สวนเบธเลเฮม
“ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า ไม่ขาดของดีใดๆ” ไร่แตงแคนตาลูปขนาด 4 ไร่ ปรากฏต่อสายตาของเราที่บ้านสวายเจริญ หมู่ 10 ต. ห้วยราช อ. ห้วยราชจ. บุรีรัมย์ น่าแปลกที่รสชาติของแคนตาลูปที่นี่ช่างแตกต่างจากที่เราเคยลิ้มรสทั่วไป
หน่วยขายเคลื่อนที่ของสมาคมพระคริสตธรรมไทยได้มีโอกาสรู้จักกับเจ้าของไร่ และได้รับทราบเรื่องราวธรรมดาที่ไม่ธรรมดาของเกษตรกรมือใหม่ที่ผันมาสู่มืออาชีพด้วยเหตุผลประการสำคัญคือ “ผู้ที่แสวงหาพระเจ้า ไม่ขาดของดีใดๆ” ท่านผู้นี้คือ ศิษยาภิบาล (ศบ.) เจษฏาพงษ์ ชำรัมย์ อายุ 43 ปี อดีตพนักงานการสื่อสารแห่งประเทศไทย ปัจจุบันเป็นศิษยาภิบาลเต็มเวลาของคริสตจักรพระกิตติคุณสมบูรณ์บุรีรัมย์ ต. อีสาน อ. เมือง จ. บุรีรัมย์ ภรรยาชื่อคุณจงลักษณ์ ชำรัมย์ มีบุตร 2 คน บุตรสาวอายุ 21 ปี บุตรชายอายุ 15 ปี
สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอขอบพระคุณท่านเจ้าของเรื่องที่ได้อนุญาตให้เรียบเรียงคำสัมภาษณ์ของท่านเพื่อ ความเข้าใจของผู้อ่านทั่วไป
“เรารู้จักเจ้า ก่อนที่เจ้าก่อร่างในครรภ์มารดา”
วันหนึ่ง ชายหนุ่มชื่อเจษฎาพงษ์ ในวัย 27 ปี รับการเชิญชวนของเพื่อนคริสเตียนให้ไปร่วมประชุมที่คริสตจักรเมืองบุรีรัมย์ เขารับเชิญโดยไม่ทราบเลยว่าที่คริสตจักรมีอะไร ในวันนั้น เขาได้เห็นว่าที่นั่นมีการร้องเพลงคริสเตียนกัน และในขณะที่ร้องเพลงอยู่นั้น เขารู้สึกว่ามีพลังบางอย่างเคลื่อนไหวในที่ประชุม และเมื่อที่ประชุมเงียบลง ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เรารู้จักเจ้า ก่อนที่เจ้าก่อร่างในครรภ์มารดา จงออกมา” คุณเจษฎาพงษ์รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟไหลผ่านตัวเขาจากศีรษะซ่านลงไปจรดปลายเท้า ทำให้เขาเกือบเสียการทรงตัว เมื่อการประชุมจบลงแล้ว เขาได้เล่าอาการนี้ให้เพื่อนฟัง และเพื่อนบอกว่าอาจเป็นไปได้ว่าเจษฎาพงษ์คือผู้ที่พระเจ้าเรียกให้ออกไป แต่คุณเจษฎาพงษ์ไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงพูดสุ่มไปอย่างนั้นเอง หลังจากวันนั้น คุณเจษฎาพงษ์ได้มีโอกาสไปร่วมการประชุมของคริสเตียนอีกครั้งหนึ่งที่จังหวัดขอนแก่น มีคนมากมายอยู่ในที่ประชุมนั้น แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีเหตุกาณ์อะไรเหมือนกับครั้งแรก ต่อมาอีกประมาณ 4 – 5 เดือนเพื่อนคนเดิมมาชวนไปคริสตจักรอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้นักเทศน์เป็นฝรั่งชาวอังกฤษ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม คุณเจษฎาพงษ์ได้ตัดสินใจยอมรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ในวันนั้น และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ภรรยาของเขาโกรธมากที่ทราบว่าเขาได้มาเป็นคริสเตียนแล้ว ครอบครัวต่อต้าน ตั้งแต่วันนั้นมา คุณเจษฎาพงษ์ถูกภรรยาต่อต้านโดยตลอดด้วยวิธีต่างๆ เช่น หาเหตุกีดกันไม่ให้สามีไปคริสตจักรในวันอาทิตย์ แต่เขาก็ยังยืนหยัดด้วยสันติวิธีที่จะไปร่วมประชุมที่คริสตจักรเช่นเดียวกับคริสเตียนคนอื่นๆ แม้จะต้องเดินเท้าเปล่าจากบ้านเพราะโดนภรรยาแกล้งยึดรองเท้าไว้ หรือจะต้องเดินเข้าไปในโบสถ์ด้วยเสื้อคอกลมตัวในเพียงตัวเดียวเพราะโดนภรรยายึดเสื้อตัวนอกไว้ การต่อต้านจากภรรยากินเวลานานประมาณปีเศษ
ระหว่างนั้น เวลาที่เธอเจ็บป่วย คุณเจษฎาพงษ์ได้อธิษฐานขอให้พระเจ้ารักษาเธอ และเธอก็จะหายเจ็บ เรื่องแปลกๆ ที่ทำให้ภรรยารู้สึกว่าพระเจ้าน่าจะมีจริงคือ หากเธอขว้างพระคัมภีร์หรือข้าวของใส่สามีด้วยมือไหนเธอก็จะเจ็บมือนั้น ส่วนคุณเจษฎาพงษ์เอง ได้เปลี่ยนเป็นคนใจเย็นขึ้นมากจนภรรยาสังเกตเห็นได้ และเขาไม่เคยโต้ตอบภรรยาด้วยวิธีเดิมๆ ที่เคยใช้เมื่อมีปัญหาในบ้าน บัดนี้ ภรรยากลายเป็นฝ่ายข่มเหงสามีด้วยความไม่พอใจที่เขามาเป็นคริสเตียน วันหนึ่ง เธอตามคุณเจษฎาพงษ์ไปที่คริสตจักร ขณะที่มีการร้องเพลง “พระเยซู พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า” เธอเริ่มร้องไห้เมื่อได้ยินเพลงนี้ และเธอร้องไห้หนักขึ้นจนต้องออกมานอกห้องประชุมและร้องไห้อยู่คนเดียว เธอเริ่มเชื่อว่ามีพระเจ้าในวันนั้น และหลังจากนั้นประมาณ 4-5 เดือน เธอก็ได้ยอมรับเชื่อเป็นคริสเตียน ส่วนคุณแม่ของคุณเจษฎาพงษ์เคยต่อต้านเขาเช่นเดียวกัน แต่ก็ได้มาเชื่อพระเจ้าและเป็นคริสเตียนก่อนภรรยา คุณเจษฎาพงษ์มีพี่ชายที่ได้มาที่คริสตจักรเพื่อจะศึกษาหลักของคริสตศาสนา และต่อมาก็ยอมรับว่าพระเจ้ารักเขาและพระเยซูได้มาตายแทนเขา จึงมาเป็นคริสเตียนหลังคุณเจษฎาพงษ์ 2 ปี เวลานี้ทั้งครอบครัวของคุณเจษฎาพงษ์เป็นคริสเตียนทุกคนแล้ว
“เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา เราจะได้รับเกียรติเพราะเจ้า”
วันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ขณะที่คุณเจษฎาพงษ์และภรรยากำลังเดินทางไปสัมมนาที่เชียงใหม่ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 13 ชั่วโมง ขณะที่อยู่บนรถในช่วงเวลาอันยาวนานนั้น คุณเจษฎาพงษ์ได้อธิษฐานในใจขอให้พระเจ้าพูดอะไรกับเขาบ้าง เมื่อหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านก็เปิดไปเจอพระธรรมอิสยาห์บทที่ 49 ข้อ 3 กล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้รับใช้ของเรา เราจะได้รับเกียรติเพราะเจ้า” คุณเจษฎาพงษ์ได้บันทึกพระคัมภีร์ข้อนี้และได้เก็บประสบการณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันนั้นไว้ เขาคิดว่าวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นผู้รับใช้ (ของพระเจ้า) และได้เริ่มเตรียมชีวิตตามความตั้งใจนั้น เขาใช้เวลา 10 ปี ในการจัดการกับเรื่องต่างๆ ที่ค้างอยู่ตลอดจนภาระหนี้สินให้เสร็จสิ้น และเตรียมชีวตโดยเข้าศึกษาอบรมสัมมนาของคริสเตียน และมีส่วนในการรับใช้คริสตจักรโดยทำหน้าที่เป็นผู้นำประชุมและเล่นดนตรี
วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2003 เป็นวันที่เขาเริ่มต้นรับใช้คริสตจักรเต็มเวลา โดยลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ ซึ่งเขาได้รับเพียงเงินเดือนเดือนสุดท้ายและเงินกองทุนเลี้ยงชีพเท่านั้น แต่คริสตจักรก็ได้มีส่วนสนับสนุนเลี้ยงดูเขา ส่วนภรรยายังเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ลูกสาวกำลังเรียนที่มหาวิทยาลัยพายัพ คณะพยาบาลศาสตร์ ลูกชายเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ต่อมา คุณเจษฎาพงษ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นศิษยาภิบาล (ศบ.) ของคริสตจักรพระกิตติคุณสมบูรณ์บุรีรัมย์ (ศิษยาภิบาลคือผู้ดูแลสมาชิกด้านจิตวิญญาณและดูแลพันธกิจต่างๆ ของคริสตจักร) คริสตจักรนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1997 เมื่อเริ่มก่อตั้งมีสมาชิกประมาณ 30 คน โดยได้เช่าอาคารพาณิชย์ 2 คูหาเป็นที่ประชุม ปัจจุบันคริสตจักรมีอาคารเป็นของตัวเองและจุคนได้ถึง 200 คน โดยเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2000 มีสมาชิกสมบูรณ์ 50 คน บางครั้งมีคนมาประชุมถึง 80 คน พระพรในชีวิตของ ศบ. เจษฎาพงษ์ กำลังแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นเนื่องด้วยงานประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ และด้วยความคิดในการช่วยเหลือแบ่งปันแก่ผู้มีความเดือดร้อนในท้องถิ่นที่มีงานเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก
“แคนตาลูปพระพร”
ในระหว่างการทำงานเป็นผู้รับใช้พระเจ้านั้น ศบ. เจษฎาพงษ์ ได้เข้าไปประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ที่บ้านสวายเจริญ หมู่ 10 ต. ห้วยราช อ. ห้วยราช จ. บุรีรัมย์ และได้มีโอกาสรู้จักกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่เขาเรียกว่า “คุณตา” ท่านผู้นี้แต่เดิมเป็นคนหูหนวก และ ศบ. เจษฎาพงษ์ได้เอาใจใส่ดูแลพาไปตรวจที่โรงพยาบาลจนคุณตามีเครื่องช่วยฟังไว้ใช้ จากเดิมที่คุณตาเป็นผู้เชื่อใหม่ เดี๋ยวนี้ท่านเป็นคริสเตียนแล้วและเป็นสมาชิกของคริสตจักรด้วย คุณตาเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่พระเจ้าได้ใช้เพื่อสำแดงแผนการของพระองค์ที่มีต่อชีวิตของ ศบ. เจษฎาพงษ์ทางด้านการเกษตรซึ่งแม้จะมากด้วยอุปสรรค แต่ก็กลายเป็นพรแก่ชาวบ้านในละแวกนั้นในเวลาต่อมา
คุณตามีที่ดินขนาด 7 ไร่ ซึ่งหลานของท่านได้นำไปจำนองไว้ตั้งแต่ต้นปี 2003 และไม่มีกำลังจะไถ่ถอน ท่านจึงอยากจะขายที่ผืนนี้แม้จะรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง แต่แม้จะมีคนพร้อมจะซื้ออยู่ 2 ราย คุณตาได้ขอให้ ศบ. เจษฎาพงษ์ ช่วยซื้อที่ผืนนี้ของท่านไว้เพราะเป็นครอบครัวที่มีความสนิทสนมผูกพัน ในเวลานั้น ศบ. เจษฎาพงษ์เพิ่งเริ่มชีวิตรับใช้พระเจ้าและไม่มีรายได้มากมาย เขาคิดอยากจะช่วยท่านด้วยการหาเงินมาไถ่ถอนที่ดินผืนนี้ให้ เขาใช้เวลาอธิษฐานให้พระเจ้าทรงนำว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เหตุการณ์ที่ทำให้เขาตัดสินใจได้คือเขาได้เปิดพระคริสตธรรม คัมภีร์ไปพบเรื่องในพระธรรมเยเรมีย์บทที่ 32 (คำอธิบายของสมาคมพระคริสตธรรมไทย – พระเจ้าสั่งเยเรมีย์ว่าให้ซื้อที่นาซึ่งเป็นสิทธิ์ในตระกูลของเยเรมีย์จากญาติ และให้ทำโฉนดที่ดินเก็บไว้ให้ดี เพราะแผ่นดินเยรูซาเล็มกำลังจะตกเป็นของอาณาจักรบาบิโลนแล้ว แต่พระเจ้าจะกลับมาอวยพรแผ่นดินนี้อีกในเวลาต่อมา) เมื่อได้อ่านเรื่องนี้ ศบ. เจษฎาพงษ์และภรรยาได้ตัดสินใจเอารถไปเข้าไฟแนนซ์แล้วมาซื้อที่ผืนนี้จากคุณตาแบบโอนโฉนดในวันที่ 20 มกราคม 2004 แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะทำอะไรกับที่ผืนนี้ เพราะคิดว่าซื้อไว้เพื่อช่วยท่านเท่านั้น ในระหว่างนั้น ศบ. เจษฎาพงษ์ คิดถึงเรื่องในพระธรรมลูกาบทที่ 4 ตอนที่พระเยซูเข้าไปสั่งสอนในธรรมศาลา (พระองค์ได้กล่าว ถึงเรื่องการช่วยเหลือประชาชนในเมืองนั้น) เรื่องนี้ทำให้เขานึกถึงพี่น้องเกษตรกรและชาวนาในท้องที่นั้นซึ่งมีหนี้สิน เป็นปัญหาใหญ่ และต้องไปขายแรงงานในจังหวัดอื่นหลังฤดูเก็บเกี่ยว ตัวเขาเองรู้สึกสนใจเรื่องการปลูกแคนตาลูปเพราะได้มีโอกาสไปศึกษาเรื่องนี้ มาแต่ก็พบว่ามีค่าใช้จ่ายสูงมากและชาวไร่จะต้องมีความรู้เรื่องการบำรุง รักษาและการตลาด เขาได้พบว่าสมาชิกคริสตจักรบางคนได้ตัดสินใจเลี้ยงไก่บ้านและกบ แต่ยังไม่มีสมาชิกคนใดปลูกแคนตาลูปเพราะต้นทุนสูง เขานึกถึงที่ดินที่ซื้อมาจากคุณตาซึ่งมีแหล่งน้ำอยู่ด้วย แต่แรกเขาคิดว่าน่าจะทำเป็นที่สำหรับอธิษฐาน และอาจเป็นที่สร้างอาชีพให้แก่สมาชิกคริสตจักรได้ ศบ. เจษฎาพงษ์เริ่มอธิษฐานอดอาหารขอการทรงนำจากพระเจ้า เช่นเดียวกับพระนางเอสเธอร์ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมที่อธิษฐานอดอาหาร เพื่อขอให้พระเจ้าเมตตาช่วยเหลือชนชาติยิวของตน (ให้พ้นจากการปองร้าย)
“รสชาติแตกต่าง”
เมื่ออธิษฐานแล้ว เขาตัดสินใจทำไร่แคนตาลูปด้วยตนเอง เพื่อจะนำประสบการณ์และความรู้มาแนะนำแก่สมาชิก เขาอธิษฐานขอให้พระเจ้าประทานแคนตาลูปที่มีรสชาติแตกต่างจากสวนอื่นๆ อย่างไรก็ดี หลังจากได้ผลผลิตรุ่นแรก กลับขายไม่ได้ จะส่งไปขายที่กรุงเทพฯ ก็ไม่สำเร็จเพราะเขายังไม่เข้าใจระบบตลาด ผ่านไป 3 วัน แคนตาลูปที่ตัดแล้วเหล่านั้นก็ยังไม่มีที่จะระบายออก เวลานั้น มีคนมาแจ้งข่าวว่ามีการประกวดและจำหน่ายแคนตาลูปที่อีกตำบลหนึ่ง คือ ต. แสลงพัน อ. ลำปลายมาศ เขาจึงนำผลผลิตไปขายที่นั่นและได้รับคำแนะนำจากคณะกรรมการจัดงานให้ส่งผลผลิตเข้าประกวด อย่างน้อยที่สุดก็จะได้รับรางวัลชมเชย เขาจึงคัดผลแคนตาลูปส่งเข้าประกวดแต่ไม่ได้สนใจรอฟังผล คิดแต่จะต้องรีบไปขายผลผลิตให้หมดที่ตลาดอื่น เวลาผ่านไป 10 กว่าวัน เมื่อ ศบ. เจษฎาพงษ์ไปเยี่ยมกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกแคนตาลูปด้วยกัน พวกเขาถามว่า “ทำไมไม่ไปรับรางวัล?” “รางวัลอะไรครับ?” คำตอบคือ “รางวัลชนะเลิศ !” แคนตาลูปของสวนเบธเลเฮมได้รับรางวัลชนะเลิศหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของจังหวัดประจำปี 2547! ทั้งสามีภรรยารู้ซึ้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความสามารถของตนเอง แต่เป็นพระพรที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา เขาเชื่อว่าพระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานที่เขาได้ขอแคนตาลูปที่มีรสชาติที่แตกต่าง เมื่อเขาชิมผลผลิตของตนเองครั้งแรกนั้น เขารู้สึกตกใจเพราะแคนตาลูปที่ได้นั้นรสไม่หวานจัดเช่นแคนตาลูปทั่วไป ทั้งที่เขาใช้ปุ๋ยและกระบวนการต่างๆ เหมือนสวนอื่นๆ นอกจากนั้น พื้นที่เพาะปลูกใน อ. ลำปลายมาศมีกว่า 600 ไร่ มีเจ้าของมากกว่า 10 สวนที่ต่างก็มีประสบการณ์กว่า 10 ปี สวนเบธเลเฮมมีแค่ 4 ไร่ และเขาเป็นเกษตรกรใหม่ที่เพิ่งเริ่มอาชีพได้ไม่นาน ยิ่งกว่านั้น แคนตาลูปไม่ใช่พืชที่ปลูกง่าย ต้องดูแลด้วยความเข้าใจ หลังจากที่ ศบ. เจษฎาพงษ์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ ไร่แคนตาลูปของเขาก็มีกิจการดีขึ้น สามารถจ้างงานชาวบ้านและสมาชิกคริสตจักรมาช่วยทำไร่และรับออกไปขายด้วย นอกจากนั้น ยังช่วยให้นักเรียนในท้องที่นั้นมีงานพิเศษทำ หลายๆ คนได้ขอแคนตาลูปไปแทนเงินค่าจ้างก็มี จากการขายผลผลิตไปแค่สองรุ่น เขาได้ค่าแรงและค่าปุ๋ยคืน แต่แม้กระนั้น วิกฤตก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในบางครั้งที่ครอบครัวและชาวบ้านมีความเห็นไม่ตรงกันกับเขา เขาจะถูกกดดันด้วยแนวความคิดเดิมๆ แต่ทุกครั้งเขาจะคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้า และด้วยความเชื่อในพระเจ้า เขาก็สามารถแก้ปัญหาและผ่านวิกฤตมาได้
“เกษตรกรรมไม่ใช่อาชีพที่ต่ำต้อย”
ศบ. เจษฎาพงษ์ได้ฝากข้อคิดมายังผู้ที่สนใจในงานเกษตรกรรมว่า อาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพที่ต่ำต้อย แคนตาลูปเป็นพืชที่น่าปลูก เพราะใช้พื้นที่ไม่มาก และใช้เวลาปลูกไม่นานคือประมาณ 65 วัน รวมการเตรียมดินก็จะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ปีหนึ่งสามารถปลูกได้ 3 รุ่น ได้ผลตอบแทนมากกว่าการทำนา เพียงแต่ต้องศึกษาวิธีการดูแลรักษา ด้านการตลาดยังมีความเป็นไปได้ แม้จะมีปัญหาการล้นตลาดอยู่บ้าง แต่วิธีแก้ไขคือผู้ปลูกต้องเข้ากลุ่มกันแล้วจัดลำดับการส่งผลผลิตออกสู่ตลาดแบบทยอยกันออก ไม่ใช่ออกพร้อมๆ กันทุกสวน นอกจากนั้นพื้นที่เพาะปลูกนี้จะใช้ทำอย่างอื่นได้อีกหลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว
“อยู่ด้วยพระคำ”
ข้อพระคัมภีร์ที่หนุนใจ ศบ. เจษฎาพงษ์ คือ สดุดีบทที่ 34:10 “เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระเจ้าไม่ขาดของดีใดๆ” และสุภาษิตบทที่ 10:4 “มือที่หย่อนเป็นเหตุให้เกิดความยากจน แต่มือที่ขยันขันแข็งกระทำให้มั่งคั่ง” นอกจากนั้น สดุดีบทที่ 23 เป็นพระธรรมที่เหมาะสำหรับการภาวนาส่วนตัวของเกษตรกร
ส่วนเหตุการณ์ในพระธรรมลูกาบทที่ 5 ข้อ 4 – 11 เรื่องพระเยซูสั่งให้ซีโมนเปโตรเหวี่ยงแหเพื่อจับปลา ก็เป็นการหนุนใจเกษตรกรไม่ให้ย่อท้อและยังให้หลักการที่ดีในการประกอบอาชีพ เพราะพระเยซูสอนเขาให้จับปลาโดยที่พระองค์ไม่ได้นำปลามาให้แก่ซีโมนเปโตรโดยตรง
ศบ. เจษฎาพงษ์ ย้ำว่าความสำเร็จจะต้องมาจากการทำงานด้วยความทุ่มเทและมุ่งมั่น แม้เราจะต้องประสบปัญหาหลายอย่าง แต่เราจะผ่านทุกอย่างไปได้หากเราดำเนินชีวิตโดยความเชื่อในพระเจ้า
สมาคมพระคริสตธรรมไทย ขอขอบพระคุณ ศบ. เจษฎาพงษ์ ชำรัมย์ และครอบครัวสำหรับคำสัมภาษณ์ที่ให้ข้อคิดแก่ทุกอาชีพ ผู้ที่มีพระเจ้าในชีวิตและดำเนินชีวิตทุกก้าวโดยพึ่งพิงในพระองค์ เขาจะไม่ขาดแคลน ชีวิตของเขาจะเต็มอิ่มอยู่เสมอด้วยพระพรและบำเหน็จที่เกินความเข้าใจ
- อาจารย์เจษฎาพงษ์ ชำรัมย์