อุปสรรคการเป็นพยาน ที่ไม่ควรมองข้าม
คำวิจารณ์ สำหรับบางคนเมื่อได้ยินแล้วมักทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่บวก คำวิจารณ์นั้นจะเป็นสิ่งช่วยเราในการพัฒนาตนเอง ยอมรับและแปรเปลี่ยนคำวิจารณ์ให้เกิดประโยชน์ได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า “ให้ทุกคนไวในการฟัง” (ยก. 1:19) ถ้าถือเสียว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม แง่คิดต่อไปนี้อาจมีประโยชน์แก่พี่น้องทุกคนที่สนใจ สิ่งที่นำเสนอนี้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน จากคนที่เคยไม่รู้จักพระเจ้า วันนี้เป็นผู้รับใช้พระองค์ คิดว่าควรนำเอาประสบการณ์ความรู้สึกต่อคริสตศาสนา ที่เคยเกิดขึ้นกับตนเอง อยู่ในความรู้สึกก่อนรับเชื่อพระเยซู คงให้แง่คิดแก่คริสตชนอื่นๆ สำหรับผู้ที่เกิดในครอบครัวผู้เชื่อพระเจ้า อาจไม่เคยมีประสบการณ์แบบเดียวกันนี้ จะได้ทราบว่าคนทั่วไปเขาคิดอย่างไรกับชาวคริสต์ เหมือนกับที่ผู้เขียนเคยประสบและได้รับคำวิจารณ์จากเพื่อนชาวไทยที่ไม่เชื่อพระเจ้ามาแล้ว
.
ผู้ฟังข่าวประเสริฐชาวไทยโดยทั่วไป ย่อมมีมุมมองต่อคริสตศาสนาแตกต่างจากที่คริสตชนคิด หลายครั้งที่เราเป็นพยานให้แก่คนทั่วไป บางคนยินดีรับฟัง บ้างก็แสดงอาการไม่สบายใจ บางคนไม่เข้าใจ มีคำถามในสิ่งที่สงสัย จึงเป็นหน้าที่ของเราแก้ไขความไม่เข้าใจเหล่านี้ ผู้เขียนจึงนำเอาข้อคิดบางประการ เพื่อช่วยให้พี่น้องคริสตชนได้นำไปพิจารณา เพื่อต่อยอดความคิดในการแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเยซูให้แก่พี่น้องชาวไทยต่อไป
.
ศาสนาคริสต์ ศาสนาฝรั่ง
คำที่เรามักได้ยินคนพูดถึงคริสตศาสนาว่าเป็นศาสนาของฝรั่ง มีความแตกต่างกับวิถีชีวิตของคนไทย วัฒนธรรมไทย คำกล่าวนี้เกิดจากการที่คนไทยทั่วไปมองภาพของผู้เผยแพร่คริสตศาสนาเข้ามาในประเทศในอดีต โดยมิชชันนารีชาวตะวันตก เราควรอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้ด้วยการชี้ให้เห็นว่า ศาสนาสำคัญของโลกกำเนิดขึ้นในเอเชียทั้งหมด ไม่มีศาสนาใดมาจากตะวันตก พุทธศาสนา ศาสนาฮินดู จากประเทศอินเดีย ศาสนาอิสลาม จากประเทศซาอุดิอารเบีย เป็นต้น คริสต-ศาสนาก็เช่นกัน กำเนิดขึ้นในประเทศอิสราเอล พระเยซูเป็นชาวเอเชียเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า และท่านนะบีมูมะหะหมัด
คำที่เรามักได้ยินคนพูดถึงคริสตศาสนาว่าเป็นศาสนาของฝรั่ง มีความแตกต่างกับวิถีชีวิตของคนไทย วัฒนธรรมไทย คำกล่าวนี้เกิดจากการที่คนไทยทั่วไปมองภาพของผู้เผยแพร่คริสตศาสนาเข้ามาในประเทศในอดีต โดยมิชชันนารีชาวตะวันตก เราควรอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้ด้วยการชี้ให้เห็นว่า ศาสนาสำคัญของโลกกำเนิดขึ้นในเอเชียทั้งหมด ไม่มีศาสนาใดมาจากตะวันตก พุทธศาสนา ศาสนาฮินดู จากประเทศอินเดีย ศาสนาอิสลาม จากประเทศซาอุดิอารเบีย เป็นต้น คริสต-ศาสนาก็เช่นกัน กำเนิดขึ้นในประเทศอิสราเอล พระเยซูเป็นชาวเอเชียเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า และท่านนะบีมูมะหะหมัด
.
ประเทศอิสราเอลอยู่ห่างจากประเทศไทย 6,917 ก.ม. ขณะที่ทวีปอเมริกาห่างจากไทย 12,000 ก.ม. กรุงโรมห่างจากประเทศไทย 8,800 ก.ม. กรุงลอนดอนห่างจากบ้านเรา 9,500 ก.ม. ดังนั้น ประเทศอิสราเอลจึงอยู่ใกล้ประเทศไทยมาก กรุงเดลลีประเทศอินเดียอยู่ห่างจากไทย 4,200 ก.ม. สถานที่กำเนิดคริสตศาสนาจึงอยู่ใกล้ประเทศของเรามากกว่าประเทศในยุโรปและอเมริกา ไม่ยากที่จะอธิบายให้เพื่อนคนไทยได้เห็นว่า เหตุที่ฝรั่งนำคริสตศาสนาเข้ามาเผยแพร่ เพราการประกาศข่าวประเสริฐเข้าไปในเอเชียน้อยและยุโรปก่อน เมื่อชาวตะวันตกยอมรับเชื่อคำสอนของพระเยซู จากนั้นจึงนำออกไปเผยแพร่ทั่วโลก คริสตศาสนาจึงไม่ใช่ศาสนาของฝรั่ง ดังที่เข้าใจ
.
อิทธิพลและวัฒนธรรมฝรั่ง
ทำไมคนไทยจึงมองคริสตศาสนาว่าเป็นศาสนาฝรั่ง นักเขียนชื่อ คาร์ล อี เบลนฟอร์ด กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สาเหตุมาจากการที่ชาวตะวันตกนำ คริสตศาสนาเข้ามาเผยแพร่ จึงถูกเรียกว่าเป็นศาสนาฝรั่ง การนำเอาวัฒนธรรม ความคิดและด้านอื่นๆ แบบตะวันตกเข้ามา ทำให้ชาวไทยมองเห็นคริสตชนไทยไปนับถือศาสนาฝรั่ง อีกทั้งอาคารโบสถ์คริสต์ มีลักษณะแบบตะวันตก อาจกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมในชุมชน รูปแบบการนมัสการ ดนตรีตะวันตกในโบสถ์ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไทยคิดว่า เป็นศาสนาฝรั่ง ซึ่งก็เป็นความจริง เนื่องจากเพลงนมัสการ (hymnal) ที่เราแปลออกมาเป็นภาษาไทย เวลาร้องการออกเสียงร้องตามทำนองฝรั่ง เป็นสิ่งแปลกสำหรับคนทั่วไป
ทำไมคนไทยจึงมองคริสตศาสนาว่าเป็นศาสนาฝรั่ง นักเขียนชื่อ คาร์ล อี เบลนฟอร์ด กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สาเหตุมาจากการที่ชาวตะวันตกนำ คริสตศาสนาเข้ามาเผยแพร่ จึงถูกเรียกว่าเป็นศาสนาฝรั่ง การนำเอาวัฒนธรรม ความคิดและด้านอื่นๆ แบบตะวันตกเข้ามา ทำให้ชาวไทยมองเห็นคริสตชนไทยไปนับถือศาสนาฝรั่ง อีกทั้งอาคารโบสถ์คริสต์ มีลักษณะแบบตะวันตก อาจกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมในชุมชน รูปแบบการนมัสการ ดนตรีตะวันตกในโบสถ์ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไทยคิดว่า เป็นศาสนาฝรั่ง ซึ่งก็เป็นความจริง เนื่องจากเพลงนมัสการ (hymnal) ที่เราแปลออกมาเป็นภาษาไทย เวลาร้องการออกเสียงร้องตามทำนองฝรั่ง เป็นสิ่งแปลกสำหรับคนทั่วไป
.
ดนตรีนมัสการยุคใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยม ใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้าเสียงดัง เสียงกลอง การร้องเพลง ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยที่คุ้นเคยกับศาสนาที่แสวงหาความสงัด สงบ ผ่อนคลาย เกิดความรู้สึกว่าโบสถ์คริสต์ ไม่ใช่สถานที่ตามรสนิยมของเขาก็เป็นได้ นอกจากนี้ การกลับใจมาเป็นคริสตชนแยกตัวจากศาสนาเดิม ไม่เข้าร่วมพิธีต่างๆ ที่ขัดแย้งกับความเชื่อใหม่ ทำให้คนมองศาสนาของเราว่าทำให้เกิดความแปลกแยกในครอบครัว
.
ภาพที่เราเห็นคนไทยเมื่อเข้าไปในศาสน-สถานเช่น วัด สุเหร่า ศาสนิกชนถอดรองเท้าเพื่อเป็นการแสดงความเคารพสถานที่ ขณะที่โบสถ์คริสต์ ใส่รองเท้าเข้าไปได้ เพราะเราได้วัฒนธรรมจากฝรั่ง ซึ่งมาจากประเทศที่มีอากาศหนาว หิมะตก จึงถอดรองเท้าไม่ได้ ผู้เขียนเคยไปเยี่ยมวัดที่ประเทศมองโกเลีย อากาศหนาว มีหิมะตก พระสงฆ์และฆราวาส ใส่รองเท้าเข้าไปในโบสถ์วิหารเหมือนกัน ส่วนประเทศในเอเชียตะวันออก เราไม่มีปัญหาเรื่องถอดรองเท้า จึงมีหลายคริสตจักรถอดรองเท้าเข้าโบสถ์ นับว่าเป็นภาพที่สวยงาม ประทับใจชาวไทยทั่วไป เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับเชิญไปแบ่งปันพระวจนะในโบสถ์ไทยในเมืองลอสแองเจลลิส พบว่า พี่น้องคนไทยและฝรั่งต่างถอดรองเท้าเข้านมัสการ เป็นภาพที่แปลกตามากสำหรับคนอเมริกันอยู่บ้าง แต่ทุกคนยินดีถอดรองเท้าเหมือนกันหมด
.
การใช้คำภาษาไทยในศาสนาคริสต์
คริสตชนคุ้นเคยกับศัพท์ที่เราใช้ซึ่งได้มาจากการอ่านพระคัมภีร์ เช่น ความบาป ความรัก ความรอด พระวิญญาณ พระเจ้า ฯลฯ คำเหล่านี้อาจสร้างความไม่เข้าใจได้ เช่นคำว่า “บาป” ในความหมายของคริสต์และพุทธ มีความแตกต่างกันในบางแง่มุม คนไทยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายของบาปในพระคัมภีร์ เมื่อเราเทศนาว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ผู้ฟังอาจไม่เข้าใจ เพราะสำหรับคนไทยทั่วไป บาปหมายถึงการประพฤติชั่ว หรือกระทำผิด เมื่อคริสตชนกล่าวถึงบาป คนไทยทั่วไปคิดว่าหมายถึงการถูกจองจำหรือเป็นคนละเมิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม คนที่ไม่ได้ทำผิดศีลห้า (รวมทั้งไม่ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร) จะรู้สึกว่า เรากล่าวหา ตำหนิต่อว่าเขาเป็นคนชั่ว
คริสตชนคุ้นเคยกับศัพท์ที่เราใช้ซึ่งได้มาจากการอ่านพระคัมภีร์ เช่น ความบาป ความรัก ความรอด พระวิญญาณ พระเจ้า ฯลฯ คำเหล่านี้อาจสร้างความไม่เข้าใจได้ เช่นคำว่า “บาป” ในความหมายของคริสต์และพุทธ มีความแตกต่างกันในบางแง่มุม คนไทยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายของบาปในพระคัมภีร์ เมื่อเราเทศนาว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ผู้ฟังอาจไม่เข้าใจ เพราะสำหรับคนไทยทั่วไป บาปหมายถึงการประพฤติชั่ว หรือกระทำผิด เมื่อคริสตชนกล่าวถึงบาป คนไทยทั่วไปคิดว่าหมายถึงการถูกจองจำหรือเป็นคนละเมิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม คนที่ไม่ได้ทำผิดศีลห้า (รวมทั้งไม่ฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร) จะรู้สึกว่า เรากล่าวหา ตำหนิต่อว่าเขาเป็นคนชั่ว
.
ในความเชื่อของคริสตศาสนา “เพราะว่าทุกคนทำบาป” มีความหมายสองนัย นัยแรก หมายถึงบาปกำเนิด นัยที่สองหมายถึงบาปจากการละเมิด ทั้งสองบาปเกิดจากความไม่เชื่อฟังพระเจ้า เมื่อมนุษย์ตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ผู้เป็นเจ้าแห่งชีวิต ผลที่เกิดขึ้นคือ ความตาย เมื่อคริสตชน กล่าวอย่างนี้จึงถูกต้อง มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป (กำเนิด) ในขณะคนไทยไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาเชื่อว่า เมื่อเด็กเกิดมา เขาเป็น “ผ้าขาว” กระทั่งเติบโตจึงทำผิด ละเมิดศีล คนไทยเชื่อว่าคนเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ดังนั้น ชีวิตจึงไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า เขาจะบาปได้อย่างไร นิยามของความบาปตาม พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่า “รู้ว่าดีแต่ไม่ทำ” ก็ถือว่าได้ทำบาปแล้ว “คนที่รู้ว่าอะไรเป็นความดีที่ต้องทำ แต่ไม่ได้ทำ คนนั้นจึงมีบาป” (ยก. 4:17)
.
ด้วยเหตุผลนี้ เมื่อคริสตชนกล่าวถึงการเป็นคนบาปของคนทั่วไปที่ไม่เชื่อพระเจ้า จำเป็นต้องคิดถึงความรู้สึก ความเข้าใจและโลกทัศน์ของคนเหล่านั้นด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกในด้านลบ ถึงแม้ถูกต้องตามคำสอนของพระคัมภีร์ คริสตชนจึงควรอธิบายให้กระจ่าง ความรู้สึกดีจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ถือโอกาสแบ่งปันแผนการของพระเจ้าเพื่อชีวิตของเขา และการไถ่บาปของพระเยซูที่สามารถลบล้างบาปกรรมทุกอย่างที่เขากลัว พระองค์ลบล้างได้ ไม่ต้องกลัวเจ้ากรรมนายเวรจะมารบ กวน ให้เขารับเอาพระเยซูเพื่อปลดเปลื้องความวิตกทุกข์ร้อน
.
คนหนึ่งคนช่วยคนทั้งโลกได้อย่างไร? เป็นอีกคำกล่าวหนึ่งที่เรามักได้ยินเสมอ เราสามารถชี้ให้เห็นว่า เพราะบาปของคนๆ เดียว ทำให้คนทั้งโลกต้องตาย ด้วยเหตุนี้ ความชอบธรรมของคนๆ เดียว จึงสามารถช่วยคนทั้งโลกได้ ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “คนจำนวนมากต้องตายเพราะการละเมิดของคนๆ เดียว มากยิ่งกว่านั้น พระคุณของพระเจ้าและของประทานโดยพระคุณของพระองค์ผู้เดียวนั้น คือพระเยซูคริสต์ ก็มีบริบูรณ์แก่คนจำนวนมาก” (รม. 15:15) ดังตัวอย่างของนายเจมส์ แฮริสัน ชาวออสเตรเลียผู้ทำสถิติโลกของการบริจาคเลือด เมื่ออายุ 13 ปี เขาได้รับการผ่าตัดใหญ่และต้องให้เลือด 3 ลิตร หลังจากนั้น เขาจึงรู้ว่าการบริจาคเลือดได้ช่วยชีวิตเขาไว้ หลังจากที่เขาเริ่มบริจาคเลือด ได้ค้นพบว่าเลือดของเขามีสารที่แปลกซึ่งสามารถช่วยทารกไม่ให้ตายจากโรครีซัส เลือดที่มีความผิดปกติซึ่งเลือดบวกของแม่จะไม่ถูกกับเลือดกรุ๊ปลบของลูกในครรภ์ตนเอง โรครีซัส จะมีผลทำให้แท้งลูกหรือเด็กตายในท้องและบางครั้งทำให้เด็กเกิดใหม่สมองเสียหาย
.
นายแฮริสันถูกขอร้องให้รับการตรวจหลายครั้งเพื่อทำการผลิตวัคซีนสำหรับโรคนี้ หลังจากนั้นแอนตี้ดีวัคซีน (Vaccine Anti-D) ก็ได้ผลิตขึ้นจากเลือดของเขา ให้กับผู้หญิงหลายพันคน เลือดของเขาได้ช่วยชีวิตเด็กทารกประมาณ 2.2 ล้านคน จากเลือดของเขาคนเดียว พระโลหิตของพระเยซู ผู้ทรงเป็นพระเจ้าจึงชำระบาปคนทั้งโลกได้
.
“ความรัก” เป็นอีกคำที่คริสตชนกล่าวถึงเสมอ เพราะคริสตศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรัก พระเจ้าทรงเป็นความรัก ด้วยเหตุนี้ คำว่า “รัก” จึงเป็นคำศัพท์ที่เราพูดถึงมากที่สุด เราเข้าใจความหมายความรักตามพระธรรมโครินธ์ บทที่ 13 อย่างไรก็ตาม ในความเข้าใจของคนไทยทั่วไป เมื่อพูดถึงความรัก ก็มักมีความรู้สึกว่า ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีโศก ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีภัย (ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์) อาจเป็นไปได้หรือไม่ที่การกล่าวว่า “พระเจ้ารักคุณ” เขาอาจตีความในทางตรงกันข้ามกับความเข้าใจของเรา? แต่ปัจจุบันคนไทยเริ่มใช้คำว่า “รัก” ในวงกว้างมากขึ้น
.
นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์ที่คริสตชนนิยมใช้ ซึ่งคนไทยทั่วไปไม่เข้าใจความหมาย ซึ่งควรอธิบายให้เป็นที่เข้าใจ เช่น ความรอด คนไทยรู้จักคำว่า “หลุดพ้น” คำว่า “ความเชื่อ” เพียงเชื่อพระเยซูก็พ้นบาป ขณะที่คนไทยเชื่อเรื่องการทำบุญ การถือศีลวิปัสนา เป็นการสร้างบุญบารมี ต่างจากความ “เชื่อ” การไถ่บาปของพระเยซู และอีกหลายคำที่ควรได้รับคำอธิบายที่ถูกต้อง ตามคำสอนของพระคัมภีร์ บอกให้เราทราบว่าไม่มีการดีใดสามารถลบล้างบาปได้ ดังนั้นการทำบุญก็ไม่ได้ทำให้หลุดพ้น การทำดีไม่สามารถลบล้างความบาปได้
.
การถวายสัตวบูชา
อีกประเด็นที่ศาสนนิกชนของศาสนาอื่น เมื่อได้อ่านหรือได้ยินคริสตชนเล่าเรื่องการถวาย สัตวบูชาในพันธสัญญาเดิมซึ่งชี้ไปที่การเป็นลูกแกะที่ต้องถูกฆ่าของพระเยซู ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน บางคนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฆ่าสัตว์บูชา (คนไทยมักเรียก “บูชายันต์”) สัตว์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบาปของมนุษย์ ทำไมต้องตายแทนมนุษย์ ในความคิดของคนไทยทั่วไปยากที่จะรับได้ บางคนอาจเปรียบเทียบกับเทศกาลกาธิมัย ในประเทศเนปาล ซึ่งมีการฆ่าสัตว์เป็นเครื่องบูชานับหมื่นนับแสนตัว เพื่อให้เป็นที่พอใจของเจ้าแม่กาธิมัย ยิ่งสร้าง ความไม่เข้าใจมากขึ้น ให้เห็นว่าเป้าหมายและวัตถุประสงค์การถวายสัตวบูชาในพระคัมภีร์ต่างกันกับการฆ่าสัตว์บูชาในศาสนาอื่น
.
เราสามารถอธิบายเหตุผลดังนี้ พระเจ้าทรงกำหนดให้มีการถวายสัตวบูชาในพันธสัญญาเดิม เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรุนแรง ความน่าเกลียดน่ากลัวของบาป ซึ่งเป็นผลของการกบฏต่อสู้พระเจ้า ความตายที่บาปนำมาสู่มนุษย์นั้น จะต้องได้รับการชำระ ชีวิตไถ่ชีวิต ชีวิตสัตว์เป็นตัวแทนของพระเมสสิยาห์ พระผู้ไถ่องค์จริงผู้จะมาเป็นเครื่องบูชาแท้ ไม่มีชีวิตใดที่พระเจ้ายอมรับเป็นผู้ไถ่มนุษย์ได้ นอกจากพระเจ้าเสด็จมาไถ่ด้วยพระองค์เอง “เลือดวัวผู้และเลือดแพะไม่มีทางชำระบาปให้หมดสิ้นไปได้เลย” (ฮบ. 10:4) ด้วยเหตุผลนี้ พระเยซูจึงยอมสละชีวิต “ประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาที่ทรงโปรดปรานแด่พระเจ้า” (อฟ. 5:2) การถวาย สัตวบูชาในพันธสัญญาเดิม จึงเป็นสัญลักษณ์แทนความตายของพระคริสต์เท่านั้น กระทั่งพระองค์เสด็จมาสิ้นพระชนม์ ที่จะเกิดขึ้นตามที่บันทึกไว้ในพระกิตติคุณ
.
ในพันธสัญญาเดิม จำเป็นต้องมีการหลั่งเลือด เลวีนิติ 17:11 กล่าวว่า “เพราะว่าชีวิตของสัตว์ทุกตัวอยู่ในเลือด เราได้ให้เลือดแก่เจ้าทั้งหลายเพื่อใช้บนแท่นบูชา เพื่อจะลบมลทินของเจ้าทั้งหลาย เพราะว่าโลหิตเป็นสิ่งที่ใช้ลบมลทิน เพราะชีวิตเป็นเหตุ” การลบมลทินคือการชำระ ยกบาปออกไป ดังนั้น การถวายสัตวบูชา ซึ่งกระทำเพียงชั่วคราวเพื่อ “ชำระ” บาปของประชาชน ยกเลิกไปแล้วกว่าสองพันปี เมื่อพระเยซู ลูกแกะของพระเจ้าสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อลบมลทินบาปของมนุษย์
.
พระเจ้าทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ ทรงพิโรธต่อคนบาป ผลของความบาปคือ ความตาย มนุษย์จึงไม่มีทางหลุดพ้นจากความตาย แต่ด้วยพระเมตตา พระองค์จึงให้สัตว์มาเป็นสัญลักษณ์การไถ่ “ลบล้างบาปของคนนั้นซึ่งเขาได้ทำ และเขาจะได้รับการอภัย” (ลนต. 4:35, 5:10) ข้อกำหนดของพระเจ้าเกี่ยวกับบาปก็คือ “ทุกสิ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ด้วยเลือด และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการยกโทษบาปเลย” (ฮบ. 9:22) พระกายและพระโลหิตของพระเยซู การมาสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เป็นการหยุดยั้งการฆ่าสัตว์เพื่อการบูชาตลอดไป “เมื่อพระคริสต์ทรงถวายเครื่องบูชาเพื่อลบบาป เพียงครั้งเดียวสำหรับตลอดไป…” (ฮบ. 10:12)
.
พระเจ้าองค์พระผู้สร้าง ทรงสามารถทำให้ชีวิตที่สูญไปกลับคืนมาได้ สักวันหนึ่ง พระองค์จะทำให้ทุกสิ่งที่สูญเสียไป ชีวิตที่ดับสูญไปกลับสู่สภาพเดิม ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ วันนี้เราอาจไม่เข้าใจ สักวันหนึ่งทุกสิ่งจะเปิดเผย ดังที่ท่านเปาโลกล่าวว่า “เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้ง” (1 คร. 13:12)
.
เชื่อมโยงสาระในพระคัมภีร์กับประวัติศาสตร์
เป็นธรรมดาของคนเรา เมื่อมีใครเล่าเรื่องใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา บ้านเมืองของเรา ย่อมไม่มีความสนใจ การเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ก็เช่นกัน หลายคนอาจไม่สนใจ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเชื่อของเขา คริสตชน จึงควรโยงให้เหตุการณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์เข้ามาใกล้ผู้ฟังให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นิมิตเกี่ยวกับอาณาจักรต่างๆ ของโลกในดาเนียลบทที่ 2 เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั้งโลก เกี่ยวข้องกับคนไทยด้วย เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลง ย่อมมีผล กระทบกับประเทศไทยเช่นกัน
เป็นธรรมดาของคนเรา เมื่อมีใครเล่าเรื่องใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา บ้านเมืองของเรา ย่อมไม่มีความสนใจ การเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ก็เช่นกัน หลายคนอาจไม่สนใจ เพราะไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเชื่อของเขา คริสตชน จึงควรโยงให้เหตุการณ์ต่างๆ ในพระคัมภีร์เข้ามาใกล้ผู้ฟังให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นิมิตเกี่ยวกับอาณาจักรต่างๆ ของโลกในดาเนียลบทที่ 2 เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั้งโลก เกี่ยวข้องกับคนไทยด้วย เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลง ย่อมมีผล กระทบกับประเทศไทยเช่นกัน
.
ผู้เผยพระวจนะดาเนียลได้รับนิมิตเมื่อประมาณ 2500 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับสมัยพุทธกาล ในชมภูทวีปมีมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ถือกำเนิด ในดินแดนบาบิโลนก็มีบุรุษผู้เปิดเผยประวัติศาสตร์ความเป็นไปของโลกตั้งแต่ยุคของท่าน ไปจนถึงวาระสุดท้ายของโลก เรื่องราวทั้งสองนี้สามารถนำมาโยงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระคัมภีร์ และแผนการของพระเจ้าเพื่อโลก จะสร้างความสนใจให้แก่ผู้ฟังจะติดตามศึกษามากขึ้น
.
คนไทยเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ไม่เชื่อการสร้างโลกของพระเจ้า คริสตชนพิสูจน์ให้เห็นโดยยกตัวอย่างของสัปดาห์ที่คนทั่วโลกยึดถือเหมือนกัน ไม่มีประเทศไหนในโลกที่สัปดาห์หนึ่งมีมากหรือน้อยกว่าเจ็ดวัน เรามีวันหยุดวันเสาร์และวันอาทิตย์เหมือนกันทั่วโลก การปฏิบัตินี้ได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อการทรงสร้างของพระเจ้า ซึ่งถือปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณกาล การกำหนดเดือน วัน ปี ดังที่กล่าวไว้ในพระธรรมปฐมกาล 1:14 ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
.
อิสราเอล พยานที่มีชีวิต
หลายครั้งที่ผู้เขียนเป็นพยานให้เพื่อนชาวไทย ให้เห็นว่าพระเจ้ามีจริง โดยการยกเอาประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลให้เขาได้เห็นว่า ชนชาติและอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของโลกนับตั้งแต่โบราณ เมโสโปเตเมีย อียิปต์ อัสซีเรีย มิโด-เปอร์เซีย กรีซและโรมัน ล้วนล่มสลายไปตามกาลเวลา เพราะอาณาจักรเหล่านี้สร้างจากมือมนุษย์ ไม่มีส่วนในแผนการแห่งความรอดเพื่อมวลมนุษย์ของพระเจ้า ขณะที่ชาวอิสราเอล ชนชาติเล็กๆ ที่เคยถูกรุกรานทำลายจากชาติที่อยู่รายล้อม และมหาอำนาจของโลกแต่ละยุค สามารถดำรงเผ่าพันธุ์ของตนได้มาจนถึงปัจจุบันได้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน นี่คือพยานที่มีชีวิต ที่ยังโลดแล่นอยู่ในโลกให้ประจักษ์แก่ตา เราสามารถยกมาเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงพระสัญญาของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ทรงตรัสว่า “แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา (พระเจ้า) และรักษาบัญญัติของเราจนถึงนับพันชั่วอายุคน” (อพย. 20:6)
.
แม้ว่าคนยิวไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างน้อยที่สุดชนชาตินี้ได้แสดงออกให้เห็นว่าพระเจ้ามีจริง พระองค์ทรงรักษาพระสัญญาที่ให้ไว้แก่บรรพบุรุษของคนยิว ความรอดนี้ได้มอบให้แก่คริสตชนคนต่างชาติทำหน้าที่ในการประกาศแก่ชาวโลกแทนคนยิว
.
พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์
คนไทยไม่คุ้นเคยกับคำสอนของคริสต-ศาสนาหลายเรื่อง เช่น การมาเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับความหมายกับคำว่า “อวตาร” ซึ่งหมายถึงการที่เทพเจ้าองค์ต่างๆ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูแบ่งภาคมาเกิดบนโลกมนุษย์ พระเยซูทรงแตกต่างจากการอวตาร พระองค์ทรง “ปราศจากบาป” (ฮบ. 4:15) ผู้ทรงสามารถชำระมนุษย์ให้ “ปราศจากบาปทั้งสิ้น” ได้ (1 ยน. 1:7) จุดประสงค์ของการมารับสภาพมนุษย์ของพระเยซู ไม่เหมือนกับการอวตาร เนื่องจากพระเยซู “ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์” (ฟป. 2:4) เพื่อแผนการไถ่มนุษย์เพื่อให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์
คนไทยไม่คุ้นเคยกับคำสอนของคริสต-ศาสนาหลายเรื่อง เช่น การมาเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับความหมายกับคำว่า “อวตาร” ซึ่งหมายถึงการที่เทพเจ้าองค์ต่างๆ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูแบ่งภาคมาเกิดบนโลกมนุษย์ พระเยซูทรงแตกต่างจากการอวตาร พระองค์ทรง “ปราศจากบาป” (ฮบ. 4:15) ผู้ทรงสามารถชำระมนุษย์ให้ “ปราศจากบาปทั้งสิ้น” ได้ (1 ยน. 1:7) จุดประสงค์ของการมารับสภาพมนุษย์ของพระเยซู ไม่เหมือนกับการอวตาร เนื่องจากพระเยซู “ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์” (ฟป. 2:4) เพื่อแผนการไถ่มนุษย์เพื่อให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์
.
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของการ “ถ่อมตัว” จากสถานะของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงพระชนม์เป็นนิตย์ เสด็จมารับสภาพมนุษย์ภายใต้ความบาป ในข้อจำกัดของมนุษย์ผู้ต้องตาย กระนั้นก็ตาม พระองค์หาได้ทำบาปไม่ “พระเจ้าทรงทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 คร. 5:21) การถ่อมตัวให้เข้ากับสภาพของโลกบาปของพระเยซู เพื่อช่วยคนบาป อัครทูตเปาโลปฏิบัติเช่นเดียวกัน เมื่อกล่าวว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นไทโดยไม่ได้อยู่ใต้ใคร ข้าพเจ้าก็ยังยอมเป็นทาสของทุกคน เพื่อจะได้คนมามากยิ่งขึ้น…ข้าพเจ้าทำทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น” (1 คร. 9:20-23)
.
พระคัมภีร์โบราณกับบริบทสังคมปัจจุบัน
พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากสภาพสังคมไทย ภาษา วัฒนธรรม วิถีปฏิบัติ ความเชื่อ สภาพแวดล้อม และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่เหมือนกันกับประเทศของเรา ดังนั้น การนำเอาคำสอน ข้อพระธรรมมาใช้ในชีวิตและสภาพสังคมไทย จึงต้องให้ความระมัดระวังในการตีความหมาย ควรศึกษาให้เข้าใจภูมิหลังการเขียน โดยยึดหลักการง่ายๆ ดังนี้ ใครเป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนั้น เขียนถึงใคร ด้วยวัตถุประสงค์ใด เขียนเมื่อไร และเราจะนำมาประยุกต์ใช้ในวันนี้ ในสภาพสังคมไทยปัจจุบันอย่างไร บางครั้งการยกข้อพระธรรมออกมาใช้โดยไม่ดูภาพรวมของบริบทหรือท้องเรื่องทั้งหมด อาจทำให้การตีความหมายไม่ถูกต้อง
พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากสภาพสังคมไทย ภาษา วัฒนธรรม วิถีปฏิบัติ ความเชื่อ สภาพแวดล้อม และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่เหมือนกันกับประเทศของเรา ดังนั้น การนำเอาคำสอน ข้อพระธรรมมาใช้ในชีวิตและสภาพสังคมไทย จึงต้องให้ความระมัดระวังในการตีความหมาย ควรศึกษาให้เข้าใจภูมิหลังการเขียน โดยยึดหลักการง่ายๆ ดังนี้ ใครเป็นผู้เขียนพระธรรมเล่มนั้น เขียนถึงใคร ด้วยวัตถุประสงค์ใด เขียนเมื่อไร และเราจะนำมาประยุกต์ใช้ในวันนี้ ในสภาพสังคมไทยปัจจุบันอย่างไร บางครั้งการยกข้อพระธรรมออกมาใช้โดยไม่ดูภาพรวมของบริบทหรือท้องเรื่องทั้งหมด อาจทำให้การตีความหมายไม่ถูกต้อง
.
ตัวอย่างเช่น การเข้าสู่ภวังค์ของอัครสาวก เปโตร (กจ. 10:9-33) พระเจ้าทรงใช้สัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งไม่สะอาดคนยิวไม่กินสัตว์เหล่านี้เป็นตัวอย่าง โดยสั่งให้เปโตร “จงลุกขึ้นฆ่ากิน” เขาปฏิเสธ พระเจ้าทรงตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นสิ่งไม่บริสุทธิ์” พระเจ้าทรงห้ามคนอิสราเอลไม่ให้กินสัตว์ไม่สะอาด (ลนต. 11) คำสั่งนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่ในกรณีของเปโตร พระเจ้าทรง “เปรียบเทียบ” สัตว์ไม่สะอาด พระเจ้าจึงทรงใช้เรื่องนี้มาเป็นภาพเพื่อสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อคนต่างชาติ ทำให้เปโตรมีใจพร้อมที่จะไปประกาศและยอมรับพวกเขามาเป็นพี่น้องในความเชื่อ
.
การตีความโดยอ้างนิมิตนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่า เรากินสัตว์ไม่สะอาดได้ จึงเป็นการตีความหมายโดยไม่คำนึงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของพระธรรม นำไปสู่ความเข้าใจผิด สิ่งไม่สะอาดในอดีต จะกลายเป็นสิ่งสะอาดในวันนี้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ การตีความหมายพระคัมภีร์จึงควรศึกษา ไตร่ตรอง ค้นคว้า หรือสอบถามผู้รู้ก่อนนำไปใช้
.
อีกข้อความในพระคัมภีร์ที่เรามักนำมาอ้างว่าอาหารทุกอย่างกินได้ ในมาระโก 7:2-23 เมื่อดูจากบริบทจะเห็นว่า ขณะนั้นพระเยซูทรงตรัสกับชาวยิว อาหารที่ทรงตรัสถึงนั้นหมายถึงอาหารของคนยิว การตีความแบบกว้างๆ ว่าหมายถึงอาหารของเราในวันนี้ ซึ่งไม่สะอาดตามหลักอาหารสะอาดของชาวยิว เป็นการเปิดช่องให้รับประทานอะไรก็ได้ แม้สิ่งนั้นไม่สะอาดตามพระคัมภีร์เช่น เลือดสัตว์ เป็นต้น ทั้งที่จุดมุ่งหมายของการสนทนานั้นเกี่ยวข้องกับความคิดชั่วร้าย ซึ่งพระวจนะในข้อที่ 28-29 ว่า “แล้วพวกเขาจะร้องเรียกข้า แต่ข้าจะไม่ตอบ พวกเขาจะแสวงหาข้า แต่จะไม่พบข้า เพราะว่าพวกเขาเกลียดความรู้ และไม่เลือกเอาความยำเกรงพระยาห์เวห์” ดังนั้นขอให้เราฝึกฝนลูกของเราเป็นเรือที่มั่นคงพร้อมเผชิญหน้ากับพายุในวันข้างหน้า ดีกว่าให้เขาโอ่อ่าด้วยลักษณะภายนอกที่ถูกเชิดชูไว้เกินความจริง
.
บทเรียนประการสุดท้าย “ในความรัก (ของพระเจ้า) ไม่มีความกลัว” ในสมัยยังเด็กนั้นผมเคยฝึกขี่จักรยานครั้งแรก ฝึกมาหลายวันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเก่งสักที จนกระทั่งวันที่ห้าผมล้มลงพร้อมจักรยาน ทั้งเจ็บแผล ทั้งอาย แต่เมื่อผมตัดสินใจที่จะลุกขึ้นทำแผลแล้วกลับมาฝึกขี่ต่อไป วันนั้นเองที่ผมขี่จักรยานได้ดียิ่งกว่าวันไหนๆ และสามารถควบคุมมันได้อย่างใจนึก พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 33 กล่าวว่า “แต่ผู้ที่ฟังข้า จะอยู่อย่างปลอดภัย และอยู่อย่างสงบสุข ไม่กลัวสิ่งร้ายใดๆ” ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากความทุกข์ หรือปราศจากปัญหา คริสเตียนที่มีความเชื่อดีก็อาจป่วยได้ หรือขัดสนได้ในบางคราวของชีวิตเหมือนกัน แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงยืนยันและมีพระสัญญาต่อผู้ที่เชื่อวางใจในพระองค์ทุกคนก็คือ เราจะไม่กลัวสิ่งร้ายใดๆ เราจะสงบใจ เพราะเราปลอดภัยอยู่ในร่มพระคุณของพระองค์ ปัญหาจะเกิดขึ้นกับเราแน่นอน มันอาจจะทำให้เราล้มลง มันอาจจะฝากบาดแผลและการล้มลุกคลุกคลานในชีวิตให้กับเราบ้าง แต่มันจะไม่มีวันขโมยความมั่นใจที่เรามีต่อพระเจ้าได้เลย พระเจ้าอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ของชีวิต หากเราเรียนรู้และอยู่กับพระองค์ในทุกๆ วัน พ่อแม่และผู้ปกครองที่รักทุกท่านครับ ความจริงก็คือเราไม่สามรารถจูงมือลูกหลานของเราไปตลอดชีวิตของเขาได้ แต่เราสามารถแนะนำเขาให้รู้จักองค์พระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์เองที่จะเป็นผู้จูงมือเขาผ่านทุกช่วงเวลาของชีวิตได้ แบบเดียวกับที่พวกเราผ่านมาเช่นกัน
.
ขอพระเจ้าทรงเมตตา พระคำของพระองค์ว่าปัญญาร้องเสียงดังอยู่ที่ถนน อย่าให้เสียงนั้นกลายเป็นเสียงที่เราไม่ได้ยิน หรือเพิกเฉยเลย พระเจ้าตักเตือนเราในข้อที่ 32 ว่า “เพราะการที่คนรู้น้อยหันเหจากทางที่ถูกต้องก็นำความพินาศมาสู่ตนเอง และการที่คนโง่หลงเพลิดเพลินก็ทำลายตนเอง” เราต้องการเลือกให้ลูกหลานของเรานำความพินาศมาสู่ตัวเขาเองจริงๆ หรือ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้วันที่เรายังสามารถมีอิทธิพลกับเขา มอบสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้กับเขา ให้เขาเป็นเรือใหญ่ที่พร้อมจะรับมือกับพายุร้ายในชีวิตวันข้างหน้า และสอนเขาให้มั่นคงในความเชื่อ เพราะความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จะขับไล่ความกลัวในจิตใจของเขาได้ ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้ลูกหลานของเราพบความสุขและความสำเร็จที่แท้จริง พระเจ้าอวยพรครับ
- ศาสนาจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ อินสม
- ภาพ Cookie_Studio – Freepik.com