สมาร์ตโฟนถ้าใช้ก็ให้สมาร์ท 2/13

สมาร์ตโฟน ถ้าใช้ก็ให้สมาร์ท 

ทุกครั้งที่ใกล้ถึงเวลาเลิกงาน สมาร์ตโฟนของผมเป็นต้องร้องเสียงดัง “ติ๊ง”ผมเดาได้ไม่ยากว่าคุณแม่ส่งภาพอาหารเย็นแสนอร่อยฝีมือท่านพร้อมภาพสติกเกอร์น่าขำผ่านโปรแกรมไลน์มาให้ทำให้ผมตัดสินใจรีบขับรถไปทานฝีมือคุณแม่ก่อนที่มันจะชืดจนหมดรสอร่อยไม่น่าเชื่อว่ามือถือแบบใหม่ที่เรียกว่า“สมาร์ตโฟน”ที่ผมเคยกลัวนักกลัวหนาแถมยังต่อต้านคนที่ใช้วันนี้กลับกลายเป็นช่องทางสำคัญที่ผมสามารถสื่อสารกับคุณแม่ และคนที่ผมรักได้ในทุกๆ วัน

ย้อนเวลากลับไปเมื่อสักครึ่งปีที่ผ่านมา ผมมีความคิดว่า “สมาร์ตโฟน” เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีความจำเป็น ทั้งยังฟุ่มเฟ?อยมีราคาแพง และเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งโลกทุนนิยมยิ่งถ้านับรวมกับความกระอักกระอ่วนใจเวลาเห็นสีหน้าของคนรอบข้างทำสีหน้าแปลกๆ ทุกครั้งที่เห็นผมควักเจ้ามือถือรุ่นโบราณด้วยแล้ว ทำให้ผมเกิดอคติ และจงเกลียดจงชังเจ้าสมาร์ตโฟนนี่เสียเหลือเกิน จนกระทั่งเมื่อผมเริ่มศึกษาหาข้อมูลเพื่อให้น้ำหนักกับความคิดตัวเองที่จะไม่ใช้เจ้าสมาร์ตโฟน ผมกลับพบว่าเทคโนโลยีชิ้นนี้ทำให้ผมลดเวลาในการทำงานลงไปมากไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลาการส่งงานผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิก (อีเมล) และยังมีโปรแกรมและเกมที่แสนจะเพลิดเพลินมากมายเหลือเกิน นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อโทรศัพท์ แต่โลกใหม่ของสมาร์ตโฟนก็ทำเอาผมแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนติดต่อกันหลายคืน ผมตื่นเต้นไปกับแอปพลิเคชันใหม่ๆ (โปรแกรมแบบที่ใช้ในสมาร์ตโฟน)  ได้มีโอกาสชมรายการโทรทัศน์ของต่างประเทศได้ง่ายๆ สามารถใช้เฟซบุ๊กได้ตลอดเวลา กว่าจะรู้ตัวก็ผ่านไปเกือบตีสามแล้ว ผมติดสมาร์ตโฟนจนงอมแงมอยู่หลายวัน ต้องขอบคุณที่คนรอบข้างเตือนผมให้เงยหน้าขึ้นมาพูดคุยกับโลกจริงซะบ้าง ผมจึงหลุดวงจรแห่งการเสพติดเทคโนโลยีออกมาได้

ผมเชื่อว่าผู้อ่านส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับสมาร์ตโฟน เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป ถ้าย้อนกลับไปสัก 5-6 ปี สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตคงเปรียบเสมือนเครื่องประดับที่มีได้เฉพาะคนที่มีรายได้ดีเท่านั้น แต่ปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสามัญที่ใครๆ ก็มีได้ และยังมีระบบผ่อนชำระสำหรับคนที่มีรายได้น้อยแต่ต้องการอยู่ร่วมในสังคมอย่างไม่ตกยุค ภาพของผู้คนบนรถไฟฟ้าหรือรถประจำทางที่มองวิวข้างทางหรือพุดคุยหยอกล้อกันเริ่มลดน้อยลงไปทุกที ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ก้มหน้าก้มตาหยิบสมาร์ตโฟนเพื่อเข้าไปในโลกส่วนตัวโดยไม่นึกจะมองอะไรข้างทางหรือหน้าคนที่นั่งข้างๆ อีก (ในอนาคตคนส่วนใหญ่คงจะเป็นโลกปวดต้นคอ และนิ้วล็อกกันมากขึ้นเพราะเจ้าสมาร์ตโฟน) สิ่งที่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งก็คือสมาร์ตโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนในสังคมเมืองมากขึ้นทุกที คนที่ไม่มีสมาร์ตโฟนก็อาจจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่หยิบมือถือขึ้นมา แล้วสายตาคนอื่นๆ ดูตกใจราวกับว่าเราขโมยเอโบราณวัตถุออกมาจากพิพิธภัณฑ์ที่ไหนสักแห่งแต่การมีสมาร์ตโฟนอย่างไม่เข้าใจถ้าไม่ระวังให้ดีบางทีพวกเราก็อาจกลายเป็นคนหนึ่งที่เสพติดโลกไซเบอร์ขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัวก็เป็นได้

อาการที่พอจะบอกกับเราได้ว่าเรากำลังเสพติดสิ่งนี้หรือไม่พอให้เราใช้เป็นข้อสังเกตประการแรกก็คือ “เราชาร์จแบตเตอรี่ของสมาร์ตโฟนมากกว่าวันละ 2 ครั้งหรือไม่” ถ้าท่านไม่ได้ทำงาเอกสารมากมายผ่านสมาร์ตโฟนจริงๆ ก็นับเป็นเรื่องยากที่เราต้องเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่มากกว่าวันละสองครั้งแต่ในความเป็นจริง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ซื้อแบตเตอรี่สำรองหรืออุปกรณ์ช่วยชาร์จไฟแบบไร้สายที่สามารถชาร์จได้ถึงวันละสี่ครั้งเลทีเดียว สมาร์ตโฟนช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นก็จริงแต่ก็มีหลายสิ่งที่สมาร์ตโฟนไม่สามารถทดแทน ได้ สิ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “การพักผ่อน” ในพระธรรมสุภาษิต 23:4 กล่าวว่า “อย่าโหมงานจนอ่อนล้าเพื่อจะเป็นคนมั่งมีจงฉลาดพอที่จะหยุดพัก” แม้คุณจะไม่ได้เล่นสนุกกับสมาร์ตโฟน และกำลังทำงาน การไม่หยุดพักให้เพียงพออาจหมายถึงการบั่นทอนความแข็งแรงของร่างกายในอนาคตเท่ากับว่าคุณกู้เวลามาจากอนาคต สุดท้ายกลับต้องจ่ายแพงด้วยการเป็นโรคโดยไม่จำเป็นดังนั้นให้เราหมั่นสังเกตให้ดีว่าเราเสียบไฟชาร์จบ่อยแค่ไหน ถ้าแบตเตอรี่ของท่านเสื่อม ก็ไปซื้อมาเปลี่ยนซะ! แต่ถ้าไม่ใช่ก็จงอย่าใช้สมาร์ตโฟนให้มากนัก เพราะแบตเตอรี่ของชีวิตไม่มีวางขายให้ท่านซื้อมาเปลี่ยนได้

ข้อสังเกตประการต่อมาก็คือ “คุณเปลี่ยนสมาร์ตโฟนบ่อยหรือไม่” คนที่เสพติดเทคโนโลยีจะทนไม่ค่อยได้กับความเชื่องช้าเพียงเล็กน้อยของอุปกรณ์ทำให้มีความต้องการจะได้อุปกรณ์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา หรือทนไม่ได้กับความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ลดลงเล็กน้อย นอกจากเปลี่ยนสมาร์ตโฟนบ่อยแล้วจึงนิยมซื้อแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตที่แพงและดีที่สุด ซึ่งหากท่านเป็นคนในแวดวงธุรกิจที่ต้องอาศัยความฉับไวในการสื่อสารข้อมูลก็พอเป็นที่เข้าใจได้แต่ในความเป็นจริงเราพบว่ามีนิสิตนักศึกษาจำนวนมากซื้อแพ็คเกจอินเทอร์เน็ต และเครื่องสมาร์ตโฟน ในระดับผู้บริหารบริษัทเลยทีเดียว ผู้อ่านจะสังเกตคนประเภทนี้ได้ไม่ยากเพราะเขาแทบจะไม่เงยหน้าขึ้นจากจอสมาร์ตโฟนเลย และเป็นอย่างนั้นตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเวลาอาหารร่วมกับครอบครัว หรือแม้กระทั่งในเวลาเรียนจึงเป็นเรื่องพอเข้าใจได้ที่หลายโรงเรียนไม่อนุญาตให้ใช้สมาร์ตโฟนในพื้นที่โรงเรียนที่น่าใจหายก็คือเราเริ่มเห็นภาพแบบเดียวกันนี้ในคริสตจักรแม้กระทั่งในเวลาที่มีการเทศนา ในพระธรรมสุภาษิต 24:3 กล่าวว่า “โดยปัญญาบ้านจึง ถูกสร้างขึ้นแลโดย ความเข้าใจมันก็ถูกสถาปนาไว้” เป็นเรื่องดีถ้าท่านจะใช้สมาร์ตโฟนกับโปรแกรมพระคัมภีร์ เพื่อเป็นอุปกรณ์ช่วยในการฟังคำเทศนา แต่หากเรามัวก้มหน้าก้มตาทำอย่างอื่นอยู่ก็น่าสงสัยว่าสมาชิกและลูกหลานในคริสตจักรจะได้รับปัญญาจากพระเจ้าได้อย่างไร และจะมีความเข้าใจในการใช้ชีวิตตามพระวจนะพระเจ้าได้หรือ เพราะพื้นที่สมองของเขาเหล่านั้นไม่เหลือที่ว่างให้สิ่งอื่นเสียแล้ว

ข้อสังเกตสุดท้ายก็คือ “เท้าของท่านสัมผัสผืนดินและพื้นหญ้าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” คนในเมืองใหญ่นั้นเต็มไปด้วยความเร่งรีบจราจรที่คับคั่งทำให้เราแทบไม่อยากจะเดินทางโดยไม่จำเป็น สมาร์ตโฟนเป็นตัวช่วยหายใจเอาเวลาทิ้งชิ้นเยี่ยม มันพร้อมจะขโมยเวลาจากเราทุกคนที่หลงมัวเมาในตัวมันเกินความพอดี ผมอยากสนับสนุนผู้อ่านทุกท่านให้วางสมาร์ตโฟนลงสักครู่พาตัวเองไปสวนสาธารณะ หรือผืนทรายที่ชายฝั่งที่ไหนสักแห่งปล่อยหัวใจชื่นชมไปกับการทรงสร้างที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ในบทบาทนักจิตวิทยาผมมักแนะนำให้ผู้ที่มาปรึกษาทำสิ่งนี้เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด เราทุกคนอาศัยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในห้องเช่า หรือในคอกทำงานมานานมากพอแล้ว คงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ลงไปในกรอบเล็กๆ ของโลกเสมือนจริงอย่างสมาร์ตโฟนให้มากจนเกินไป วิ่งออกไปหาโลกใบใหญ่กันบ้าง ทะเลยังอยู่ที่เดิมของมัน ภูเขายังตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม ผืนหญ้าของสวนสาธารณะใกล้ๆ บ้านยังรอวันที่พวกเราจะออกไปเยี่ยมเยียนเพื่อชื่นชมและผ่อนคลาย

ผู้อ่านที่รักทุกท่าน รอบข้างเรามีคนจำพวกหนึ่งที่ต่อต้านเทคโนโลยีทุกประเภท ทำให้พวกเขาขาดโอกาสและทักษะในการเข้าถึงความรู้ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกไซเบอร์ และในโลกของอินเทอร์เน็ต แต่ก็มีคนอีกพวกหนึ่งซึ่งอยู่คนละด้านไม่ทราบว่าตัวเองกำลังเสพติด และผลาญเวลาไปกับสมาร์ตโฟนที่อยู่ในมือผมรู้สึกแปลกใจทุกครั้งที่เห็นวัยรุ่นจำนวนมากสามารถพิมพ์ข้อความอย่างรวดเร็วปานพายุด้วยมือข้างเดียวกับสมาร์ตโฟนของตัวเอง แต่กับเฉื่อยชาและเชื่องช้าเหลือเกินกับการบ้านหรือรายงานที่อาจารย์มอบหมายมาให้ กว่าเขาจะรู้ตัวก็ถูกขโมยเวลาไปมากมายจนแทบล้มละลาย ผู้อ่านที่รักครับ เราสามารถช่วยเหลือคนรอบข้างทั้งสองประเภทได้ เราสามารถแนะนำเทคโนโลยีที่เป็นเครื่องมือให้กับคนที่ยังไม่เข้าใจได้ผมก็เชื่อว่าใครๆ ก็สามารถเรียนรู้สมาร์ตโฟนได้ทั้งนั้น และสำหรับคนอีกฝั่งหนึ่งของสังคม ผมวิงวอนท่าน ฝากมือที่หวังดีของทุกท่านแตะที่บ่าของพวกเขาเบาๆชักชวนเขาออกไปทำอะไรอย่างอื่นในโลกแห่งความเป็นจริง แน่ล่ะที่เขาอาจจะปฏิเสธ คำอุปมาของพระเยซูคริสต์ในพระธรรมลูกา 18:5 กล่าวว่า “แต่เพราะแม่ม่ายคน นี้มาทำให้ข้าลำบากข้าจะให้ความยุติธรรมแก่นางเพื่อไม่ให้นางมารบกวนให้รำคาญใจบ่อยๆ” แม้แต่ผู้พิพากษาอธรรมยังยอมแพ้ให้กับการรบเร้าของแม่ม่ายคนนี้ผมจึงมั่นใจว่าต้องมีสักครั้งที่คำเชิญชวนที่หวังดีของท่านจะได้รับการตอบสนองเป็นแน่ การถูกปฏิเสธจำนวนมากไม่คุ้มค่าหรือครับที่เราได้คนที่เรารักกลับมาสู่โลกที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านครับ

  • อ.วิทยา วุฒิไกรเกรียง
  • ภาพ Sitthiphong – Freepik.com