เป็นคริสตชน “คนดี”ยังไม่พอ? 2/15

เป็นคริสตชน “คนดี”ยังไม่พอ?

“มีคริสตจักรจํานวนมากถึง 9 ใน 10 ที่จําเป็นต้องมีการฟื้นฟูครั้งใหญ่ มีคริสตจักรที่ต้องทําอย่างนี้จํานวนนับหมื่นๆ แห่ง และจําเป็นต้องเสริมกําลังแก่ผู้นําทั้งหลายอีกนับไม่ถ้วนที่ต้องได้รับการเสริมเครื่องมือและความสามารถในการทํางาน” เป็นคํากล่าวของ ทอม เอส เรนเนอร์ ประธานและผู้บริหารสูงสุดของ ไลฟ์เวย์ คริสเตียน รีซอร์ส ผู้ผลิตวรรณกรรมคริสตชน พระคัมภีร์และแหล่งอุปกรณ์เพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ คํากล่าวนี้มีนัยสําคัญอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันมีคริสตชนหลายพันล้านคน แต่ทําไมเรายังขาดคริสตชนที่เข้าถึงแผนงานสูงสุดของพระเจ้า?

ในหนังสือ “ให้ชาวประเทศทั้งหลายยินดี” ของจอห์น ไพเพอร์ (Let the Nations be Glad! John Piper) สรุปหน้าที่ของคริสตชนว่า “ประเด็นสําคัญที่สุดในการทําพันธกิจ คือ การที่พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในการดํารงอยู่ของคริสตจักร พร้อมด้วยข่าวสารที่ดังอยู่ในความคิดเสมอก็คือ ‘เพราะพระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่ และสมควรรับการสรรเสริญอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเป็นที่เกรงกลัวเหนือพระทั้งปวง’” (สดุดี 96:4) เขาสรุปไว้อย่างน่าคิดว่า เป้าหมายสูงสุดของคริสตจักรไม่ใช่การประกาศข่าวประเสริฐ แต่เป็นการนมัสการ เมื่อยุคนี้ผ่านพ้นไป ประชากรนับหลายล้านคนที่รอดแล้วจะคุกเข่าลงกราบนมัสการต่อพระที่นั่งของพระเจ้า เมื่อนั้นการประกาศข่าวประเสริฐก็สิ้นสุดลง เป้าหมายสูงสุดและเป้าหมายแรกของเราไม่ใช่การทําพันธกิจ แต่อยู่ที่การยกชูพระเจ้า “เพราะพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเป็นที่เกรงกลัวเหนือพระทั้งปวง” (สดุดี 96:4) เมื่อคนทั้งหลายมารู้จักพระเจ้า สรรเสริญพระองค์ เท่ากับเขาออกจากอํานาจครอบงําของซาตาน ได้รับความรอดจากบาป การประกาศข่าวประเสริฐจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อนั้นทุกคนจะรู้สึกเหมือนเปาโลที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและชาติอื่นๆ ด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนที่ไม่มีการศึกษาด้วย ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายที่จะประกาศข่าวประเสริฐ” (โรม 1:14-15) พันธะของเปาโลก็คือ พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเขามีพันธะจะต้องประกาศให้แก่คนทั้งโลก เปาโลทําตามพันธะนั้นด้วยการประกาศความรอดของพระคริสต์แก่มนุษย์ทั้งหมด ทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติ ก้าวข้ามวัฒนธรรม สังคม เชื้อชาติและสถานะทางเศรษฐกิจ “หนี้” ของเปาโลและของเราก็คือ พระโลหิตไถ่ หากไม่ประกาศก็เท่ากับเรา “เป็นหนี้” คนเหล่านั้น นี่คือเป้าหมายสูงสุดที่พระเจ้าประสงค์จะเห็นจากทุกคนที่ได้รับความรอด ดังคํากล่าวที่ว่า “คิดอย่างสากล ทําพันธกิจอย่างสากล” (Think Globally, Act Globally) คือการคิดถึงคนทั้งโลก และมุ่งประกาศข่าวดีแก่คนทั้งโลก

การศึกษาชีวิตของผู้รับใช้ในพระคัมภีร์ ช่วยให้เราเข้าใจถึงเป้าหมายสูงสุดที่พระเจ้าทรงมีต่อบรรดาผู้รับใช้ในการทําให้พระประสงค์ของพระองค์สําเร็จ ตัวอย่างของบุคคลที่พระเจ้าทรงเรียก เริ่มแรกเขามีคุณสมบัติของความเป็น “คนดี” เชื่อฟังพระองค์ แต่ทว่า คนเหล่านั้นยังไม่พร้อมสําหรับการรับใช้ขั้นสูงสุด กระทั่งได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า จากนั้น เขาจึงทําหน้าที่ได้อย่างเต็มศักยภาพ นําเอาพระนามของพระยาห์เวห์ให้เป็นที่รู้จักแก่คนทั้งโลก ไม่เฉพาะครอบครัวของเขา ชนชาติของเขาเท่านั้น แต่มุ่งไปสู่คนทั้งโลก

อับราฮัม
หลังจากยุคน้ําท่วมโลก บุคคลที่โดดเด่นในความเชื่อพระเจ้าคือ อับราฮัม ผู้ได้ชื่อว่า “บิดาแห่งความเชื่อ” (ชื่อของท่านหมายถึง “บิดาแห่งมวลชน”) ถึงกระนั้นก็ตาม อับราฮัม เคยทําผิดหลายครั้ง โกหก อ้างว่าซารายเป็นน้องสาวของตน (ปฐก. 12:10-20; 20:1-18) พระเจ้าทรงช่วยเหลือท่านให้พ้นจากปัญหาทั้งสองครั้ง อับราฮัมรับนางฮาการ์มาเป็นภรรยา เพราะคิดว่าซาราห์แก่เกินกว่าจะมีลูก (ปฐก. 16) ในที่สุด อับราฮัมได้พิสูจน์ความเป็นผู้เชื่อแท้ ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า เมื่อท่านถวายบุตรคนเดียวเป็นเครื่องบูชา (ปฐก. 20) บิดาแห่งความเชื่อได้ก้าวไปสู่ผู้รับใช้ที่สมบูรณ์แบบ ในการร่วมกับพระเจ้าเพื่อนําความรอดไปสู่มนุษยชาติผ่านทางเชื้อสายของเขา

ยาโคบ
ชื่อนี้มีความหมายว่า “เขาหลอก” (หรือ “ผู้แย่งตําแหน่ง”) สมกับนิสัยของยาโคบ เขาหลอกล่อเอาสิทธิบุตรหัวปีจากพี่ชาย (ปฐก. 25:27-34) หลอกเอาพรของพี่จากพ่อ (ปฐก. 27) ต้องหนีความผิด ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม่อีกเลย ระหว่างเดินทางยาโคบได้พบกับพระเจ้าและได้ฝันเห็นบันไดเชื่อมสวรรค์และโลก ทําให้รู้ว่าพระเจ้าทรงเฝ้าดูแลเขาตลอดเวลา (ข้อ 16) แต่ยาโคบก็ยังทําผิดด้วยการโกหกลาบันผู้เป็นลุงและพ่อตาของตนเอง จนต้องหนีกลับไปหาบิดา และระหว่างทางเขาได้รับประสบการณ์กับพระเจ้าอีกครั้ง เมื่อปล้ําสู้กับพระองค์ (ปฐก. 32:22-32) ยาโคบผู้ได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ได้ชื่อใหม่ว่า “อิสราเอล” เขาพร้อมเผชิญหน้ากับพี่ชาย และสร้างครอบครัวใหญ่เพื่อเป็นชาติอิสราเอล เพื่อนําความรอดไปสู่มนุษยชาติ

โยเซฟ
ชื่อของเขาแปลว่า “พระยาห์เวห์ทรงเพิ่มพูน” ชีวิตของโยเซฟเป็นดังชื่อของเขา เป็นลูกที่พ่อรักมาก เขาจึงเป็นลูกแหง่ “เอาความผิดของพวกพี่ชายมาเล่าให้บิดาฟัง” เสมอ (ปฐก. 37:2) พระเจ้าจึงไม่สามารถใช้เขาทําการใหญ่ได้ กระทั่งหลังจากพระองค์ทรงนําโยเซฟผ่านประสบการณ์ชีวิตการเป็นทาส เขาได้ฉายภาพความเป็นคนดี ซื่อสัตย์และเชื่อมั่นในพระเจ้า ยอมทนทุกข์เพื่อพระองค์ แม้เกือบต้องแลกด้วยชีวิต ในที่สุด เขาจึงได้รับการยกขึ้นให้เป็นผู้นําของชาติมหาอํานาจของโลกยุคนั้น เป็น “ผู้ช่วยให้รอด” แก่ชาวอียิปต์และประเทศใกล้เคียง เป็นผู้มีส่วนสําคัญในการสร้างอิสราเอลให้เป็นชาติใหญ่ เพื่อเตรียมการไว้สําหรับเป็นชนชาติปุโรหิตต่อไป

โมเสส
ชื่ออของเขามีความหมายว่า “ผู้ช่วย” และอีกความหมายหนึ่ง “ฉุดขึ้นมาจากน้ํา” จากเด็กฮีบรูที่ควรถูกกําจัด เขากลายเป็นเจ้าชายในราชวังอียิปต์ “โมเสสจึงได้รับการสอนในเรื่องวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์ มีสมรรถภาพในการพูดและในกิจการต่างๆ” (กจ. 7:22) มีความรู้ มีจิตใจแน่วแน่ในการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ แต่พระเจ้าใช้เขาทําการใหญ่ไม่ได้ จนกว่าจะเปลี่ยนแปลงโมเสส เมื่อเห็นคนอียิปต์ทุบตีชาวฮีบรู โมเสสคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องปลดปล่อยชนชาตินี้ แต่เขาคาดการณ์ผิด จึงต้องหนีออกจากอียิปต์ โมเสสคิดว่าตัวเองเป็นผู้ช่วยให้รอดแต่กลับเอาชีวิตตัวเองแทบจะไม่รอด จากคนที่ “มีสมรรถภาพในการพูด” โมเสส กลับทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ไม่ใช่นักพูด ทั้งในอดีต และตั้งแต่เมื่อพระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่อง” (อพย. 4:10) เขาต้องผ่านชั้นเรียนของพระเจ้าในทุ่งเลี้ยงสัตว์ 40 ปี ถอดชุดเจ้าชายสวมชุดคนเลี้ยงแกะ ถ่อมตัวต่อพระเจ้าและมนุษย์ ในที่สุด “โมเสสเป็นคนถ่อมใจยิ่งกว่าคนทั้งหมดบนพื้นแผ่นดิน” (กดว. 12:3) โมเสสได้ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงของพระเจ้าอย่างยาวนาน มีผลของพระวิญญาณครบถ้วน จึงเป็นผู้นําที่ยิ่งใหญ่ นําอิสราเอลไปสู่ความเป็นชาติ เตรียมความพร้อมเพื่อการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอด

เปโตร
สาวกผู้ใกล้ชิดพระเยซูมากที่สุด เปโตร ยอห์น และยากอบ หากทั้งสามคนทํางานกับผู้บริหารระดับสูงในยุคปัจจุบันถือว่าพวกเขาอยู่ “วงใน” ที่ใกล้ชิดศูนย์อํานาจมากที่สุด พระเยซูทรงเรียกสาวกสามคนในภารกิจส่วนพระองค์หลายครั้ง (มธ. 17:1, มก. 1:29, 5:37, 13:3 ลก. 8:51) ความใกล้ชิดสนิทจนแม้แต่กลิ่นพระกายของพระองค์เปโตรคงจําได้ เขาจึงตอบสนองพระเยซูได้ทันทีทันใดเสมอ แต่ถึงกระนั้น เปโตรก็ยังไม่พร้อมสําหรับกิจการใหญ่ที่พระเจ้ากําลังจะกระทําเพื่อชาวโลก เขาเป็นคนดี มีน้ําใจ ให้พระเยซูยืมเรือเพื่อใช้เป็นที่ประทับสั่งสอนประชาชน เปโตรเชื่อพระเยซู เมื่อเขาจับปลาทั้งคืนไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว หลังจากเทศนาเสร็จแล้วพระเยซูทรงบอกให้เขาถอยเรือและหย่อนอวน เปโตรชาวประมงผู้เชี่ยวชาญการหาปลา เชื่อพระเยซูผู้มีอาชีพช่างไม้บอกวิธีหาปลา ไม่โต้แย้งใดๆ เพียงแต่พูดว่า “อาจารย์ เราทอดอวนมาตลอดทั้งคืนแล้วไม่ได้อะไรเลย แต่ข้าพเจ้าก็จะหย่อนอวนลงตามคําของท่าน” (ลก. 5:1-11) แต่เปโตรยังไม่พร้อมอยู่ดี พระเยซูไม่เพียงต้องการคริสตชน “คนดี” เท่านั้น พระองค์ทรงต้องการคริสตชนที่ได้รับ “การเปลี่ยนแปลง” ทว่า เปโตรกลับหารู้ตัวไม่ว่าตัวเขายังไม่พร้อมสําหรับการใหญ่ พระเยซูจึงเตือนเขาและสาวกคนอื่นๆ ว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย นี่แน่ะ ซาตานขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี แต่เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และเมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกําลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน” พระเยซูทรงหยั่งรู้อนาคตว่าซาตานจะทําลายสาวกของพระองค์ เหมือนกับที่มันกระทําต่อพระองค์ จึงทรงห่วงใยพวกเขา วันนี้ พระองค์ทรงห่วงใยเราด้วยเช่นเดียวกัน ขอบพระคุณที่พระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อเราเสมอ

เหตุการณ์ครั้งสําคัญที่ทําให้เปโตรเปลี่ยน แปลงอย่างสิ้นเชิง เกิดขึ้นในคืนที่เขาปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซูสามครั้ง เราเห็นความอ่อนแอของเปโตร เพียงถูกหญิงคนใช้ที่ต่ำต้อยสองคนทัก เขากลับหวั่นไหวราวกับถูกผู้มีอํานาจข่มขู่ เมื่อพวกเธอถามว่า “เจ้าก็อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย” “คนนี้เคยอยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ” คนที่อยู่บริเวณนั้นย้ําอีกว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่ๆ เพราะว่าสําเนียงของเจ้าส่อตัวเอง” เปโตรปฏิเสธทั้งสามครั้งว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” สาวกที่ใกล้ชิดที่สุดเอาตัวรอดด้วยการกล่าวถึงพระอาจารย์ที่เขายกย่องว่า “คนนั้น” อย่างไม่กระดากปาก แต่เมื่อสํานึกได้ “เปโตรจึงระลึกถึงคําที่พระเยซูตรัสไว้ว่า ‘ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง’ แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์อย่างมาก” พระคัมภีร์ฉบับแปลอื่นใช้คําว่า “ร้องไห้อย่างขมขื่น” (มธ. 26:31-33, 69-75)

หลังจากประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ทําให้เปโตรพร้อมสําหรับภารกิจสําคัญสูงสุด พระเยซูทรงเตือนเขาอีก “3” ครั้งว่า “ท่านรักเราหรือ” เมื่อทรงตรัสครั้งที่สาม “เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สาม” (ยน.21:15-19) เราเห็นความรู้สึกสํานึกต่อความผิดของเปโตร นําเขาไปสู่การกลับใจใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด คริสตชนควรเข้าใจหลักการนี้ เพราะการ “สารภาพบาป” (confession) จะไม่เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าหากผู้นั้นไม่ “กลับใจใหม่” (repentance) นําไป สู่การ “กลับตัว ปฏิรูปใหม่” (reformation) อันจะส่งผลก่อให้เกิดการ “เปลี่ยนแปลงใหม่” (transforma-tion) เมื่อครบถ้วนทุกขั้นตอน ผู้นั้นจะเป็นคน “ดีพร้อม” เพื่อพระเจ้าจะทรงใช้ทําการใหญ่อย่างเต็มศักยภาพ ดังที่พระเยซูทรงตั้งมาตรฐานไว้ “เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” (มธ.5:48) เมื่อใดก็ตามที่คริสตชน “เป็นคนที่สมบูรณ์และดีพร้อม โดยไม่ขาดสิ่งใดเลย” (ยก.1:4) เมื่อนั้นเขาจะพร้อมที่จะเผชิญได้ทุกสิ่ง เฉกเช่นเปโตร หลังการเปลี่ยนแปลงใหม่ เขาทําหน้าที่แทนพระเยซูได้อย่างไม่บกพร่อง (กจ.2-4) โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นําคนมารับเชื่อวันละหลายพันคน เปลี่ยนจาก “คนนี้เคยอยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ” (มธ. 26:71) แต่ปฏิเสธพระองค์ เป็นอีกคนหนึ่ง ที่คนทั้งหลายต่างประหลาดใจ “เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็อัศจรรย์ใจ แล้วจําได้ว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” (กจ.4:13) ประสบการณ์การ “เคยอยู่” กับพระเยซูนี้มีนัยสําคัญอย่างยิ่งสําหรับคริสตชนทุกยุคสมัย ให้เราทั้งหลายเห็นความเป็นสาวกแท้ ไม่เป็นเพียงคริสตชน “คนดี” เท่านั้น แต่เป็นคริสตชนที่ได้รับการ “เปลี่ยนแปลงใหม่” เพื่อนําเอาพระสิริของพระเจ้าไปสู่ชาวโลก

เปาโล
ชายผู้มาจากตระกูลที่ดี มีการศึกษาสูง เคร่งครัดศาสนา เป็น “คนดี” ในสายตาของประชาชน (ฟป. 3:3-5 กจ. 26:5, 23:6) แต่พระเจ้าใช้เขาทํางานไม่ได้ จนกระทั่งได้พบกับพระเยซูบน ถนนไปเมืองดามัสกัส (กจ.9:1-19) ใช้เวลาอยู่ในอาระเบีย 3 ปี (กท.1:17-18) เรียนรู้และเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อชาวโลก เปาโลจึงเป็นผู้นําข่าวประเสริฐไปสู่ชาวโลก ความรอดกลายเป็นสากล สมดังพระประสงค์แห่งแผนงานสูงสุดของพระเจ้า

คริสตชนในปัจจุบันมีภารกิจเช่นเดียวกับบรรพชนแห่งความเชื่อในพระคัมภีร์ สําหรับเราที่เป็นชาวเอเชียมีภาระหนัก ประชากรในทวีปเอเชียกว่า 4.4 พันล้านคน มีผู้รับเชื่อพระเยซูเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น พระเจ้ากําลังรอคริสตชนชาวเอเชียในการนําข่าวประเสริฐไปสู่คนเอเชียด้วยกัน ให้เราเริ่มต้นที่ประเทศไทย จากนั้นออกไปสู่สากล สนับสนุนพันธกิจทั่วโลก ท่านพร้อมหรือยังโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ นําคนทั้งหลายมาสู่พระสิริของพระองค์?

ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย

  • ประชากร 67 ล้านคน
  • จํานวนกลุ่มชน 115 กลุ่ม
  • กลุ่มชนที่ยังไม่ได้เข้าไปประกาศ 82 กลุ่ม
  • จํานวนประชาขนที่ข่าวประเสริฐยังเขาไปไม่ถึง 66,048,000 คน
  • จํานวนประชาชนที่รับเชื่อเป็นคริสตชนร้อยละ 1.3
  • เป็นสมาชิกคริสตจักรโปรเตสแตนท์ (evangelical) ร้อยละ 0.5
  • ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุด ศาสนาพุทธ ร้อยละ 83.9

ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศ 10/40 Window (กลุ่มประเทศบริเวณเส้นรุ้งตัดกับเส้นแวงบนแผนที่โลก) บริเวณที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของโลก มีประชากรคริสเตียนน้อยที่สุด (ข้อมูล Joshua Project :http://joshuaproject.net/countries/TH)

  • ศาสนาจารย์ ดร.สุรเชษฐ์ อินสม
  • ภาพ Freepik