกเข้าใจมากขึ้น
     3. อ่านสดุดีอวยพรให้ลูกก่อนนอน ก่อนที่ลูกหลับตานอน อ่านพระธรรมสดุดี อธิษฐานกับลูก
     4. เปิดเพลงบรรเลงสรรเสริญเบาๆ เพื่อช่วยให้ลูกหลับสบาย
     เมื่อ “เดิน​อยู่​ตาม​ทาง”
     5. แนะนำพระธรรมสุภาษิตเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน พระธรรมเขียนสำหรับผู้ปกครองสอนลูกหลาน ท่องจำง่าย เมื่อลูกมีปัญหา ค้นข้อพระธรรมที่เหมาะเป็นคำตอบให้เขา เมื่อต้องลงวินัยลูก ใช้สุภาษิตสอดแทรก ก่อนการตีสอน
     6. ชวนลูกหลานออกไปรับใช้ ร่วมกิจกรรมเพื่อสังคม การเยี่ยม ช่วยเหลือผู้สูงอายุ งานอาสาสมัครต่างๆ ยกตัวอย่างในพระคัมภีร์ให้เขาเห็นว่า การทำความดีแก่คนอื่น ก็เหมือนทำต่อพระเยซู
     “เมื่อ​ท่าน​นั่ง​อยู่​ใน​บ้าน” 
     7. แนะนำข้อพระธรรมที่เหมาะสมกับการชมสิ่งบันเทิง ละคร ภาพยนตร์ และรายการหลายรูปแบบอาจไม่เหมาะสมกับวัยของเด็ก การยกเอาพระธรรมมาชี้ให้เห็นจะช่วยเด็กได้คิดและไตร่ตรอง  ถามลูกว่า “ตัวละครนี้แสดงสิ่งดีงามหรือไม่เหมาะสมออกมา”  (เช่น ละคร “บุพเพสันนิวาส” เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด คนตายยุคนี้ ไปเกิดในยุคอดีตได้อย่างไร?) แนะนำพระธรรม รม. 12:9-21, 1 คร. 13:4-8ก, กท. 5:16-26, ฟป. 4:8 และ คส. 3:5-17
     8. อธิษฐานก่อนรับประทานอาหาร สิ่งที่คริสตชนปฏิบัติก่อนรับประทานอาหารเป็นปกติอยู่แล้ว อาจเสริมด้วยข้อพระธรรม นำมาเป็นหัวข้ออธิษฐาน เช่น สดด. 104, 136, 145 และอาจอธิษฐานเผื่อผู้อื่นตามที่เห็นว่าเหมาะสม
     9. กำหนดเวลาท่องข้อพระธรรม ใช้เวลาสั้นๆ ทุกวันท่องข้อพระธรรมที่ลูกชอบ หรือที่เข้ากับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน หรือท่องจากข้อความในหลักข้อเชื่อ เป็นต้น เมื่อทำเสมอจะทำให้เด็กจดจำและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
     10. สอดแทรกคำสอนในพระคัมภีร์กับวิชาเรียน บุตรหลานคริสตชนที่เรียนในสถานศึกษาที่ไม่ใช่ของคริสตชนไม่มีโอกาสเรียนรู้พระธรรม ตัวอย่างเช่น โรงเรียนสอนทฤษฎีวิวัฒนาการ ครูอาจารย์และคนส่วนใหญ่เชื่อเรื่องนี้ นักเรียนคริสตชนจะแสดงออกความเชื่อของเขาอย่างไร การ บูรณาการพระธรรมเข้ากับทุกวิชา จึงเป็นหน้าที่ของบิดามารดา ผู้ปกครอง โยงเรื่องราวในประวัติศาสตร์โลกเข้ากับเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ได้ (เช่น พระธรรมดาเนียลบทที่ 2) ประวัติบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นต้น
.
หลักคำสอนพื้นฐานที่บุตรหลานคริสตชนควรเรียนรู้ เพื่อให้เขามีเกราะป้องกันตนเองจากอิทธิพลทางโลก ที่ถาโถมทำลายเยาวชนทุกวันนี้อย่างหนักหน่วง คำสอนเหล่านี้จะช่วยให้เขาไม่หลงไปตามกระแสของความบาปในสังคม
  • พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีพระฉายา เราเป็นผลแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ ไม่ได้มาจากวิวัฒนาการ ผู้เชื่อพระเจ้าจึงมีหน้าที่สะท้อนพระลักษณะและพระฉายาในชีวิตของตน
  • เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระผู้สร้างจึงสูญเสียพระฉายา พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระองค์ ความผูกพันนี้เกิดจากความรักและยินดี ไม่ใช่การบังคับ การเชื่อคำของซาตานทำให้มนุษย์ล้มลงในบาป และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างได้รับผลการทำลายของบาป ผลของบาปถ่ายทอดไปสู่มนุษย์ทุกคน ความคิดอ่านและการกระทำของมนุษย์จึงล้วนได้รับผลของบาป
  • พระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งเพื่อนำมนุษย์กลับสู่สภาพดีดังเดิม คืนพระฉายาของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ การกลับสู่สภาพดีดังเดิมคือการได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้าโดยการรับเอาการไถ่บาปของพระเยซู “ฉะนั้น​ถ้า​ใคร​อยู่​ใน​พระ​คริสต์ เขา​ก็​เป็น​คน​ที่​ถูก​สร้าง​ใหม่​แล้ว สิ่ง​สาร​พัด​ที่​เก่าๆ ก็​ล่วง​ไป นี่​แน่ะ​กลาย​เป็น​สิ่ง​ใหม่​ทั้ง​นั้น” (2 คร. 5:17) พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ประสูติจากหญิงพรหมจารี พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง และผู้ค้ำจุนทุกสิ่ง เรื่องราวของพระองค์เป็นคำตอบแก่มนุษย์ทุกคนที่ถามว่า ฉันมาจากไหน? ฉันเข้ามาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร? ฉันกำลังจะไปไหน? พระคัมภีร์มีคำตอบ “เพราะ​สิ่ง​สาร​พัด​มา​จาก​พระ​องค์ (ฉันมาจากไหน?) โดย​พระ​องค์ (ฉันเข้ามาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร?) และ​เพื่อ​พระ​องค์ (ฉันกำลังจะไปไหน?) ขอ​พระ​เกียรติ​จง​มี​แด่​พระ​องค์​ตลอด​ไป​เป็น​นิตย์ อา​เมน” (รม. 11:36) พระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ (1 ทธ. 3:16) ทรงเป็นพระเจ้า-มนุษย์ ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ มนุษย์จึงเห็นพระเจ้าจากชีวิตของพระเยซู (ยน. 1:18) ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเผยให้เห็นพระเจ้าในทุกมิติ
  • พระเยซูทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวผู้เข้ามาในโลกเพื่อไถ่มนุษย์ โดยการตายแทนเราบนไม้กางเขน  การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์พิสูจน์ให้เห็นว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า (รม. 1:4) ทรงมีฤทธิ์อำนาจในการช่วยทุกคนให้รอด เมื่อคนเหล่านั้นเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยทางพระเยซู (ฮบ. 7:25) พระองค์เสด็จคืนสู่สวรรค์ ทำหน้าที่เป็นคนกลาง มหาปุโรหิตของเรา (ฮบ. 7:24, 25, 9:15) ทรงมอบภารกิจในการเตรียมธรรมิกชนให้บรรลุถึงความบริบูรณ์ของพระองค์ (อฟ. 4:7-13) และเตรียมตัวพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระองค์ (วว. 22:20)
.
การศึกษาที่แท้จริงเป็นสิ่งที่มากกว่าการแสวงหาวิชาความรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง การศึกษาแท้หมายถึงการเตรียมตัวเพื่อชีวิตนี้ เป็นการประสานพลังพัฒนาการด้านร่างกาย สมองและจิตวิญญาณ เป็นการเตรียมผู้เรียนให้พร้อมเพื่อการรับใช้ในโลกนี้ด้วยความชื่นชมยินดี และเพื่อการรับใช้ที่สูงส่งยิ่งขึ้นในโลกใหม่ที่กำลังจะมาถึง
.
หน้าที่ของผู้ปกครอง บิดามารดาคริสตชนทุกคน ในการสั่งสอนบุตรหลาน ให้สังวรณ์เสมอว่า เขาเป็น “พลเมืองสวรรค์” (ฟป. 3:20) ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ชอบธรรม พร้อมต้อนรับพระองค์ผู้จะเสด็จมา ให้ทุกคน “​​พาก​เพียร​ทำ​ความ​ดี แสวง​หา​ศักดิ์​ศรี เกียรติ และ​ความ​เป็น​อมตะ​นั้น พระ​องค์​จะ​ประ​ทานชีวิตนิรันดร์​ให้” (รม. 2:7) เมื่อบรรลุถึงเป้าหมายนี้ก็นับว่า การศึกษาของคริสตชนเป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างสมบูรณ์แล้ว
  • ศาสนาจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ อินสม
  • ภาพ Wavebreakmedia – Freepik.com