สร้างบ้านกลางพายุ
การมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ทุกคนใฝ่ฝันที่จะมีบ้านที่อบอุ่นและมีความสุข บ้านที่อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สวยงามและเป็นมิตร บ้านของผู้เชื่อในพระเจ้าจึงเปรียบเสมือนคริสตจักรเล็กๆ ท่ามกลางชุมชน หลายครั้งเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่ากำแพงของ คริสตจักร และรั้วของบ้านปิดกั้นความเสื่อมทรามของสังคมไม่ให้เข้ามามีอิทธิพลกับลูกหลาน และสมาชิกทุกคนในบ้าน แต่ดูเหมือนกำแพงที่ทำด้วยอิฐ และรั้วบ้านราคาแพงจะไม่ได้ช่วยป้องกันอิทธิพลภายนอกจากสังคมมากนัก ปัญหาครอบครัว ปัญหาในบ้านของคนในสังคม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนของพระเจ้า และในรั้วบ้านแห่งความเชื่อเช่นเดียวกัน
ในช่วงสองสามปีนี้ผมมีโอกาสไปร่วมงานแต่งงานอยู่บ่อยครั้ง และเหมือนกับว่าคู่แต่งงานทุกคู่จะใจตรงกัน เรามักเลือกพระคัมภีร์ 1 โครินธ์ 13 ทั้งบทบ้าง หรือข้อ 4-7 บ้าง ในการอัญเชิญพระวจนะก่อนเริ่มต้นพิธีสมรส เพื่อให้คู่บ่าวสาวและแขกผู้มีเกียรติได้เข้าใจถึงความหมายของความรักที่พระเจ้าทรงมีน้ำพระทัยต่อมนุษย์ ผ่านจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล อย่างไรก็ดีบริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้จริงๆ ถูกใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป คือเป็นการเขียนจัดการกับปัญหาของคริสตจักรด้วยความรู้ของพระเจ้า และการตอบคำถามหรือข้อสงสัยด้วยความรักของพระเจ้าต่อพี่น้องในคริสตจักรเมืองโครินธ์ ซึ่งเป็นคริสตจักรที่มีลักษณะสำคัญสองประการคือ ประการแรก โครินธ์เป็นคริสตจักรที่เต็มไปด้วยของประทาน ใน 1 โครินธ์ 1:7 กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ขาดของประทานเลย ในขณะที่ท่านรอคอยการปรากฏของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” และประการที่สอง โครินธ์เป็นคริสตจักรที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสังคมที่เสื่อมโทรมทางจริยธรรมอย่างมาก ซึ่ง ฮวง สาบิน ได้กล่าวไว้ในหนังสือ A New look at the new testament (LNT) ว่า “โครินธ์เป็นเมืองที่เสื่อมโทรมทางจริยธรรมและเต็มไปด้วยความบาปมากที่สุดเมืองหนึ่งในสมัยของเปาโล และคริสตจักรเมืองโครินธ์ไม่สามารถปิดกั้นตัวเองจากความบาปที่มีอยู่ในเมืองได้ ในเรื่องนี้ศาสตราจารย์แสตนลีย์ ทูเซนต์ ซึ่งสอนอยู่ในพระคริสตธรรมดัลลัสได้ยกตัวอย่างเรื่องลูกโป่งซึ่งหยดกลิ่นหัวน้ำมันหอมวานิลลาสองสามหยด หลังจากเป่าลูกโป่งแล้วมัดให้แน่น ไม่นานลมจากลูกโป่งจะดันให้มีกลิ่นวานิลลาจนทั่วห้อง และนั่นคือวิธีการที่ความบาปเข้ามามีอิทธิพลกับคนใน คริสตจักร และในครอบครัวแห่งความเชื่อได้เช่นกัน
ให้เราลองจินตนาการว่าถ้าของประทานเปรียบเสมือนมีดคมๆ สักด้าม เราจะพบว่าสมาชิก คริสตจักรเมืองโครินธ์คงจะถือมีดบ้าง ดาบบ้าง หรือบางคนอาจจะเป็นมีดอีโต้ขนาดใหญ่อยู่เต็มไปหมด เมื่อความบาปเข้ามามีอิทธิพลกับคนที่มีของมีคมเหล่านั้น เราคงพบว่ามีหลายคนถูกมีดแทงเข้าที่พุงของตัวเองก็เป็นได้ เราพบความจริงอย่างหนึ่งว่าบ้านหรือคริสตจักรของเราในปัจจุบันก็ไม่ต่างอะไรนักกับคริสตจักรในเมืองโครินธ์ ประการแรกยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกคนมีของประทานและความสามารถมากจริงๆ ทุกคนสามารถค้นหาทุกเรื่องราวเพียงปลายมือสัมผัส ผ่านอากู๋ ซึ่งกำลังกลายเป็นกูรูของคนสมัยใหม่ไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร และการเข้าถึงเอกสารงานวิชาการต่างๆ สามารถทำได้โดยง่าย พกพาเพียง Thumb Drive หรือสมาร์ทโฟนตัวกระจิ๋วริ๋วก็สามารถบันทึกข้อมูลขนาดห้องสมุดรัฐสภาอเมริกันได้เลยทีเดียว ประการสุดท้ายคริสตจักรและบ้านของผู้เชื่อก็ตั้งอยู่ท่ามกลางสังคมที่เป็นปัญหาเช่นเดียวกับคริสตจักรเมืองโครินธ์ หรือบางคนอาจจะเถียงว่ามันมากซะยิ่งกว่าเสียอีก ตัวเลขจากการศึกษาของ Fondation Scelles องค์กรเอกชนที่ศึกษาและรณรงค์ต่อต้านการขายบริการทางเพศ ได้เผยแพร่ใน Washington Post เมื่อ 20 ก.ค. 2010 ชี้ว่าประเทศไทยมีจำนวนผู้ค้าบริการทางเพศ (ทั้งชายและหญิง) รวม 8 ล้านคน หรือ เท่ากับจำนวนผู้ค้าบริการ 12,000 คน / ประชากร 100,000 คนหากกรุงเทพมีคนอาศัยราว 10 ล้านคน ตามอัตราส่วนนี้กรุงเทพฯ ย่อมมีผู้ค้าประเวณีมากถึง หนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ใหญ่มักเล่าว่า พัฒน์พงษ์ หรือ รอบๆ สวนลุมพินี เป็นสถานค้าประเวณี ผมได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาตั้งแต่ยังเล็กๆ จนทุกวันนี้ผมก็ยังได้ยินอยู่ นอกจากนี้ประเทศไทยยังติดอันดับประเทศที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันดับที่ 40 ของโลก สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานการสำรวจในปี 2007 พบว่ามีประชากรกว่า 15 ล้านคน หรือคิดเป็น 30% ที่ดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โดย เป็นเพศชายประมาณ 13 ล้านคน และหญิง 2 ล้านคน
สิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีอิทธิพลต่อคริสตจักรของทุกท่านบ้างหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ หรือท่านต้องการป้องกันและสร้างรั้วแห่งความเชื่อที่เข้มแข็งให้บ้านและคริสตจักรสามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุร้ายนี้ได้เหมือนอย่างที่ พระธรรมสดุดี 127:1 กล่าวว่า “ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า…” ผมอยากแบ่งปันกุญแจสำคัญ 5 ประการที่ได้จากพระธรรม 1 โครินธ์บทที่ 13 เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้อ่านที่รักทุกท่าน
กุญแจดอกแรก
“ของประทาน+ความรัก เท่ากับ การเสริมสร้าง” แต่ “ของประทาน + ความรู้ เท่ากับ “ความหยิ่งยโส” ในพระธรรม 1 โครินธ์ 8:1 กล่าวว่า “… ความรู้นั้นทำให้ลำพอง แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น” ในพระธรรม 1 โครินธ์ 13:1-2 กล่าวว่า “แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพ-เจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย” อ.เปาโล ได้ยกเอาของประทานที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นในสายตาคนทั่วไปมาเป็นตัวอย่าง ทั้งการพูดภาษาแปลกๆ การเผยพระวจนะ การมีความรู้ล้ำลึก และการมีความเชื่อขนาดย้ายภูเขาได้ โดยเปรียบเทียบว่าการมีของประทานเหล่านี้ โดยปราศจากความรัก เป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบ ซึ่งส่งเสียงดัง แต่ไม่สามารถสร้างท่วงทำนองอันไพเราะขึ้นมาหรือกลายเป็นของไร้ค่าไม่มีประโยชน์ พระเจ้าทรงประทานของประทานให้เราแต่ละคนตามพระทัย และพระคุณของพระองค์ โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา ของประทานที่พระเจ้ามอบให้จึงมีเพื่อเสริมสร้างคริสตจักรให้บ้านและโบสถ์มีรั้วความเชื่อที่แข็งแกร่ง ปกป้องพายุค่านิยมที่โหมกระหน่ำเข้ามาในคริสตจักร ถ้าพูดให้ใกล้ตัวขึ้นมาอีกสักนิดความสามารถทุกอย่างก็ล้วนเป็นของประทานจากพระเจ้าเช่นกัน ถ้าพระเจ้าประทานให้เราสามารถเล่นดนตรีได้ดี แต่เรากลับใช้เพื่ออวดอ้างฝีมือของตัวเอง เราก็จะเป็นคนเก่งที่ไม่ได้มีส่วนช่วยให้ คริสตจักรเติบโตและเข้มแข็งขึ้น แต่ในทางกลับกันคนที่สามารถเล่นดนตรีได้ระดับหนึ่งแต่ใช้สิ่งนี้รับใช้พระเจ้า เช่นสอนกีตาร์ กลอง เบส พื้นฐานให้เด็กๆ ในคริสตจักร เขาก็สามารถสร้างทีมนมัสการรุ่นต่อไปขึ้นมาได้ ถ้าคุณมีความรู้และสติปัญญาในพระคัมภีร์ดี แต่ไม่เคยถ่ายทอดสิ่งดีๆ นี้แก่ผู้อื่น สิ่งที่ได้รับก็จะเป็นเพียงความลำพองในใจว่าข้าแน่กว่าใครๆ แต่หากได้แบ่งปันโดยการสอนรวี หรือเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณแล้วความสามารถที่ท่านมีไม่ว่าเล็กน้อยหรือมากมายก็จะเป็นประโยชน์กับ คริสตจักรอย่างแน่นอน
กุญแจดอกที่สอง
“ให้ด้วยรัก” ในพระธรรม 1 โครินธ์ 13:3 กล่าวว่า “แม้ข้าพเจ้าจะ บริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับข้าพเจ้า” พระเจ้าทรงมีพระคุณให้บางคนได้ครอบครองทรัพย์จำนวนหนึ่งที่สามารถเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างคริสตจักรได้ หากเราบริจาค ให้ หรือเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์หรือชีวิตของเรา โดยมุ่งหวังเพียงอนุสาวรีย์แห่งการสรรเสริญจากผู้คน สิ่งนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง การให้แม้จะเล็กน้อยหากทำด้วยรักย่อมเป็นประโยชน์กับบ้านและคริสตจักร ในบทเพลง Thank you ของ Ray Boltz ได้พูดถึงการให้อย่างน้อยสองอย่างที่ผมประทับใจมาก เรื่องแรกคือครูรวีเด็กในวันอาทิตย์ที่นำเด็กๆ อธิษฐานในทุกสัปดาห์ แม้จะดูเล็กน้อยแต่การทำด้วยใจก็ทำให้เด็กอายุ 8 ขวบต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาในใจได้ หรือ อีกเรื่องคือเงินเล็กน้อยที่ถวายให้กับมิชชันนารีในการประกาศฯ เป็นเหตุผลให้คนๆ หนึ่งมาถึงความรอดได้ การให้ยิ่งใหญ่เสมอ ไม่ใช่โดยจำนวนของสิ่งที่เราให้ แต่ด้วยหัวใจที่ใหญ่กว่าทุกสิ่ง
กุญแจดอกที่สาม
“ความสัมพันธ์คือดรรชนีวัดค่าความรัก” ในพระธรรม 1 โครินธ์13:4-7 เป็นข้อที่ใครหลายๆ คนท่องได้ กล่าวว่า “ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ” จากพระธรรมตอนนี้ทำให้เราทราบความจริงอย่างหนึ่งก็คือ เราไม่สามารถแสดงออกถึงความรักโดยการอยู่คนเดียวในโลกได้ ความรักเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ เรารู้ว่าเราอดทนได้มากหรือน้อยเมื่อเราอยู่ท่ามกลางผู้คน และนี่เป็นเหตุผลประการสำคัญที่เรามาสามัคคีธรรมร่วมกันในวันอาทิตย์ ในรั้วของความเชื่อและภายใต้ร่มพระคุณของพระเจ้าย่อมไม่มีคริสเตียนแบบฤาษี หรือคริสเตียนธุดงค์ ที่ปลีกวิเวกออกไปจากสังคม แน่นอนว่าเราใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าและมีความสัมพันธ์กับพระองค์ แต่พระเจ้าปรารถนาให้เราอยู่ท่ามกลางครอบครัวแห่งความเชื่อ เพื่อเราจะพิจารณาตัวเองเพื่อเพิ่มพูนผลของพระวิญญาณให้มากยิ่งขึ้น ในทางจิตวิทยากล่าวว่าความสัมพันธ์เป็นเรื่องของสามสิ่ง คือ การใช้เวลาร่วมกัน การสัมผัส และการถ่ายทอด ปัจจุบันเรามีคนมากมายอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน เรากลายเป็นสังคมของคนแปลกหน้าที่มานั่งอยู่ร่วมกันระยะเวลาหนึ่งในวันอาทิตย์แล้วก็ลาจากกันไป เราต้องการครอบครัวที่ใส่ใจและแบ่งปันเวลาต่อกันและกัน สัมผัสกายตามความเหมาะสมของบทบาทหน้าที่ สัมผัสใจโดยให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นและไว้วางใจได้เมื่ออยู่ในบ้านหรือโบสถ์ สัมผัสฝ่ายจิตวิญญาณโดยการนมัสการจากชีวิตและการสามัคคีธรรมร่วมกัน ตลอดจนถ่ายทอดค่านิยมที่ถูกต้องจากรุ่นสู่รุ่น ดังคำกล่าวในสุภาษิต 22:6 ว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะไม่พรากจากทางนั้น” หน้าที่ในการชี้ให้เห็นทางนั้นทางที่ถูกต้อง คือหน้าที่ของผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณทุกคนในบ้าน และในคริสตจักรของพระเจ้า
กุญแจดอกที่สี่
“ความรักไม่มีวันหมดอายุ” ในพระธรรม 1 โครินธ์ 13:8 กล่าวว่า “ ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆ ก็จะเลิกพูดกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป” พี่น้องที่รักวันหนึ่งสิ่งซึ่งเราเคยเห็นว่าเป็นประโยชน์จะต้องมีการเลิกใช้ และไม่เป็นที่นิยมอีก หากพี่น้องที่มีอายุสักสามสิบห้าปีขึ้นไปพอจำกันได้ เราพบว่าความสามารถในการพิมพ์ดีด และอัตราในการพิมพ์ต่อนาที เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นลำดับต้นๆ ในการสมัครงาน แต่ปัจจุบันมีคนพูดถึงเรื่องนี้กันน้อยเหลือเกิน ทุกคนใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตาของคีย์บอร์ดให้เข้ากับวิธีการพิมพ์ของตัวเองได้ ทุกอย่างจะมีวันเลิกใช้ แต่ความรักเท่านั้นที่ไม่มีวันหมดอายุ ความรักเป็นสิ่งที่แปลกเหลือเกิน เพราะยิ่งหวงและเก็บไว้กับตัวความรักจะเน่าเสียกลายเป็นความเห็นแก่ตัว แต่ความรักจะงอกงามขึ้น และถ่ายทอดไปยังทุกคนได้จากการให้และแสดงออกถึงความรักที่มี ความรักสามารถแสดงออกและให้ได้ง่ายๆตามอย่างที่เรามีและเป็น ถ้าท่านเป็นคนที่มีรอยยิ้ม รอยยิ้มของท่านจะส่งต่อความรักได้ ถ่าท่านมีมือที่ช่วยเหลือผู้คน มือและการให้ของท่านก็จะมอบความรักให้ทุกคนได้ มีสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักรของผมเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีความรู้อะไรมากมาย แต่สมาชิกท่านนี้รักในการทำความสะอาดมาก เก้าอี้และโต๊ะหลายตัวในคริสตจักรสะอาดสะอ้านจากการเช็ดถูอย่างตั้งอกตั้งใจ ความรักถูกฝังผ่านความเอาใจใส่และทำให้คนที่มาคริสตจักรทุกคนอยากจะนั่งเก้าอี้ที่แสนสะอาดนี้ บางทีผมคงต้องให้พี่คนนี้เช็ดเก้าอี้แถวแรกให้มากๆ เพราะสังเกตว่าคนมักชอบนั่งแถวหลังก่อน
กุญแจดอกสุดท้าย
“ความรักนั้นนำมาซึ่งความสมบูรณ์” ในพระธรรม 1 โครินธ์13:9-12 กล่าวว่า “เพราะว่าเรารู้เพียงบางส่วน และก็เผยพระวจนะเพียงบางส่วน แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ที่เป็นเพียงบางส่วนนั้นก็จะสูญไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้า ก็เลิกอาการของเด็ก เพราะว่าเวลานี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า” พี่น้องที่รักครับ ผู้ที่มาอยู่ร่วมกันในคริสตจักรนั้นต่างก็เป็นผู้บกพร่องที่ได้รับพระคุณจากพระเจ้า เราทุกคนมีความบกพร่องบางอย่างแตกต่างกันไป พระธรรมตอนนี้ชี้ให้เห็นว่ายิ่งเราเติบโตในพระคุณและความรักของพระเจ้ามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเข้าใกล้ความสมบูรณ์ของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น จะมีประโยชน์อะไรที่เราเลือกพูดแต่กับคนที่น่ารัก พูดเพราะ และน่าอยู่ใกล้ เพราะท่านไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถ และความอดทนอะไรเลยในการอยู่ร่วมกับพวกเขา คนที่มีลักษณะพิเศษ ที่เดี๋ยวนี้เราชอบใช้คำว่า พวกอินดี้ บางครั้งพวกเขาอาจจะเข้าหาได้ยาก ทำให้เราเหนื่อย หรือรู้สึกรำคาญ แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นแบบทดสอบที่พระเจ้าอนุญาตให้เราได้ฝึกฝนความรักอย่างเป็นรูปธรรมมิใช่หรือ พระคัมภีร์กล่าวว่าเหล็กลับเหล็กได้ ความรักที่เราใช้ผ่านชีวิตก็สามารถลับคนๆนั้นเสียใหม่ให้กลายเป็นคนที่ท่วมท้นไปด้วยความรักได้เช่นกัน
สุดท้ายนี้ผมจึงอยากเชิญชวนให้พี่น้องทุกคนที่กำลังสร้างบ้านและคริสตจักร ตระหนักอยู่เสมอว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางพายุ คือความเสื่อมทรามของยุคสมัย ไม่มีรั้วเหล็ก หรือกำแพงใดจะสามารถป้องกันบ้านและคริสตจักรอันเป็นที่รักให้ห่างไกลและปลอดภัยจากพายุร้ายนี้ได้ มีเพียงความรักเท่านั้นที่เป็นพื้นฐานของชีวิตคริสเตียน ที่จะถักทอและประสานเป็นรั้วบ้านอันมั่นคงได้ “และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้” (1โครินธ์13:13) ขอพระเจ้าอวยพรครับ
- อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Freepik