อำนาจดื่มไม่ได้ แต่เมาได้
ครั้งแรกที่ผมดื่มเหล้านั้นเป็นการถูกบังคับจากรุ่นพี่ที่รับน้องในมหาวิทยาลัย ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อนว่าทำไมคนคนหนึ่งถึงปล่อยให้ตัวเองเมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้จนผมได้ลองมันครั้งแรก และสติของผมถูกดึงไปด้านต่ำผมถูกชวนกึ่งบังคับให้กินเหล้าหลายครั้ง จนเริ่มเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอผลการเรียนเทอมแรกจึงเริ่มแย่ลง ในที่สุดก็มีวันหนึ่งที่ผมเมาเข้าจนได้ ผมรู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น ตาบวมจนแทบปิด และรู้สึกหงุดหงิดไปหมดจนเผลอไปทำให้คนอื่นเจ็บตัวโดยขาดสติ แม้ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรงอะไรในเหตุการณ์นั้น แต่ผมก็เสียใจมาก ผมจึงรังเกียจเหล้า และของมึนเมาทุกชนิดมาตั้งแต่วันนั้น และปฏิญาณอย่างหนักแน่นกับตัวเองว่าจะไม่ขอแตะต้องของมึนเมา เหล้าและสุราทุกชนิดอีกเลย ในที่สุดผมกลายเป็นภูมิแพ้เครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิดและแทบไม่อยากจะได้กลิ่นเลย เพราะรู้สึกเหม็นมากๆ ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ผมหลุดจากการเมามาได้อย่างรวดเร็วผมได้ข้อคิดจากเรื่องนี้ข้อหนึ่งว่า“ต่อให้เรามีสติมากแค่ไหน ถ้ากินเหล้าก็เมาได้ทุกคน”
ในขณะที่ผมเตรียมการสอนพระคัมภีร์อยู่นั้นข้อความจากพระธรรมสุภาษิต 27:21-27 ที่ผมได้อ่าน ทำให้ผมหวนนึกถึงคำถามในอดีตที่ว่า “ทำไมคนคนหนึ่งถึงปล่อยให้ตัวเองเมาจนควบคุมตัวเองไม่ได้? ” แต่สำหรับพระคำของพระเจ้าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องสุรายาเมา แต่เป็นเรื่องของอำนาจ บางทีผู้อ่านที่รักก็อาจมีคำถามเดียวกับผมว่า “ทำไมคนคนหนึ่งถึงมัวเมาในอำนาจได้?” ผมไม่กล้านึกตำหนิคนที่มัวเมาในอำนาจ เพราะผมเชื่อว่ามันก็คงเหมือนกัน ลองมีอำนาจขึ้นมา โดยไม่มีพื้นฐานที่ดี เราอาจจะเมามายในอำนาจที่ได้รับมาง่ายๆเหมือนกัน พระวจนะตอนนี้จึงมุ่งให้ความช่วยเหลือและป้องกันเราจากภาวะเมาอำนาจนี้ ด้วยความจริงจากพระเจ้า และผมอยากเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านมาเรียนรู้ไปด้วยกัน
พระธรรมสุภาษิตบทที่ 27 ข้อ 24 และ 25กล่าวว่า “เพราะความมั่งคั่งไม่ยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์และมงกุฎก็ไม่คงทนอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์ เมื่อเขาเก็บหญ้าแห้งไปแล้ว หญ้าใหม่ก็ปรากฏขึ้นและผักหญ้าต่างๆ ตามภูเขาก็ถูกเก็บรวบรวมมา” สิ่งนี้ทำให้ผมเข้าใจสัจธรรมแห่งอำนาจประการแรกว่า“อำนาจอยู่กับเราเพียงชั่วคราว” ไม่ว่าวันนี้เราจะมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงเพียงใด สิ่งนั้นก็เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น อำนาจจะหายไปตามเวลาของมันอาจเป็นการเกษียณ การถูกให้ออกจากตำแหน่งด้วยการป่วย หรือแม้แต่ความตาย ดังนั้นถ้าเราเมาจนเสพติดอำนาจ วันหนึ่งที่อำนาจหายไป เราอาจเกิดภาวะลงแดงแบบเขาติดเหล้าเป็นกัน คือเกิดความทรมาน ทุรนทุรายจากการขาดอำนาจ เราจึงจำเป็นต้องตระหนักความจริงจากพระวจนะว่าอำนาจเป็นสิ่งที่เราครอบครองเพียงชั่วคราว วันหนึ่งมันจะจากไป จึงไม่ฉลาดเลยที่เราจะหลงมัวเมากับอำนาจในขณะที่ยังมีมันอยู่
ในข้อ 23 กล่าวว่า “จงรู้ความทุกข์สุขของฝูงแพะแกะของเจ้าให้ดี และจงเอาใจใส่ฝูงสัตว์ของเจ้า” สัจธรรมแห่งอำนาจประการที่สองก็คือ“อำนาจคือความรับผิดชอบ” หรือพูดง่ายๆก็คืออำนาจมีไว้เพื่ออำนวยให้คนภายใต้อำนาจเกิดความสุข ได้รับการดูแล แต่คนที่เมาในอำนาจมักเข้าใจผิด และใช้อำนาจในทางกดขี่ เอาเปรียบ และขโมยเกียตริที่ไม่ใช่ของตนไป การป้องกันไม่ให้ตัวเองเมาอำนาจ จึงควรทำโดยเข้าใจความจริงจากพระวจนะว่า หน้าที่รับผิดชอบที่แท้จริงของอำนาจนั้นคือสิ่งใด อำนาจที่ดีควรมีไว้เพื่อบริหาร และแจกจ่ายความสุขของคนส่วนรวม และสันติสุขของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพื่อสนองตัณหาส่วนตัวของเรา ดังนั้นถ้าไม่อยากเมาอำนาจก็จงอย่าใช้มันเพื่อกอบโกยให้ตัวเอง
พระธรรมตอนนี้ในข้อ 26 และ 27 กล่าวว่า “เมื่อนั้นลูกแกะจะให้เสื้อผ้าแก่เจ้า และแพะก็จะเป็นค่านาจะมีนมแพะพอเป็นอาหารแก่เจ้า เป็นอาหารแก่ครอบครัวของเจ้า และเป็นเครื่องยังชีพแก่สาวใช้ของเจ้า” สัจธรรมแห่งอำนาจประการที่สามก็คือ“อำนาจที่ใช้อย่างถูกต้อง จะได้รับบำเหน็จรางวัล”การดูแลเอาใจใส่คนภายใต้อำนาจอย่างดีย่อมสร้างความรู้สึกที่ดีและอิทธิพลทางบวกตอ่ คนใต้อำนาจ ความรู้สึกซาบซึ้งนี้จะติดตามผู้ครอบครองอำนาจไป แม้ในวันที่หมดอำนาจตามตำแหน่งวาระแต่เขาจะได้รับอำนาจที่เป็นอิทธิพลจากหัวใจอย่างแท้จริงจากผู้คนอาจกล่าวได้ว่าอำนาจที่แท้จริงมิได้มาโดยตำแหน่ง แต่มาจากการยอมรับของผู้คน และสิ่งนี้จะติดตัวเราไปตลอดกาลเมื่อเราใช้อำนาจอย่างมีสติปัญญาจากพระเจ้า
พระธรรมสุภาษิตบทที่ 27 ข้อ 21 และ 22 กล่าวว่า“เบ้าหลอมมีไว้สำหรับเงิน และเตาถลุงสำหรับทองคำ ส่วนคนเราจะพิสูจน์ได้โดยคำยกย่องที่เขาได้รับ เอาคนโง่ใส่ครกตำด้วยสากพร้อมกับเมล็ดข้าว คนโง่ก็ยังโง่อยู่นั่นเอง” สัจธรรมแห่งอำนาจประการสุดท้ายก็คือ“สัจธรรมแห่งอำนาจเป็นประโยชน์เฉพาะผู้มีปัญญา” การขึ้นมาสู่อำนาจในครั้งแรกๆ นั้น ย่อมมีคนไม่ยอมรับอยู่บ้างเป็นธรรมดา แต่ความดี และการใช้อำนาจอย่างถูกต้องจะเป็นเบ้าหลอมและเตาถลุง พิสูจน์ตนเองว่า คนที่ได้รับอำนาจนั้นมีคุณค่า สามารถยกย่องให้เกียรติเป็นผู้นำที่ได้รับการยกย่อง ซึ่งพระวจนะเปรียบเทียบสิ่งนี้กับเงินหรือทองที่จะมีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มีราคาคุณค่ามากขึ้นเมื่อผ่านความร้อนจากการถลุงเอาขี้แร่ออกหรือการหลอมเพื่อไล่เอาส่วนที่ไม่ดีออกไป คนมีปัญญาจึงหมายถึงคนที่ยอมรับว่าตนต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองว่าอำนาจที่ได้รับนั้น เขาพร้อมจะใช้มันอย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์กับคนส่วนรวมอย่างแท้จริงส่วนคนที่ไร้ปัญญาก็คือคนที่ไม่สนใจฟังคำสอนจากพระวจนะ พระคัมภีร์เรียกคนเช่นนี้ว่า“คนโง่” และเปรียบเทียบเอาไว้ค่อนข้างแรงว่าแม้แต่เอาคนโง่มาตำด้วยสากจนละเอียด แล้วผสมกับเมล็ดข้าวซึ่งเป็นอาหาร และเป็นประโยชน์ คนโง่ก็ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆอยู่ดี จะลงทุนพูดหรือตักเตือนเท่าไหร่ เรียนรู้มากเท่าไหร่ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น เพราะเขาไม่ยอมรับ ไม่เปิดใจ และไม่เชื่อฟังปัญญาจากพระเจ้ามาปฏิบัติตาม คนเช่นนี้เองจึงเท่ากับเขากำลังเมาในอำนาจ
พระวจนะพระเจ้าสอนเราให้เข้าใจสัจธรรมแห่งอำนาจ แม้ว่าในวันนี้เราอาจจะยังเด็กอยู่ อายุยังน้อยและยังไม่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบอะไรมากนัก แต่การเตรียมตัวเองด้วยพระวจนะของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอจะเป็นภูมิคุ้มกันการเมาอำนาจได้อย่างดี เพื่อว่าวันหนึ่งที่เราได้รับโอกาสให้ใช้อำนาจ เราจะเป็นผู้ปกครองที่มีคุณธรรม และไม่ฉกฉวยอำนาจไว้เพื่อสร้างประโยชน์แก่ตัวเองไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์กับส่วนรวมเท่านั้น แต่ผู้อ่านจะได้รับบำเหน็จที่แท้จริง คืออำนาจแห่งการยอมรับจากหัวใจผู้คน ซึ่งไม่มีวันหมดอายุไปตามวาระ และวันหนึ่งเมื่อถึงเวลารายงานตัวกับจอมเจ้านายของเรา เราจะได้ยินพระองค์ตรัสว่า “…ดี มากเจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด” (ลูกา19:17) ขอพระเจ้าอวยพรผู้อ่านทุกท่านครับ
- อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Standret – Freepik.com