อธิษฐาน กับการควบคุมฝ่ายกาย
คนที่ทำงานด้วยกัน หรือเพื่อนๆ มักมอง ว่าผมเป็นคนใจเย็น ซึ่งแตกต่างจากตัวผมตอนวัยรุ่นมาก เพราะสมัยที่ยังเรียนชั้นมัธยมศึกษาผมมีเรื่องชกต่อยบ่อยมาก เพราะเดิมเป็นคนรูปร่างผอมและค่อนข้างเตี้ยกว่าคนอื่นๆ ในชั้นเดียวกัน คนจึงมักมาหาเรื่องอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็เป็นคนไม่ยอมคน ทำให้มีเรื่องทุกครั้งที่เขม่นกัน ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะตัวใหญ่กว่า ถ้าเข้ามาท้าทายผมก็พร้อมที่จะลุยเสมอ และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผมชอบออกกำลังกาย โดยเฉพาะการต่อยมวย ดีว่าวัยรุ่นสมัยผมนั้นถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โกรธเคืองอะไรกันนักก็แค่ท้าต่อยกันแบบลูกผู้ชาย ตัวต่อตัว นานๆ ครั้งถึงจะมีถูกรุมกระทืบบ้าง แต่ก็ไม่เคยหนักขนาดใช้อาวุธ ถ้าใครเห็นผมสมัยนั้นแล้วคงไม่เชื่อว่าจะกลายเป็นคนใจเย็นไปได้
.
เมื่อผมได้เรียนจิตวิทยาและศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของสมองมนุษย์ จึงเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นคนใจเย็นและใจร้อน นั่นเพราะในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่นสมองส่วนกลางมีอิทธิพลสูง เรามักตอบสนองทุกสิ่งไปตามอารมณ์และการถูกกระตุ้น จะให้อยู่ในระเบียบก็ต้องใช้การบังคับให้เกรงกลัว แต่ไม่เข้าใจนักเรื่องเหตุผล จนเราเริ่มเข้าอายุช่วงสิบเก้าหรือยี่สิบ สมองส่วนหน้าพัฒนาขึ้นและมีอิทธิพลให้เราไตร่ตรอง ชั่งข้อดีข้อเสียก่อนการตัดสินใจใดๆ ลงไป นั่นทำให้คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้นจะดูเหมือนใจเย็นลงไปมากทีเดียว อย่างไรก็ดีมันก็ยังมีความเกี่ยวข้องกับนิสัยเดิมในวัยเด็กของเราอยู่ด้วย แม้จะดูเยือกเย็นลงมีเหตุผลมากขึ้นเมื่อเทียบกับตัวเองในอดีต แต่ในสายตาของผู้คนอาจยังรู้สึกว่าคนๆ นั้นยังใจร้อนอยู่
.
มีพระคัมภีร์อยู่ข้อหนึ่งที่สะดุดใจผมมากนั่นคือ พระธรรมมัทธิว 26:41 ซึ่งบันทึกว่า “ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ถูกทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง” ผมแปลกใจก็เพราะพระเยซูคริสต์ตรัสกับสาวกว่าการอธิษฐานภาวนา ช่วยให้ร่างกายที่อ่อนกำลังมีความพร้อม อ่านตรงนี้ดีๆ นะครับ การอธิษฐานมีผลกับการควบคุมฝ่ายกายของเรา ที่ผมตื่นเต้นก็เพราะมันตรงกับหลักการทางจิตวิทยาอย่างมากทีเดียวครับ
.
นักชีวประสาทวิทยาค้นพบว่าโดยปกติคนเรามักมีอารมณ์ไปตามการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมของร่างกาย ร้อนไปก็หงุดหงิด หนาวไปก็รำคาญ และการตอบสนองของคลื่นสมองจะเป็น beta wave ซึ่งมีความถี่สูง คลื่นสมองแบบนี้จะทำให้เราหายใจถี่ๆสั้นๆ หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกตื่นตระหนกระวังตัว แต่การอธิษฐานภาวนา เป็นการเพ่งจิตสมาธิอย่างหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบของคลื่นสมองเป็น Alpha wave หรือ Theta wave ได้ ซึ่งปกติจะปรากฏตอนที่เรานอนหลับ หรืออยู่ในภาวะโคม่า เพื่อฟื้นฟูร่างกาย แน่นอนว่าเรายังพบคลื่นสมองลักษณะนี้ในคนที่มีความเป็นผู้นำสูง ใจเย็น รอบคอบในการตัดสินใจ และสามารถควบคุมสภาพอารมณ์ของตนในภาวะวิกฤติได้ดี ดังนั้นผู้ที่อธิษฐานภาวนาจนเป็นนิสัย จะมีคลื่นสมองเช่นนี้ในภาวะที่ร่างกายยังรู้สึกตัวดี มีสติ มีสัมปชัญญะ ส่งผลให้อัตราการเต้นของหัวใจสม่ำเสมอ ช้าและหนักแน่น ผลที่ได้ก็คือคนเหล่านี้แม้มีเรื่องน่าตกใจ หรือเกิดสถานการณ์วิกฤติก็จะยังดูไม่ตื่นตระหนก มีสติคิดอ่าน ควบคุมสถานการณ์ และอารมณ์เปลี่ยนแปลงไม่มาก จึงมักมีร่างกายที่แข็งแรง และสุขภาพจิตที่ดี
.
พี่น้องที่รัก ในพระคัมภีร์ตอนนี้พระเยซูคริสต์ทรงตรัสถ้อยคำตอนนี้แก่สาวก ในขณะที่พระองค์กำลังทุกข์ใจถึงที่สุด เพราะพระองค์ทรงรู้ว่ากำลังต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมาน ความอับอาย และความตาย แต่แล้วการอธิษฐานของพระองค์หลายต่อหลายครั้งก็นำพาให้พระองค์มีชัยชนะเหนือจิตใจและร่างกายมนุษย์ ของพระองค์เอง พระองค์จึงสามารถยอมรับน้ำพระทัยจากพระบิดาด้วยความเต็มพระทัย แปลความว่าพวกเราเองหากต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ใจ จนอารมณ์ด้านลบครอบงำเราแล้วเราก็ต้องเผชิญความทุกข์มากกว่าที่เกิดขึ้นจริงอีกหลายเท่า แต่หากเราเรียนรู้จากพระเยซูคริสต์ โดยมีชีวิตแห่งการอธิษฐานเป็นประจำ เราจะสามารถเอาชนะความขุ่นมัวทางอารมณ์ของเราเอง และควบคุมการตอบสนองฝ่ายกายที่มีผลมาจากความกลัวและความวิตกกังวลได้ จนเรานิ่งพอที่จะไตร่ตรองทุกเรื่องได้โดยปัญญา และพระธรรมตอนนี้ให้หลักการกับเราดังนี้
.
ประการแรก
“เฝ้าระวัง” หมายถึงการรับรู้สภาพที่แท้จริงทางอารมณ์ของตนเองอยู่เสมอ นักจิตวิทยาอาจเรียกว่ามี self awareness คือความตระหนักรู้ถึงสภาพที่แท้จริงภายในตนเอง คนที่มีความเชี่ยวชาญดีแล้วสามารถทำเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แต่สำหรับผู้เริ่มต้น การหลับตา และนั่งอยู่กับที่ ในสถานการณ์ที่สงบเงียบจะช่วยได้มาก เพราะเมื่อเราตัดการรับรู้ภายนอกให้น้อยลง เราจะได้ยินเสียงภายในของเราได้ชัดเจนขึ้น รู้ว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร คิดอะไร พระคัมภีร์จึงมักแนะนำให้เราอธิษฐานในที่ลับ หรือห้องชั้นบน ซึ่งหมายถึงความเป็นส่วนตัวนั่นเอง
.
ประการที่สอง
“และอธิษฐาน” เมื่อเราสามารถรับรู้เสียงภายในของเราได้แล้ว การอธิษฐานซึ่งหมายถึงการสนทนาโต้ตอบกับพระเจ้า ก็ควรจะเริ่มควบคู่กันไป เพราะเมื่อจิตใจอยู่ในภาวะสงบ หากไม่มีจุดเน้น หรือจุดสนใจ เราก็จะสงบได้ในระดับที่ตื้น แต่หากเราเพ่งความสนใจไปกับเรื่องที่ไม่มีสาระ ใจของเราก็แกว่ง ดังนั้นการอธิษฐานคือการจดจ่อกับพระเจ้า ซึ่งเป็นแหล่งกำลังที่แท้จริง เป็นกำเนิดแห่งความดีงามทั้งมวล จึงมอบจุดสนใจและสมาธิในระดับที่ลึกให้กับเรา จนคลื่นสมองเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทำจนเป็นนิสัย ผมขอเน้นคำว่าพูดคุยกับพระเจ้า นั่นหมายความว่ามีวาระที่เราพูด และมีวาระที่เราฟัง การอธิษฐานไม่ใช่การสื่อสารทางเดียว และวิธีพื้นฐานที่สุดที่พระเจ้าตรัสกับผู้เชื่อในยุคนี้คือผ่านพระคำของพระองค์เอง ดังนั้นการอ่านพระคัมภีร์อยู่เสมอในเวลาปกติ จะทำให้ท่านไวต่อการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ดีขึ้นจริงๆ ประการสุดท้าย “จิตวิญญาณสัมพันธ์กับร่างกาย” แม้ว่าความเชื่อของคริสตชนรู้ดีว่าในวันหนึ่งกายจะเสื่อมสลายไป แต่จิตวิญญาณนั้นจะยั่งยืนเป็น นิรันดร์ แต่ในขณะที่จิตวิญญาณเรายังอาศัยอยู่ในเรือนดินหรือกายเนื้อของเรา เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ผลกระทบฝ่ายกายมีผลต่อหัวใจและวิญญาณของเราไม่น้อยเช่นกัน การเลือกดู การเลือกฟัง การเลือกรับประทานหรือไม่รับประทาน มีผลกับร่างกายและส่งผลไปยังจิตวิญญาณด้วย ดังนั้นเราจึงต้องหมั่นดูแลร่างกายให้พร้อมและสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่สามารถกระทำได้ ดังนั้นทุกครั้งที่จะอธิษฐานอย่าทำแบบส่งๆ สักแต่ว่าทำ แต่ต้องอธิษฐานในเวลาที่ร่างกายและใจของเราพร้อม ท้องไม่อิ่มหรือหิวจนเกินไป ไม่ง่วงหงาว หาวนอน เพราะนี่จะทำให้เราเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการอธิษฐานได้มากยิ่งขึ้น แน่นอนทีเดียวที่หลายครั้งเราอาจอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมนักในการอธิษฐาน ทั้งท้อใจ เหน็ดเหนื่อย แต่คงไม่ใช่ทุกครั้งที่เราพยายามอธิษฐานในสถานการณ์ที่จำกัดตัวเองแบบนั้น จงเลือกอธิษฐานในเวลาที่กายและใจพร้อมมากที่สุด
.
พี่น้องที่รัก ในสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด เพียงแค่การขับรถออกจากบ้านก็สามารถทำให้เราหงุดหงิดได้แล้ว นั่นสะท้อนว่าคนที่ไม่สนใจฝึกฝนการอธิษฐานให้ใจและกายมีความมั่นคงเพียงพอ จะอยู่ในภาวะเสียเปรียบ และอ่อนแอได้ง่ายกว่า “จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน” คำท้าชวนนี้ไม่ได้มาจากตัวผมเอง หากแต่มาจากพระเยซูคริสต์ เป็นกำลังเสริมที่จะช่วยเหลือเราในยามยากลำบากได้ ขอพระเจ้าทรงเมตตาที่เราทั้งหลายจะเรียนรู้และเติบโตขึ้นผ่านชีวิตแห่งการอธิษฐานทุกคนด้วยเถิด ขอพระเจ้าอวยพรครับ
.
- อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Freepik