อัศจรรย์บนผืนฟ้า

ผมชื่อชัยรัตน์ จิตต์แก้ว อายุ 46 ปี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย เทคโนโลยีสารสนเทศและการตลาดออนไลน์ (Senior Vice President of IT & Marketing Online Development Department) บริษัท มิลเลียไลฟ์ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
       จบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยและคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ผ่านหลักสูตรการศึกษาอบรมสัมนาทั้งในและต่างประเทศด้านการบริหารจัดการและด้าน IT หลายหลักสูตร ภรรยาชื่อคุณสุชีดา (สุภาวงศ์วณิช) จิตต์แก้วเรามีบุตรสาว 1 คนชื่อเพ็ญธิดา จิตต์แก้ว อายุ 10 ปี เรียนอยู่โรงเรียนคริสต์ธรรมศึกษา
 ผมเขียนคำพยานนี้ขึ้นเพื่อขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงมีเมตตาต่อชีวิตผม และทรงมีกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการเรียกผม ด้วยทรงรู้นิสัยของผมผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์ทรงกำหนดเงื่อนไขชีวิตของผมตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งผมพบว่าความยุ่งยากลำบากในชีวิตวัยเยาว์นั้น ที่แท้เป็นแผนการที่พระเจ้าทรงวาดไว้สำหรับผมโดยเฉพาะ พระองค์ทรงวางเงื่อนไขให้ผมต้องค้นหาความจริงของชีวิตด้วยวิถีทางต่างๆ ให้แจ้งใจก่อน ทรงให้ผมมีข้อมูลในเรื่องชีวิตมากพอที่จะศึกษาเปรียบเทียบด้วยตนเอง เพื่อว่าเมื่อถึงวาระที่พระองค์ทรงสำแดงแก่ผมแล้ว ผมจะได้สิ้นสงสัยและไม่อาจปฏิเสธพระองค์ได้ และนี่คงเป็นพระประสงค์ที่พระองค์ไม่ส่งคริสเตียนไปประกาศกับผมอย่างจริงจังตลอดสี่สิบกว่าปีในชีวิตที่ผ่านมาของผม
การแสวงหา
  ชีวิตวัยเด็กของผมเต็มไปด้วยความยุ่งยากเนื่องจากปัญหาระหว่างคุณพ่อและคุณแม่เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผมและพี่ๆ น้องๆ ประสบในวัยเด็ก มีส่วนสำคัญที่หล่อหลอมให้ผมมองโลกด้วยความสนใจสงสัยในเรื่องความลึกลับของชีวิตมนุษย์ ผมมักสงสัยว่ามนุษย์เกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม ใครกำหนดแบบแผนโชคชะตาชีวิตมนุษย์.และเป้าหมายของชีวิตมนุษย์คืออะไร ผมพยายามหาคำตอบเหล่านี้ด้วยกำลังและวิธีการของตนเองมาโดยตลอด
        เมื่อเติบโตขึ้น นอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียนอย่างเด็กทั่วๆ ไป การแสวงหาคำตอบเรื่องความลึกลับของชีวิตนำผมเข้าสู่การศึกษาในสาขาความรู้ใหญ่ 2 สาขาคือผมศึกษาวิชาโหราศาสตร์ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 เมื่ออายุประมาณ 13-14 ปี และผมสนใจศึกษาวิชาพุทธศาสนาอย่างจริงจังในภาคปริยัติ (การศึกษาพระสูตร)และการปฏิบัติภาวนาเป็นระยะๆตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปี กว่ายี่สิบปีกับการเรียนรู้และเก็บสถิติรูปแบบวิถีชีวิตของมนุษย์กับตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้าในวิธีการทางโหราศาสตร์ หรือที่เรียกว่าการคำนวณดวงชะตา ทำให้ผมได้เห็นความมหัศจรรย์ของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสิ่งอย่างชัดเจน ส่วนในการศึกษาขั้นอุดมศึกษา ผมจบสาขาสถิติและคอมพิวเตอร์ ผมจึงเข้าใจดีถึงเรื่องของความสัมพันธ์โดยบังเอิญ และความสัมพันธ์ที่มีแบบแผนที่สามารถพยากรณ์หรือคาดการณ์ไปข้างหน้าได้
       แต่ในที่สุด ผมต้องยอมรับกับตนเองว่าการที่จะอธิบายสิ่งที่ผมได้พบในโหราศาสตร์นั้น วิธีที่ตรงที่สุดคือต้องยอมรับว่าจักรวาล โลก และมนุษย์ ถูกสร้างขึ้นอย่างมีแบบแผนและมีจุดมุ่งหมายโดยใครบางคน ใครบางคนนี้เป็นผู้มีสติปัญญาลึกล้ำเหลือที่ผมจะเข้าใจได้ ท่านผู้นี้อาจเป็นองค์ที่คนไทยทั่วๆ ไปเรียกว่าพระพรหมผู้ทรงลิขิตชีวิตมนุษย์ แต่ผมโน้มเอียงที่จะเรียกท่านว่า “พระเจ้า” ผมเชื่อเองว่ามีพระเจ้าแต่ผมไม่รู้จักพระเจ้า ผมไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้านอกจากการยอมรับในประจักษ์พยานที่พระองค์แสดงไว้ในภาคพื้นฟ้าซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตมนุษย์ที่ผ่านมือผมในโหราศาสตร์ ผมต้องการหายสงสัยในเรื่องนี้แต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร
        แต่พระเจ้าเป็นคำที่ถูกปฏิเสธในบริบทของพุทธศาสนา ผมถูกสอนให้เชื่อในหลักว่า “ตนนั้นแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนที่ฝึกดีแล้วเป็นที่พึ่งอันยอดเยี่ยมกว่าที่พึ่งใดๆ ในโลก และชีวิตย่อมเวียนว่ายตายเกิดเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำกันมา” แต่หากว่าความเชื่อนี้เป็นความจริงแล้ว ใครเล่าที่ได้วางระเบียบของสิ่งเหล่านี้ไว้ ใครเล่าได้ขีดแผนที่ชีวิตไว้ให้ล้อกันกับผืนฟ้า หรืออีกนัยหนึ่ง ใครเล่าได้วาดผืนฟ้าไว้ให้ล้อกันกับวิถีชีวิตมนุษย์ ลำพังศักยภาพของมนุษย์ทำสิ่งเหล่านี้เองไม่ได้แน่นอน แต่ใครเล่าที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำสิ่งเหล่านี้ แต่การปฏิเสธพระเจ้าในบริบททางศาสนานั้นกลับทำให้ผมรู้สึกลำบากใจมากขึ้นทุกทีเพราะสิ่งที่ผมประจักษ์จากวิชาโหราศาสตร์นั้นยืนยันความคิดของผมที่ว่ามีพระผู้สร้างหรือพระเจ้า และพระเจ้าต้องไม่ใช่เป็นเพียงกฎธรรมชาติ พระเจ้าจะต้องเป็นบุคคลที่เหนือไปกว่ากฎธรรมชาติ ในเวลาเดียวกันผมก็เริ่มเป็นกังวลว่า หากมีพระเจ้าจริง ศาสนาและการปฎิบัติตามคำสอนในศาสนาของผมที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าจะไม่เหลวเปล่าหรือ
        การศึกษาเพื่อแสวงหาคำตอบของชีวิตนานนับสิบๆ ปีของผมได้มาถึงจุดขัดแย้งกันเองอย่างวิกฤติ ผมไม่สามารถหาข้อสรุปให้แก่ชีวิตได้ ความจริงที่ผมประสบอยู่มีขอบเขตเกินกว่าสติปัญญาของผม ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเหมือนถูกจับแขวนลอยอยู่ในอากาศ ตัวผมเองรู้สึกตระหนักในความเขลาของสติปัญญามนุษย์ ในเวลานั้นผมไม่ทราบว่าจะปรึกษาใครเพราะพระสงฆ์ที่ผมเคารพนับถือมากและมีความคุ้นเคยเป็นส่วนตัวนั้นก็ได้มรณภาพไปแล้ว และไม่มีใครเลยในแวดวงที่ผมรู้จักที่จะเป็นผู้มีประสบการณ์ร่วมกับผมในสองศาสตร์นี้อย่างลึกซึ้งถึงขนาดจะแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์กันได้
       ขณะเดียวกัน ลูกสาวคนเดียวของผมก็เริ่มโตขึ้น ผมเห็นความจำเป็นในการปลูกฝังหลักศาสนาตั้งแต่วัยเด็กให้กับลูก ผมจึงพาเธอไปวัดใกล้บ้าน เพื่อปลูกฝังกิจกรรมและบรรยากาศทางศาสนาให้เธอ แต่เมื่อได้คลุกคลีกับวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้บ้านมากขึ้น ผมเริ่มมีปัญหาในใจในเรื่องรูปแบบกิจกรรมศาสนา ตลอดจนสภาพแวดล้อมหลายๆ อย่าง หลายสิ่งที่ผมพบเห็นทำให้ผมอึดอัดใจ ในที่สุดผมก็ปฏิเสธวัดซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผมทีเดียว เพราะเกิดคำถามในใจขึ้นมาว่าเราจะสร้างภูมิคุ้มกันวิถีชีวิตแบบวัตถุนิยมที่แพร่ไปอย่างน่ากลัวให้กับลูกสาวได้อย่างไร การก่อร่างสร้างชีวิตลูกสาวคนเดียวขึ้นมาให้เป็นมนุษย์ที่มีความสุขในอนาคตด้วยการปลูกฝังหลักศาสนาตั้งแต่เด็กๆ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว เรื่องนี้เป็นปัญหาคาใจผมมาโดยตลอด
พระเจ้าที่แท้จริง…?
        จิตวิญญาณในการแสวงหาคำตอบเรื่องชีวิตยังคงผลักดันผมอยู่เรื่อยมา ผมอยากรู้ว่าศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าเขาสอนอะไรกัน ผมเริ่มเปิดใจค้นคว้าศาสนาฮินดูจากคัมภีร์ภควัตคีตา (BHAGAVAD GITA) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคัมภีร์หลักของศาสนานั้น ทั้งนี้เพราะศาสนาฮินดูมีอิทธิพลต่อพุทธศาสนาค่อนข้างมากและศัพท์แสงที่ใช้ในทั้งสองศาสนาก็มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่หลายเรื่อง ดังนั้นผมจึงได้รู้จักบุคลิกภาพของพระเจ้าในศาสนาฮินดูก่อน
        ต่อจากนั้น ผมได้แสวงหาความรู้เรื่องพระเจ้าของศาสนาอิสลามจากเพื่อนฝูงและคนรู้จักที่เป็นผู้นับถือศาสนานั้น ผมได้อ่านและค้นคว้าหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้รู้ในศาสนาอิสลามเท่าที่พอจะหาอ่านได้ ผมเริ่มเข้าใจเรื่องของโองการของพระเจ้าที่มีมาถึงมนุษย์ (ซูเราะห์) และอรรถกถาของศาสนาจารย์ (หะดีษ) ผมจึงได้เริ่มรู้จักพระเจ้าในศาสนานั้นขึ้นมาบ้างอย่างเลาๆ รางๆ แต่คำตอบอันเด็ดขาดเรื่องพระเจ้าก็ยังคงมาไม่ถึงผม
        จนกลางปี 2001 (พ.ศ. 2544) ผมได้เริ่มงานใหม่มาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายไอทีของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีที่ทำการอยู่ที่ถนนสุรวงศ์ใกล้ถนนสีลม วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2001 หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ อย่างไม่คุ้นเคยในซอยเล็กๆ ซึ่งเชื่อมโยงไปมาถึงกันในย่านนั้น จนไปพบร้านหนังสือชื่อ “ประเสริฐบรรณาคาร” ด้วยนิสัยรักการอ่าน ผมเข้าไปในร้านหนังสือนั้น จึงได้รู้ว่าเป็นร้านหนังสือคริสเตียน ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบ “พระคริสตธรรมคัมภีร์” อย่างไม่คาดฝัน ผมจึงได้ซื้อพระคัมภีร์มาเล่มหนึ่งและตั้งใจว่าจะเริ่มอ่านก่อนนอนในคืนวันนั้น ผมกระหายอยากรู้เรื่องการสร้างโลก และการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าในคริสตศาสนา (Information Technology)
       คืนนั้น ผมนำพระคัมภีร์ขึ้นไปบนห้องนอนด้วย แต่ความเหนื่อยและตึงเครียดกับงานตลอดวันทำให้ผมไม่สามารถจะอ่านหนังสือต่อได้ จึงปิดไฟเพื่อเข้านอน แต่แล้วได้ฉุกใจคิดขึ้นว่าตนเองกำลังจะได้ทำความรู้จักกับพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง ของอีกศาสนาหนึ่งแล้ว รวมเป็นสามพระเจ้าแล้ว หากพระเจ้ามีจริงอย่างที่ผมเชื่อ ใครคือพระเจ้าองค์จริงและเที่ยงแท้กันแน่ ผมจึงลุกขึ้นนั่งสำรวมจิตและอธิษฐานในใจตามวิธีที่ได้เคยฝึกหัดทางจิตตภาวนามาบ้างในอดีตว่า “ถ้าพระเจ้ามีจริงขอให้พระองค์สำแดงให้ข้าพเจ้ารู้จักด้วยเถิดข้าพเจ้าค้นหาความหมายของชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พระองค์คือใครกันแน่ บัดนี้ข้าพเจ้าอับจนหนทางแล้ว และข้าพเจ้าอยากรู้ความจริง ขอโปรดสำแดงให้ข้าพเจ้ารู้ด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะได้เคารพบูชาต่อไปในชีวิ ทั้งของข้าพเจ้าเองและสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้าด้วย” จากนั้นผมก็ล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างรวดเร็ว
พระเจ้าทรงตรัสกับผม
        ตกดึกคืนนั้นเวลาประมาณ 2 นาฬิกาเศษ ผมได้รับนิมิตเห็นภาพในความฝันที่ชัดเจนติดตามากที่สุด ผมเห็นตัวเองยืนอยู่ในที่แห่งหนึ่งที่มีอากาศเย็นสบายและมีสีทองสว่างสุกใสอยู่รอบตัว และยังมีก้อนเมฆสีทองสุกปลั่งล้อมรอบเต็มไปหมด ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังออกมาจากก้อนเมฆสีทองด้านหน้าผมว่า “จงเปิดอ่านพระคัมภีร์หน้าสองร้อยสามสิบ…” ผมได้ยินเสียงนั้นสองครั้ง เป็นเสียงที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดมาก จากนั้นได้บังเกิดเป็นตัวเลขทำด้วยทองคำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ก้อนเมฆข้างหน้าผม แล้วตัวเลขสีทองนั้นและก้อนเมฆสีทองรอบๆ ตัวผมก็เริ่มเคลื่อนตัวบีบรัดเข้ามาจนคลุมตัวผมแน่นหนา แล้วผมก็ตกใจตื่นขึ้นกลางดึกนั้นเอง ผมเปิดไฟฟ้าสำหรับอ่านหนังสือขึ้นและได้พบว่ามันเป็นเวลา 2:30 น. ของวันใหม่แล้ว ผมรีบหยิบพระคริสตธรรมคัมภีร์อันเป็นหนังสือเล่มเดียวที่วางอยู่ข้างเตียงในขณะนั้นขึ้นมาและเปิดไปที่หน้า 230 พระเจ้าทรงทราบว่าผมไม่มีความรู้เรื่องระบบการจัดเล่มพระธรรมในพระคัมภีร์จึงตรัสบอกเลขหน้าให้แก่ผม ผมเริ่มอ่านอย่างตื่นเต้นและได้พบคำตรัสของพระเจ้าว่า
       “จงรวบรวมประชากรให้เข้ามาหน้าเรา เพื่อเราจะให้เขาได้ยินคำของเรา เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงเราตลอดวันคืนที่เขามีชีวิตอยู่ในโลก และเพื่อว่าเขาจะสอนลูกหลานของเขาด้วย” (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:10)
        ผมรู้สึกสะดุดใจอย่างแรงในถ้อยคำที่กล่าวถึงเรื่องการสอนลูกหลานเพราะเป็นปัญหาที่ค้างคาใจอยู่ และมีอีกตอนหนึ่งในหน้านั้นว่า
       “แล้วพระยาห์เวห์ (พระเจ้า) ตรัสกับท่านทั้งหลายออกมาจากท่ามกลางไฟ ท่านได้ยินเสียงพระดำรัสแต่ไม่เห็นรูปสัณฐาน มีแต่พระสุรเสียงเท่านั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:12)
        ช่างเหมือนกับที่ผมได้ประสบมาในนิมิตนั้นเสียเหลือเกิน ผมได้ยินแต่พระสุรเสียงแต่ไม่เห็นรูปสัณฐาน ผมอ่านต่อไปเรื่อยๆ และได้พบข้อความอีกว่า
“แต่ ณ ที่นั่นแหละ ท่านทั้งหลายจะแสวงหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน ถ้าท่านค้นหาพระองค์ด้วยสุดจิตและสุดใจ ท่านจะพบพระองค์” (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:29)
ประโยคนี้ก่อให้เกิดความหวังในใจของผมอย่างประหลาดว่าผมจะได้พบกับพระเจ้าที่ผมเชื่อและค้นหา ผมอ่านต่อไปอีกและได้พบกับข้อความที่ว่า
       “ที่ได้ทรงสำแดงแก่ท่านนั้นก็เพื่อท่านจะทราบว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกเลย” (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:35)
หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นเมื่อได้อ่านประโยคนี้ ผมอ่านต่อไปอีกจนไปถึงประโยคสุดท้ายของหน้า 231 ที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า
       “ดังนั้น จงทราบเสียในวันนี้ และตรึกตรองอยู่ในใจว่า พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์เบื้องบนและบนแผ่นดินเบื้องล่าง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกไม่เลย” (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:39)
       ข้อความที่ได้อ่านทั้งหมดทำให้ผมตื่นเต้นจนขนลุก มือเย็นเฉียบ ฉับพลันนั้นส่วนลึกในใจของผมบอกกับตนเองว่าพระเจ้ามีจริงและพระองค์คือพระเจ้าที่ปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นเอง พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ต่อผม ทรงตอบคำอธิษฐานและแก้ปัญหาคาใจของผมทั้งเรื่องความสงสัยในพระเจ้าหรือสัจจธรรมของชีวิตที่ผมแสวงหามานับสิบๆ ปีรวมทั้งเรื่องการปลูกฝังชีวิตที่มีศาสนาให้แก่ลูกสาวของผมด้วย ใจของผมสว่างโล่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
        การได้รับประสบการณ์นิมิตและถ้อยคำในพระคัมภีร์นี้ได้ต่อเติมภาพในใจในการแสวงหาความหมายของชีวิตของผมให้เต็มอย่างสมบูรณ์ ผมไม่ลังเลสงสัยในเรื่องพระเจ้าอีกต่อไปแต่กลับรู้สึกตื่นเต้นปีติยินดีในนิมิตนั้น ความคิดความเชื่อในขณะนั้นคือพระเจ้าพระองค์นี้แหละเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง พระองค์วาดฟ้าสวรรค์ และทรงดูแลเลี้ยงชีวิตของเราตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ผมไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อการมีชีวิตต่อไปโดยการเชื่อพระเจ้าในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกใจหายเมื่อคิดถึงการเปลี่ยนศาสนาและการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อพระเจ้าในชีวิตจริง
พระเจ้าทรงนำ…
        วันรุ่งขึ้นผมกลับไปที่ร้านหนังสือนั้นอีกเพื่อขอความเห็นจากผู้ดูแลร้านที่เป็นคริสเตียน เธอรับฟังเรื่องของผมด้วยความตื่นเต้น เธอแนะนำให้ผมไปคริสตจักรใกล้บ้านย่านถนนพัฒนาการ และยังพูดเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้าให้ผมฟัง ซึ่งทำให้ผมรู้สึกสับสนงงงัน เย็นวันนั้น เมื่อกลับถึงบ้านผมบอกกับภรรยาว่าเราจะหาโอกาสไปเที่ยวที่โบสถ์คริสต์ที่ซอยอ่อนนุชในวันอาทิตย์ถัดไปซึ่งเป็นวันที่ผมว่าง แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าควรจะไปพบใครและไม่รู้เรื่องธรรมเนียมการไปโบสถ์ของชาวคริสต์
       แต่พระเจ้าไม่ทรงปล่อยงานแห่งความรอดที่ยังทรงกระทำไม่เสร็จไว้กับผมแต่เพียงลำพังวันเสาร์รุ่งขึ้นนั้นเองพระเจ้าทรงส่งทูตของพระองค์มาหาผมเพื่อนำทางให้ผมได้พบพระองค์
        สุดซอยบ้านของผมมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งเจ้าของบ้านเป็นครูผู้หญิงสอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง (ภายหลังได้รู้จักว่าท่านชื่ออาจารย์นันทิยา) ท่านเดินผ่านหน้าบ้านผมบ่อยๆ แต่เราไม่เคยคุยกันและผมไม่รู้จักท่านโดยส่วนตัวมาก่อน บางครั้งท่านทักทายยิ้มหยอกเล่นกับลูกสาวของผมที่วิ่งเล่นอยู่ เราจึงได้ยิ้มทักทายกันบ้าง แต่ในวันเสาร์นั้นเอง ท่านได้พบกับภรรยาของผมและเธอทั้งสองได้คุยกัน ในที่สุด ภรรยาผมจึงได้ทราบว่าท่านเป็นคริสเตียนและตามผมออกมาทำความรู้จักกับท่าน ผมได้เล่านิมิตของผมให้ท่านฟังอย่างย่อๆ และขอความรู้เรื่องการไปโบสถ์ของชาวคริสต์จากท่าน ท่านจึงขออาสาพาผมไปโบสถ์ที่อยู่ใกล้บ้านของเราชื่อคริสตจักรร่มเย็น เราจึงนัดกันไว้ว่าวันอาทิตย์ถัดไปผมจะขับรถไปรับท่านที่บ้านสุดซอยแต่ครั้นถึงวันนัดคืออาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2001 (2544) ท่านกลับเป็นฝ่ายเดินมาที่บ้านของผมเสียเองตั้งแต่เช้าเพื่อพาผมและครอบครัวไปโบสถ์
       ผมจึงได้มาที่คริสตจักรร่มเย็น ถนนพัฒนาการซอย 17 เป็นครั้งแรก และในขณะที่นิมิตของพระเจ้ายังเป็นประสบการณ์ที่ติดตาตรึงใจผมอยู่อย่างชัดเจน ผมได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าของผมในวันนั้น
พระเจ้าทรงรักษาความเจ็บป่วย
        ย้อนหลังไปประมาณ 3 – 4 ปี ผมมีโรคประจำตัวคืออาหารไม่ย่อยเรื้อรัง จะเป็นเพราะชีวิตในเมืองที่ตึงเครียดหรือจะเป็นความผิดปกติของร่างกายเองก็ตาม อาการของผมก็คือท้องอืดปวดท้องมากก่อนถึงเวลามื้ออาหาร แต่เวลารับประทานอาหารก็ปวดท้องอีกเพราะอาหารไม่ย่อย ผมจึงท้องเสียบ่อยมาก ผมได้ไปรักษากับหมอแผนปัจจุบัน หมอตรวจกระเพาะและตับอย่างละเอียดแต่ไม่พบสาเหตุที่สำคัญ จึงให้ยาเคลือบกระเพาะเพื่อกินก่อนอาหารและให้ยาช่วยย่อยเพื่อกินหลังอาหารเป็นการรักษาตามอาการที่ปลายเหตุ แต่อาการปวดท้องเกือบตลอดเวลานั้นไม่หายขาด นับว่าทรมานมาก ที่สำคัญผมไม่มีกำหนดการหยุดกินยาเลย
        ในช่วงหลายปีของอาการโรคเรื้อรังนั้น ผมได้เคยลองเปลี่ยนไปหาแพทย์ทางเลือกโดยได้ไปปรึกษาหมอจีนที่มาจากปักกิ่ง หมอจีนได้จัดยาจีนสำหรับต้มกิน ยาแต่ละเทียบ (ห่อ) ต้มกินได้สองครั้งคือเช้าและก่อนนอน ดังนั้นยาหนึ่งเทียบจะต้มได้น้ำยาสองหม้อในแต่ละวันผมได้ต้มกินยาจีนนี้ไปนับได้ร้อยกว่าหม้อในระยะเวลาการรักษาต่อเนื่องประมาณสองเดือน ขณะกินยาร่างกายรู้สึกสบายมาก อาการของโรคหายเป็นปลิดทิ้ง แต่เมื่อยาหมดและหยุดยาไปสักพักอาการของโรคก็กลับมาอีก ที่น่าเห็นใจคือภรรยาของผมต้องลำบากคอยเฝ้าเคี่ยวยาให้เหลือน้ำยาในปริมาณที่กำหนด นับว่าเป็นภาระมากทีเดียว และในที่สุดผมก็ต้องกลับมากินยาของหมอแผนปัจจุบันอีกเพราะสะดวกกว่าการต้มยาจีนกิน ในช่วงก่อนรับเชื่อพระเยซูคริสต์นั้น ผมต้องกินยาช่วยย่อยวันละสามมื้อจึงจะมีชีวิตปกติอยู่ได้สรุปว่าผมตกเป็นทาสของยาโดยสิ้นเชิง ในวันที่ผมรับเชื่อพระเยซูคริสต์นั้น ด้วยการนำของ ศาสนาจารย์ ดร. วีรชัย โกแวร์ศิษยาภิบาลของคริสตจักรร่มเย็น ผมอธิษฐานด้วยถ้อยคำง่ายๆ ว่า
       “ข้าแต่พระบิดาเจ้า บัดนี้ลูกรับเชื่อในพระองค์แล้ว ขอพระองค์ได้โปรดปลดปล่อยลูกจากโรคภัยไข้เจ็บคือโรคอาหารไม่ย่อย และการตกเป็นทาสของยา มารขังลูกไว้ด้วยยา แต่ลูกเชื่อว่าพระองค์ผู้สร้างร่างกายของลูกนั้นเป็นใหญ่กว่าใครทั้งหมด และพระองค์ทรงรู้ว่าร่างกายของลูกนั้นแปรปรวนไปด้วยเหตุอะไรและทรงรู้ว่าจะรักษาอย่างไร นับจากวันนี้เป็นต้นไป ลูกขออธิษฐานหยุดการกินยาและขอให้พระองค์รักษาลูกด้วย…….”
นี่ออกจะเป็นคำอธิษฐานที่ห้าวหาญสักหน่อย แต่ทว่าจากวันที่ 9 กันยายน 2001 ที่ผมรับเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นต้นมา ผมไม่ได้แตะต้องขวดยาทั้งสองขวดอีกเลย โดยในวันที่ 10 และ11 กันยายน 2001 (วันเดียวกับที่เกิดเหตุวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในสหรัฐอเมริกา) ยังมีอาการของโรคกำเริบขึ้นมาเหมือนเช่นทุกวัน แต่ผมเชื่ออย่างมั่นคงเสียแล้วว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยและจะทรงเป็นผู้รักษาผม ไม่ใช่ยา ผมจึงได้แต่อดทนและอธิษฐานด้วยความเชื่อในใจ และในที่สุด ด้วยพระคุณพระเจ้าที่ผมรับเอาไว้โดยความเชื่อโรคอันทรมานเรื้อรังหลายปีก็หายหน้าไปจากชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง ผมไม่ต้องไปหาหมอด้วยสาเหตุการย่อยอาหารผิดปกติเรื้อรังอีกเลย พระเจ้าได้ปลดปล่อยผมจากมารที่กักขังผมไว้ด้วยโรคภัยและด้วยยา พระเจ้าองค์ที่ผมรู้จักนี้ทรงยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงและไม่มีสิ่งใดที่พระองค์กระทำไม่ได้
ภรรยาและลูก
        พระเมตตาของพระเจ้าได้ทรงมีมาถึงครอบครัวของผมอย่างที่ผมเองก็ไม่ได้นึกฝัน คุณสุชีดา ภรรยาของผม เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดในครอบครัวคนจีนที่ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีจีนปนกับการถือพิธีกรรมแบบพุทธศาสนาเช่นเดียวกับคนจีนทั่วไปในประเทศไทย เธอไม่เคยคิดว่าเธอจะเชื่อเรื่องของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ลืมเธอเลย
ในวันที่ผมพาเธอและลูกไปคริสตจักรร่มเย็นครั้งแรกนั้น เมื่อผมเดินออกไปรับเชื่อพระเยซูคริสต์ ภรรยาของผมนั่งนึกในใจด้วยความไม่เชื่อพระเจ้าว่า “ถ้าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าต้องทำให้ฉันกลับมาที่โบสถ์นี้อีกเป็นครั้งที่สอง” เพราะเธอตั้งใจว่าถึงผมจะเปลี่ยนมานับถือพระเจ้าและจะต้องมาโบสถ์อีก เธอก็จะปล่อยให้ผมมาเพียงลำพังเพราะเธอไม่มีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าเลย
       บ่ายวันนั้นเมื่อครอบครัวของเราออกจากคริสตจักร เราได้ไปซื้อของที่ห้างจัสโก้สาขาถนนศรีนครินทร์ ขณะที่เรากำลังจะชำระเงินที่ช่องจ่ายเงินนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของภรรยาผมก็ดังขึ้น ปรากฏว่าน้องชายของเธอ (คุณพัฒนา) ได้โทร. มาบอกว่ามีผู้พบกระเป๋าสตางค์ที่คาดว่าจะเป็นของภรรยาผมตกอยู่ที่ลานจอดรถของคริสตจักรร่มเย็น ให้รีบตรวจสอบและรีบกลับไปรับเพราะมีคนรอส่งคืนให้ที่นั่น ! ภรรยาผมรีบเปิดกระเป๋าสะพายดูและไม่พบกระเป๋าสตางค์จริงๆ ! ในกระเป๋าสตางค์ที่หายไปนั้นบรรจุทั้งเงินสดบัตรเครดิต บัตรประชาชน ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ นามบัตรคนใกล้ชิด และรูปถ่ายของลูกสาวของเรา ที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งคือน้องชายของเธอทราบข่าวนี้ได้อย่างไร เพราะเราไม่ได้บอกญาติพี่น้องคนใดเลยว่าจะไปโบสถ์คริสต์ ภรรยาผมทั้งแปลกใจและตกใจมากเพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในชีวิตของเธอเลย
        ผมรีบชำระเงินและขับรถย้อนกลับไปที่คริสตจักรร่มเย็นทันที เราได้พบพี่น้องคริสเตียนกลุ่มหนึ่งรอเราอยู่พร้อมกับกระเป๋าสตางค์ของภรรยา เหตุการณ์ก็คืออนุชนของโบสถ์เก็บกระเป๋าสตางค์ได้ที่ลานจอดรถจึงนำมามอบให้ผู้ใหญ่ในโบสถ์ที่กำลังมีประชุมกันหลังจากโบสถ์เลิกแล้ว ผู้ใหญ่กลุ่มนั้นจึงร่วมกันเปิดกระเป๋าออกดูว่าเป็นกระเป๋าของใคร ท่านหนึ่งเห็นภาพลูกสาวของผมในกระเป๋าและจำได้ว่าเห็นเด็กคนนี้มาโบสถ์กับครอบครัวใหม่ครอบครัวหนึ่งซึ่งยังไม่มีใครรู้จัก ผู้ใหญ่กลุ่มนี้ได้สำรวจกระเป๋าไปจนพบนามบัตรปึกหนึ่งจึงได้อธิษฐานขอให้พระเจ้านำในการติดต่อหาคนรู้จักเจ้าของกระเป๋า และได้หยิบนามบัตรของคุณพัฒนาซึ่งเป็นน้องชายของภรรยาของผมขึ้นมา ในที่สุดก็ติดต่อคุณพัฒนาให้แจ้งแก่ภรรยาของผมตามที่เล่ามาข้างต้น
        พระเจ้าทรงให้ภรรยาของผมกลับมาที่โบสถ์เป็นครั้งที่สองภายในวันเดียวกับที่เธอมาครั้งแรกตามที่เธอท้าทายพระองค์ ! ซึ่งเธอได้เล่าเรื่องการท้าทายพระเจ้าให้ผมฟังเมื่อเธอได้รับเชื่อพระเยซูคริสต์ด้วยใจสมัครของเธอเองในวันที่ 14 ตุลาคม ปีเดียวกัน (2001) หลังจากที่ผมดำเนินชีวิตคริสเตียนใหม่ได้ประมาณหนึ่งเดือน
        สำหรับลูกสาวคนเดียวของเรา เราได้นำเธอให้ได้รู้จักกับพระเจ้าและปลูกฝังชีวิตคริสเตียนให้กับเธออย่างที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้ เราสอนเธอให้อธิษฐานต่อพระเจ้า ความเชื่อพระเจ้าด้วยใจซื่อแบบเด็กๆ ของเธอมีส่วนหล่อหลอมให้เธอมีความเชื่อมั่นในตนเองในแบบที่ไม่ก้าวร้าว เพราะเธอรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้เธอทุกขณะแม้ว่าพ่อและแม่จะไม่ได้อยู่กับเธอในขณะนั้นก็ตาม และปัจจุบันเธอได้รับการสั่งสอนอบรมในทางของพระเจ้าในคริสตจักรเด็กของโบสถ์ของเรา ความรอดของพระเจ้าได้มาถึงครอบครัวของเราทั้งพ่อ แม่ ลูก
ชีวิตใหม่
        ในที่สุด ผมได้รับบัพติศมา (พิธีประกาศตนเป็นคริสตชนอย่างเป็นทางการ) อันเป็นการยืนยันการตายจากชีวิตเก่าและรับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ที่คริสตจักรร่มเย็นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2002 (2545)
        บัดนี้ผมมีชีวิตใหม่ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของสมองหรือเหตุผลนิยม ทั้งไม่ได้ตั้งอยู่บนสภาวะของจิตระดับต่างๆ หรือจิตนิยม หากแต่ตั้งมั่นอยู่บนฐานของความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และจักรวาล เดี๋ยวนี้ผมเข้าใจเรื่องความบาป และเชื่อมั่นว่าบาปของผมได้รับการชำระหมดสิ้นแล้วด้วยพระโลหิตบนกางเขนของพระเยซูคริสต์ ผมได้วางแอกและภาระหนักในการขัดเกลาตัวเองในรูปแบบเดิมๆ ลงเสียทั้งหมด ผมรู้สึกเบาสบายหายเหนื่อยและเป็นสุข ผมเคยเชื่อมั่นในตนเอง เคยขวนขวายเตรียมตัว วางแผน และแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ ด้วยสติปัญญาของตนเองบนหลักการที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” แต่นั่นคือแอกและภาระที่เหน็ดเหนื่อยสำหรับชีวิต บัดนี้ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงรักผม พระองค์เป็นพระบิดาผู้ทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีให้แก่ผมเสมอ ผมวางใจในการทรงนำของพระองค์ เป็นภาพเดียวกับที่ผมจะเดินจูงมือลูกสาว เธอไม่ต้องกังวลว่าเราจะไปไหนกัน และมีอะไรรอเธออยู่ข้างหน้า ตราบใดที่มือของเธออยู่ในมือของคนที่เธอเรียกว่า “พ่อ” เธอแน่ใจได้ว่าพ่อจะนำเธอไปพบแต่สิ่งที่ดีเท่านั้นระหว่างผมกับพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
การแสวงหาสิ้นสุดลงแล้ว…
        พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (พระธรรมเยเรมีย์ 29:13) พระสัญญานี้เป็นจริงในชีวิตของผม ผมจึงเป็นพยานได้ว่าข้อความในพระคัมภีร์เป็นความจริง การใช้เวลานับสิบๆ ปีในการค้นหาความจริงและจุดหมายในชีวิตของผมได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างสิ้นเชิง ผมได้รับคำตอบที่เพียรแสวงหาแล้ว ผมพบแล้วว่าพระเจ้าแห่งจักรวาลหรือพระผู้สร้างทรงมีอยู่จริง พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ในวันนี้ และมนุษย์ทุกคนควรที่จะรู้จักพระองค์และยึดถือพระองค์เป็นที่พึ่งที่หวังเดียวในชีวิต ผมพบว่าระบบความคิดต่างๆ ของศาสนา ของนักปรัชญา และของนักปราชญ์มนุษย์นั้น ไม่สามารถดึงดูดใจผมอีกต่อไป เมื่อผมย้อนกลับไปอ่านหนังสือแนวศาสนาปรัชญาที่สะสมไว้มากมายนั้น ผมพบว่าผมอ่านอย่างไม่มีรส มันจืดชืดและแห้งแล้งไปหมด ถึงแม้หลายมุมมองและหลายแนวคิดอาจสะท้อนถึงความจริงที่ลึกซึ้งยอมรับได้ แต่ก็เป็นเพียงความจริงที่สังเกตและสรุปโดยวิสัยทัศน์และประสบการณ์ทางจิตของมนุษย์เท่านั้น การค้นพบทางศาสนาและปรัชญาของมนุษย์ทุกประการล้วนมีเงื่อนไขและขีดจำกัด เป็นแอกและภาระหนักที่ยากจะปฏิบัติตามให้สุดทางแห่งคำสอนนั้น ไม่มีชีวิตและไม่มีความหวังอันแท้จริงถาวรของชีวิตอยู่ในนั้น
        ผมได้รู้ว่าการเป็นคริสตชนคือการมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าแห่งจักรวาลโดยผ่านพระเยซูคริสต์ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนา หากแต่มันเป็นความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณระหว่างมนุษย์กับผู้ให้กำเนิดมนุษย์ แต่มนุษย์คงไม่มีคำอื่นจะใช้เรียกจึงต้องเรียกว่าคริสต์ศาสนา แท้จริงแล้วเรื่องของพระเจ้าและพระเยซูอยู่เหนือขอบเขตของศาสนาปรัชญาที่มนุษย์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้นโดยสิ้นเชิง นี่คือความจริงที่ผมได้ประสบและเข้าใจ
โหราศาสตร์ในมุมมองใหม่
        สำหรับวิชาโหราศาสตร์ซึ่งนำผมมาสู่พระเจ้าในเบื้องต้นนั้น มุมมองใหม่ของผมคือผมได้มองเห็นหมายสำคัญ ความยิ่งใหญ่ และพระสิริของพระเจ้าผ่านโหราศาสตร์อย่างชัดเจนที่สุด อย่างที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้าและภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์…” (สดุดี 19:1) ผมอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ด้วยความประทับใจในความจริงจากประสบการณ์ตรงนับสิบๆ ปีของผมเอง
        ผมสรุปได้ว่าถึงแม้โหราศาสตร์สามารถสะท้อนภาพชีวิตของมนุษย์ตามพระดำริของพระเจ้าได้จริง แต่พระเจ้าทรงอยู่เหนือจากนั้นขึ้นไปอีก การยึดถือในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจก็เพียงพอแล้วสำหรับการมีชีวิตที่สงบสุขสันติ และสำหรับหลายๆ คน.บางทีการไม่ต้องรู้อะไรล่วงหน้าก็เป็นการดีกับชีวิตเสียยิ่งกว่า เพราะทำให้เขาไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
        โหราศาสตร์ยืนยันกับผมโดยไม่มีข้อแก้ตัวเลยว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างจักรวาล พระองค์ทรงสร้างท้องฟ้า ดวงดาว โลกและสรรพชีวิตในโลก พระองค์ทรงวางกฎเกณฑ์อันแม่นยำสำหรับการกำกับดูแล และที่สำคัญ พระองค์ทรงมีวาระและกำหนดเวลาในเรื่องต่างๆสำหรับทุกคนและทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น เป็นวาระของพระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ และทรงกระทำการต่างๆ ด้วยวิธีการและพระปัญญาอันแยบยลลึกซึ้งของพระองค์ อันมนุษย์ไม่อาจหยั่งให้ตลอดได้
       ผมจึงขอเป็นพยานยืนยันในที่นี้อีกครั้งว่าสิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นความจริงทั้งสิ้นพระสัญญาทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ปรากฎในพระคัมภีร์จะเป็นจริงทั้งหมดอย่างแน่นอนตามวาระที่พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด ทางเดียวของเราคือฟังพระองค์ เรียนรู้พระทัยพระองค์ และทำตามน้ำพระทัยพระองค์ที่ทรงแสดงไว้ในพระคัมภีร์ด้วยความเชื่อ
ด้วยความจริงนี้เอง ผมจึงตั้งใจหาทางรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าให้มากขึ้นด้วยการอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์และพูดคุยกับพระเจ้าผ่านการอธิษฐานทุกวัน และโดยการนี้ผมสัมผัสได้ว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทับอยู่ห่างไกลผมเลย นี่เป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นและอัศจรรย์ซึ่งผมไม่เคยได้พบในขณะที่ยังเป็นเพียงศาสนิกชนในศาสนาเดิม
ขอบพระคุณพระเจ้า
        ปัจจุบันนี้ครอบครัวของเราได้มีโอกาสรับใช้ในงานของพระเจ้าหลายอย่าง เราออกไปเป็นพยานในที่ต่างๆ ตามเวลาและโอกาสอันเหมาะสมทุกปี ผมเขียนบทความหนุนใจพี่น้องทางเครือข่ายอีเมล์เป็นระยะๆ และที่คริสตจักรร่มเย็นที่ครอบครัวของเราเป็นสมาชิกอยู่ ผมได้รับมอบหมายให้สอนรวีวารศึกษาชั้นผู้ใหญ่สำหรับผู้เชื่อใหม่ ส่วนภรรยาของผมสอนรวีวารศึกษาให้แก่เด็กๆ และเธอยังเป็นครูอาสาในกิจการ Girls Brigade ณ.โรงเรียนคริสต์ธรรมศึกษา ในเครือคริสตจักรสะพานเหลืองอีกด้วย
        “ข้าแต่พระเจ้าผู้สูงสุด ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณที่ทรงเรียกข้าพระองค์ออกมาให้ได้รับความรอด.ข้าพระองค์คือใครเล่าที่พระองค์ได้ทรงรักและทรงเอาพระทัยใส่อย่างเจาะจงถึงเพียงนี้ ข้าพระองค์คือผงคลีดินท่ามกลางมหาสาครและพิภพปฐพีอันไพศาลที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเท่านั้นเองมิใช่หรือ.พระองค์เจ้าข้า ขอพระนาม พระเกียรติ พระสิริของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะบูชาแก่มนุษย์ทั้งหลายสืบไปเป็นนิตย์ อาเมน”
        สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอขอบพระคุณคุณชัยรัตน์ จิตต์แก้วเป็นอย่างยิ่งที่ได้อนุญาตให้สมาคมฯ ได้เผยแพร่ประสบการณ์ชีวิตของท่านกับพระเจ้า ขอให้ท่านและครอบครัวเต็มล้นด้วยพระพรเสมอไปเป็นนิตย์
คุณชัยรัตน์ จิตต์แก้ว