สร้างบ้านกลางพายุ 3/14

สร้างบ้านกลางพายุ

การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ทุกคนใฝ่ฝันที่จะมีบ้านที่อบอุ่นและมีความสุข บ้านที่อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สวยงามและเป็นมิตร บ้านของผู้เชื่อในพระเจ้าจึงเปรียบเสมือนคริสตจักรเล็กๆ ท่ามกลางชุมชน หลายครั้งเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่ากำแพงของ คริสตจักร และรั้วของบ้านปิดกั้นความเสื่อมทรามของสังคมไม่ให้เข้ามามีอิทธิพลกับลูกหลาน และสมาชิกทุกคนในบ้าน แต่ดูเหมือนกำแพงที่ทำด้วยอิฐ และรั้วบ้านราคาแพงจะไม่ได้ช่วยป้องกันอิทธิพลภายนอกจากสังคมมากนัก ปัญหาครอบครัว ปัญหาในบ้านของคนในสังคม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนของพระเจ้า และในรั้วบ้านแห่งความเชื่อเช่นเดียวกัน

ในช่วงสองสามปีนี้ผมมีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานอยู่บ่อยครั้ง และเหมือนกับว่าคู่แต่งงานทุกคู่จะใจตรงกัน เรามักเลือกพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13 ทั้งบทบ้าง หรือข้อ 4-7 บ้าง ในการอัญเชิญพระวจนะก่อนเริ่มต้นพิธีสมรส เพื่อให้คู่บ่าวสาวและแขกผู้มีเกียรติได้เข้าใจถึงความหมายของความรักที่พระเจ้าทรงมีน้ำพระทัยต่อมนุษย์ ผ่านจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล อย่างไรก็ดีบริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้จริงๆ ถูกใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป คือเป็นการเขียนจัดการกับปัญหาของคริสตจักรด้วยความรู้ของพระเจ้า และการตอบคำถามหรือข้อสงสัยด้วยความรักของพระเจ้าต่อพี่น้องในคริสตจักรเมืองโครินธ์ ซึ่งเป็นคริสตจักรที่มีลักษณะสำคัญสองประการคือ ประการแรก โครินธ์เป็นคริสตจักรที่เต็มไปด้วยของประทาน ใน 1 โครินธ์ 1:7 กล่าวว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​ก็​ไม่​ได้​ขาด​ของ​ประ​ทาน​เลย ใน​ขณะ​ที่​ท่าน​รอ​คอย​การ​ปรา​กฏ​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา” และประการที่สอง โครินธ์เป็นคริสตจักรที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสังคมที่เสื่อมโทรมทางจริยธรรมอย่างมาก ซึ่ง ฮวง สาบิน ได้กล่าวไว้ในหนังสือ A New look at the new testament (LNT) ว่า “โครินธ์เป็นเมืองที่เสื่อมโทรมทางจริยธรรมและเต็มไปด้วยความบาปมากที่สุดเมืองหนึ่งในสมัยของเปาโล และคริสตจักรเมืองโครินธ์ไม่สามารถปิดกั้นตัวเองจากความบาปที่มีอยู่ในเมืองได้ ในเรื่องนี้ศาสตราจารย์แสตนลีย์ ทูเซนต์ ซึ่งสอนอยู่ในพระคริสตธรรมดัลลัสได้ยกตัวอย่างเรื่องลูกโป่งซึ่งหยดกลิ่นหัวน้ำมันหอมวานิลลาสองสามหยด หลังจากเป่าลูกโป่งแล้วมัดให้แน่น ไม่นานลมจากลูกโป่งจะดันให้มีกลิ่นวานิลลาจนทั่วห้อง และนั่นคือวิธีการที่ความบาปเข้ามามีอิทธิพลกับคนใน คริสตจักร และในครอบครัวแห่งความเชื่อได้เช่นกัน

ให้เราลองจินตนาการว่าถ้าของประทานเปรียบเสมือนมีดคมๆ สักด้าม เราจะพบว่าสมาชิก คริสตจักรเมืองโครินธ์คงจะถือมีดบ้าง ดาบบ้าง หรือบางคนอาจจะเป็นมีดอีโต้ขนาดใหญ่อยู่เต็มไปหมด เมื่อความบาปเข้ามามีอิทธิพลกับคนที่มีของมีคมเหล่านั้น เราคงพบว่ามีหลายคนถูกมีดแทงเข้าที่พุงของตัวเองก็เป็นได้ เราพบความจริงอย่างหนึ่งว่าบ้านหรือคริสตจักรของเราในปัจจุบันก็ไม่ต่างอะไรนักกับคริสตจักรในเมืองโครินธ์ ประการแรกยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกคนมีของประทานและความสามารถมากจริงๆ ทุกคนสามารถค้นหาทุกเรื่องราวเพียงปลายมือสัมผัส ผ่านอากู๋ ซึ่งกำลังกลายเป็นกูรูของคนสมัยใหม่ไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร และการเข้าถึงเอกสารงานวิชาการต่างๆ สามารถทำได้โดยง่าย พกพาเพียง Thumb Drive หรือสมาร์ทโฟนตัวกระจิ๋วริ๋วก็สามารถบันทึกข้อมูลขนาดห้องสมุดรัฐสภาอเมริกันได้เลยทีเดียว ประการสุดท้ายคริสตจักรและบ้านของผู้เชื่อก็ตั้งอยู่ท่ามกลางสังคมที่เป็นปัญหาเช่นเดียวกับคริสตจักรเมืองโครินธ์ หรือบางคนอาจจะเถียงว่ามันมากซะยิ่งกว่าเสียอีก ตัวเลขจากการศึกษาของ Fondation Scelles องค์กรเอกชนที่ศึกษาและรณรงค์ต่อต้านการขายบริการทางเพศ ได้เผยแพร่ใน Washington Post เมื่อ 20 ก.ค. 2010 ชี้ว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้ค้าบริการทางเพศ (ทั้งชายและหญิง) รวม 8 ล้านคน หรือ เท่ากับจำนวนผู้ค้าบริการ 12,000 คน / ประชากร 100,000 คนหากกรุงเทพมีคนอาศัยราว 10 ล้านคน ตามอัตราส่วนนี้กรุงเทพฯ ย่อมมีผู้ค้าประเวณีมากถึง หนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ใหญ่มักเล่าว่า พัฒน์พงษ์ หรือ รอบๆ สวนลุมพินี เป็นสถานค้าประเวณี ผมได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาตั้งแต่ยังเล็กๆ จนทุกวันนี้ผมก็ยังได้ยินอยู่ นอกจากนี้ประเทศไทยยังติดอันดับประเทศที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันดับที่ 40 ของโลก สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานการสำรวจในปี 2007 พบว่ามีประชากรกว่า 15 ล้านคน หรือคิดเป็น 30% ที่ดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดย เป็นเพศชายประมาณ 13 ล้านคน และหญิง 2 ล้านคน

สิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีอิทธิพลต่อคริสตจักรของทุกท่านบ้างหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ หรือท่านต้องการป้องกันและสร้างรั้วแห่งความเชื่อที่เข้มแข็งให้บ้านและคริสตจักรสามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุร้ายนี้ได้เหมือนอย่างที่ พระธรรมสดุดี 127:1 กล่าวว่า “ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า…” ผมอยากแบ่งปันกุญแจสำคัญ 5 ประการที่ได้จากพระธรรม 1 โครินธ์บทที่ 13 เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้อ่านที่รักทุกท่าน

กุญแจดอกแรก
“ของประทาน+ความรัก เท่ากับ การเสริมสร้าง” แต่ “ของประทาน + ความรู้ เท่ากับ “ความหยิ่งยโส” ในพระธรรม 1 โครินธ์ 8:1 กล่าวว่า “… ความ​รู้​นั้น​ทำ​ให้​ลำ​พอง แต่​ความ​รัก​เสริม​สร้าง​ขึ้น” ในพระธรรม 1 โครินธ์ 13:1-2 กล่าวว่า “แม้​ข้าพ​เจ้า​จะ​พูด​ภา​ษา​แปลกๆ ที่​เป็น​ภา​ษา​มนุษย์​หรือ​ทูต​สวรรค์​ได้ แต่​ไม่​มี​ความ​รัก ข้าพ​เจ้า​เป็น​เหมือน​ฆ้อง​หรือ​ฉาบ​ที่​กำ​ลัง​ส่ง​เสียง แม้​ข้าพ-​เจ้า​จะ​เผย​พระ​วจนะ​ได้ จะ​รู้​ความ​ล้ำ​ลึก​ทุก​อย่าง​และ​มี​ความ​รู้​ทั้ง​สิ้น และ​แม้​จะ​มี​ความ​เชื่อ​มาก​ยิ่ง​ที่​จะ​ย้าย​ภูเขา​ไป​ได้ แต่​ไม่​มี​ความ​รัก ข้าพ​เจ้า​ก็​ไม่​มี​ค่า​อะไร​เลย” อ.เปาโล ได้ยกเอาของประทานที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นในสายตาคนทั่วไปมาเป็นตัวอย่าง ทั้งการพูดภาษาแปลกๆ การเผยพระวจนะ การมีความรู้ล้ำลึก และการมีความเชื่อขนาดย้ายภูเขาได้ โดยเปรียบเทียบว่าการมีของประทานเหล่านี้ โดยปราศจากความรัก เป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบ ซึ่งส่งเสียงดัง แต่ไม่สามารถสร้างท่วงทำนองอันไพเราะขึ้นมาหรือกลายเป็นของไร้ค่าไม่มีประโยชน์ พระเจ้าทรงประทานของประทานให้เราแต่ละคนตามพระทัย และพระคุณของพระองค์ โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา ของประทานที่พระเจ้ามอบให้จึงมีเพื่อเสริมสร้างคริสตจักรให้บ้านและโบสถ์มีรั้วความเชื่อที่แข็งแกร่ง ปกป้องพายุค่านิยมที่โหมกระหน่ำเข้ามาในคริสตจักร ถ้าพูดให้ใกล้ตัวขึ้นมาอีกสักนิดความสามารถทุกอย่างก็ล้วนเป็นของประทานจากพระเจ้าเช่นกัน ถ้าพระเจ้าประทานให้เราสามารถเล่นดนตรีได้ดี แต่เรากลับใช้เพื่ออวดอ้างฝีมือของตัวเอง เราก็จะเป็นคนเก่งที่ไม่ได้มีส่วนช่วยให้ คริสตจักรเติบโตและเข้มแข็งขึ้น แต่ในทางกลับกันคนที่สามารถเล่นดนตรีได้ระดับหนึ่งแต่ใช้สิ่งนี้รับใช้พระเจ้า เช่นสอนกีตาร์ กลอง เบส พื้นฐานให้เด็กๆ ในคริสตจักร เขาก็สามารถสร้างทีมนมัสการรุ่นต่อไปขึ้นมาได้ ถ้าคุณมีความรู้และสติปัญญาในพระคัมภีร์ดี แต่ไม่เคยถ่ายทอดสิ่งดีๆ นี้แก่ผู้อื่น สิ่งที่ได้รับก็จะเป็นเพียงความลำพองในใจว่าข้าแน่กว่าใครๆ แต่หากได้แบ่งปันโดยการสอนรวี หรือเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณแล้วความสามารถที่ท่านมีไม่ว่าเล็กน้อยหรือมากมายก็จะเป็นประโยชน์กับ คริสตจักรอย่างแน่นอน

กุญแจดอกที่สอง
“ให้ด้วยรัก” ในพระธรรม 1 โครินธ์ 13:3 กล่าวว่า “แม้​ข้าพ​เจ้า​จะ​ บริ​จาค​สิ่งของ​ของ​ข้าพ​เจ้า​ทุก​อย่าง​หรือ​ยอม​ให้​เอา​ตัว​ไป​เผา​ไฟ แต่​ไม่​มี​ความ​รัก ก็จะ​ไม่​เป็น​ประ​โยชน์​กับ​ข้าพ​เจ้า” พระเจ้าทรงมีพระคุณให้บางคนได้ครอบครองทรัพย์จำนวนหนึ่งที่สามารถเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างคริสตจักรได้ หากเราบริจาค ให้ หรือเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์หรือชีวิตของเรา โดยมุ่งหวังเพียงอนุสาวรีย์แห่งการสรรเสริญจากผู้คน สิ่งนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง การให้แม้จะเล็กน้อยหากทำด้วยรักย่อมเป็นประโยชน์กับบ้านและคริสตจักร ในบทเพลง Thank you ของ Ray Boltz ได้พูดถึงการให้อย่างน้อยสองอย่างที่ผมประทับใจมาก เรื่องแรกคือครูรวีเด็กในวันอาทิตย์ที่นำเด็กๆ อธิษฐานในทุกสัปดาห์ แม้จะดูเล็กน้อยแต่การทำด้วยใจก็ทำให้เด็กอายุ 8 ขวบต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาในใจได้ หรือ อีกเรื่องคือเงินเล็กน้อยที่ถวายให้กับมิชชันนารีในการประกาศฯ เป็นเหตุผลให้คนๆ หนึ่งมาถึงความรอดได้ การให้ยิ่งใหญ่เสมอ ไม่ใช่โดยจำนวนของสิ่งที่เราให้ แต่ด้วยหัวใจที่ใหญ่กว่าทุกสิ่ง

กุญแจดอกที่สาม
“ความสัมพันธ์คือดรรชนีวัดค่าความรัก” ในพระธรรม 1 โครินธ์13:4-7 เป็นข้อที่ใครหลายๆ คนท่องได้ กล่าวว่า “ความ​รัก​นั้น​ก็​อด​ทน​นาน​และ​มี​ใจ​ปรานี ความ​รัก​ไม่​อิจ​ฉา ไม่​อวด​ตัว ไม่​หยิ่ง​ผยอง ไม่​หยาบ​คาย ไม่​เห็น​แก่​ตัว ไม่​ฉุน​เฉียว ไม่​ช่าง​จด​จำ​ความ​ผิด ไม่​ชื่น​ชม​ยินดี​ใน​ความ​อธรรม แต่​ชื่น​ชม​ยินดี​ใน​ความ​จริง ความ​รัก​ทน​ได้​ทุก​อย่าง เชื่อ​อยู่​เสมอ มี​ความ​หวัง​และ​ความ​ทร​หด​อด​ทน​อยู่​เสมอ” จากพระธรรมตอนนี้ทำให้เราทราบความจริงอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่สามารถแสดงออกถึงความรักโดยการอยู่คนเดียวในโลกได้ ความรักเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ เรารู้ว่าเราอดทนได้มากหรือน้อยเมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คน และนี่เป็นเหตุผลประการสำคัญที่เรามาสามัคคีธรรมร่วมกันในวันอาทิตย์ ในรั้วของความเชื่อและภายใต้ร่มพระคุณของพระเจ้าย่อมไม่มีคริสเตียนแบบฤาษี หรือคริสเตียนธุดงค์ ที่ปลีกวิเวกออกไปจากสังคม แน่นอนว่าเราใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าและมีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่พระเจ้าปรารถนาให้เราอยู่ท่ามกลางครอบครัวแห่งความเชื่อ เพื่อเราจะพิจารณาตัวเองเพื่อเพิ่มพูนผลของพระวิญญาณให้มากยิ่งขึ้น ในทางจิตวิทยากล่าวว่าความสัมพันธ์เป็นเรื่องของสามสิ่ง คือ การใช้เวลาร่วมกัน การสัมผัส และการถ่ายทอด ปัจจุบันเรามีคนมากมายอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน เรากลายเป็นสังคมของคนแปลกหน้าที่มานั่งอยู่ร่วมกันระยะเวลาหนึ่งในวันอาทิตย์แล้วก็ลาจากกันไป เราต้องการครอบครัวที่ใส่ใจและแบ่งปันเวลาต่อกันและกัน สัมผัสกายตามความเหมาะสมของบทบาทหน้าที่ สัมผัสใจโดยให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นและไว้วางใจได้เมื่ออยู่ในบ้านหรือโบสถ์ สัมผัสฝ่ายจิตวิญญาณโดยการนมัสการจากชีวิตและการสามัคคีธรรมร่วมกัน ตลอดจนถ่ายทอดค่านิยมที่ถูกต้องจากรุ่นสู่รุ่น ดังคำกล่าวในสุภาษิต 22:6 ว่า “จง​ฝึก​เด็ก​ใน​ทาง​ที่​เขา​ควร​จะ​เดิน​ไป และ​เมื่อ​เขา​เติบ​ใหญ่ เขา​จะ​ไม่​พราก​จาก​ทาง​นั้น” หน้าที่ในการชี้ให้เห็นทางนั้นทางที่ถูกต้อง คือหน้าที่ของผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณทุกคนในบ้าน และในคริสตจักรของพระเจ้า

กุญแจดอกที่สี่
“ความรักไม่มีวันหมดอายุ” ในพระธรรม 1 โครินธ์ 13:8 กล่าวว่า “ ความ​รัก​ไม่​มี​วัน​เสื่อม​สูญ แม้​การ​เผย​พระ​วจนะ​ก็​จะ​เสื่อม​สลาย​ไป แม้​การ​พูด​ภาษา​แปลกๆ ก็​จะ​เลิก​พูด​กัน แม้​วิชา​ความ​รู้​ก็​จะ​เสื่อม​สลาย​ไป” พี่น้องที่รักวันหนึ่งสิ่งซึ่งเราเคยเห็นว่าเป็นประโยชน์จะต้องมีการเลิกใช้ และไม่เป็นที่นิยมอีก หากพี่น้องที่มีอายุสักสามสิบห้าปีขึ้นไปพอจำกันได้ เราพบว่าความสามารถในการพิมพ์ดีด และอัตราในการพิมพ์ต่อนาที เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นลำดับต้นๆ ในการสมัครงาน แต่ปัจจุบันมีคนพูดถึงเรื่องนี้กันน้อยเหลือเกิน ทุกคนใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตาของคีย์บอร์ดให้เข้ากับวิธีการพิมพ์ของตัวเองได้ ทุกอย่างจะมีวันเลิกใช้ แต่ความรักเท่านั้นที่ไม่มีวันหมดอายุ ความรักเป็นสิ่งที่แปลกเหลือเกิน เพราะยิ่งหวงและเก็บไว้กับตัวความรักจะเน่าเสียกลายเป็นความเห็นแก่ตัว แต่ความรักจะงอกงามขึ้น และถ่ายทอดไปยังทุกคนได้จากการให้และแสดงออกถึงความรักที่มี ความรักสามารถแสดงออกและให้ได้ง่ายๆตามอย่างที่เรามีและเป็น ถ้าท่านเป็นคนที่มีรอยยิ้ม รอยยิ้มของท่านจะส่งต่อความรักได้ ถ่าท่านมีมือที่ช่วยเหลือผู้คน มือและการให้ของท่านก็จะมอบความรักให้ทุกคนได้ มีสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักรของผมเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีความรู้อะไรมากมาย แต่สมาชิกท่านนี้รักในการทำความสะอาดมาก เก้าอี้และโต๊ะหลายตัวในคริสตจักรสะอาดสะอ้านจากการเช็ดถูอย่างตั้งอกตั้งใจ ความรักถูกฝังผ่านความเอาใจใส่และทำให้คนที่มาคริสตจักรทุกคนอยากจะนั่งเก้าอี้ที่แสนสะอาดนี้ บางทีผมคงต้องให้พี่คนนี้เช็ดเก้าอี้แถวแรกให้มากๆ เพราะสังเกตว่าคนมักชอบนั่งแถวหลังก่อน

กุญแจดอกสุดท้าย
“ความรักนั้นนำมาซึ่งความสมบูรณ์” ในพระธรรม 1 โครินธ์13:9-12 กล่าวว่า “เพราะ​ว่า​เรา​รู้​เพียง​บาง​ส่วน และ​ก็​เผย​พระ​วจนะ​เพียง​บาง​ส่วน แต่​เมื่อ​ความ​สม​บูรณ์​มา​ถึง​แล้ว ที่​เป็น​เพียง​บาง​ส่วน​นั้น​ก็​จะ​สูญ​ไป เมื่อ​ข้าพเจ้า​ยัง​เป็น​เด็ก ข้าพ​เจ้า​พูด​อย่าง​เด็ก คิด​อย่าง​เด็ก หา​เหตุ​ผล​อย่าง​เด็ก แต่​เมื่อ​ข้าพเจ้า​เป็น​ผู้ใหญ่ ข้าพ​เจ้า ​ก็​เลิก​อา​การ​ของ​เด็ก เพราะ​ว่า​เวลา​นี้​เรา​เห็น​สลัวๆ เหมือน​ดู​ใน​กระ​จก แต่​ใน​เวลา​นั้น​จะ​เห็น​แบบ​หน้า​ต่อ​หน้า เวลา​นี้​ข้าพ​เจ้า​รู้​เพียง​บาง​ส่วน แต่​เวลา​นั้น​ข้าพ​เจ้า​จะ​รู้​แจ้ง​เหมือน​พระ​องค์​ทรง​รู้​จัก​ข้าพ​เจ้า” พี่น้องที่รักครับ ผู้ที่มาอยู่ร่วมกันในคริสตจักรนั้นต่างก็เป็นผู้บกพร่องที่ได้รับพระคุณจากพระเจ้า เราทุกคนมีความบกพร่องบางอย่างแตกต่างกันไป พระธรรมตอนนี้ชี้ให้เห็นว่ายิ่งเราเติบโตในพระคุณและความรักของพระเจ้ามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเข้าใกล้ความสมบูรณ์ของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น จะมีประโยชน์อะไรที่เราเลือกพูดแต่กับคนที่น่ารัก พูดเพราะ และน่าอยู่ใกล้ เพราะท่านไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถ และความอดทนอะไรเลยในการอยู่ร่วมกับพวกเขา คนที่มีลักษณะพิเศษ ที่เดี๋ยวนี้เราชอบใช้คำว่า พวกอินดี้ บางครั้งพวกเขาอาจจะเข้าหาได้ยาก ทำให้เราเหนื่อย หรือรู้สึกรำคาญ แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นแบบทดสอบที่พระเจ้าอนุญาตให้เราได้ฝึกฝนความรักอย่างเป็นรูปธรรมมิใช่หรือ พระคัมภีร์กล่าวว่าเหล็กลับเหล็กได้ ความรักที่เราใช้ผ่านชีวิตก็สามารถลับคนๆนั้นเสียใหม่ให้กลายเป็นคนที่ท่วมท้นไปด้วยความรักได้เช่นกัน

สุดท้ายนี้ผมจึงอยากเชิญชวนให้พี่น้องทุกคนที่กำลังสร้างบ้านและคริสตจักร ตระหนักอยู่เสมอว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางพายุ คือความเสื่อมทรามของยุคสมัย ไม่มีรั้วเหล็ก หรือกำแพงใดจะสามารถป้องกันบ้านและคริสตจักรอันเป็นที่รักให้ห่างไกลและปลอดภัยจากพายุร้ายนี้ได้ มีเพียงความรักเท่านั้นที่เป็นพื้นฐานของชีวิตคริสเตียน ที่จะถักทอและประสานเป็นรั้วบ้านอันมั่นคงได้ “และ​บัด​นี้ ทั้ง​สาม​สิ่ง​นี้​ยัง​ดำรง​อยู่ คือ​ความ​เชื่อ ความ​หวัง และ​ความ​รัก แต่​ความ​รัก​นั้น​ใหญ่​ที่​สุด​ใน​สาม​สิ่งนี้” (1โครินธ์13:13) ขอพระเจ้าอวยพรครับ

  •  อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
  • ภาพ Freepik