เพราะฉันเป็นแม่
การมีลูกคือการสร้างประชากรของพระเจ้า ข้อความนี้มีความหมายพิเศษ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ความหมายพิเศษแค่ไหนก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีของสังคม
นี่เป็นแนวความคิดและการปฏิบัติสุดยอดที่แม่ทุกคนจะพึงคิดพึงทำ แต่สำหรับ สุนีย์ วงศ์กำชัย ผู้เป็นเจ้าของคำพูดประโยคนี้ เธอยอมรับว่าด้วยความเป็นมนุษย์นั้นคงให้ได้แค่ชีวิตของลูก การรักษาชีวิตของลูกให้รอดและให้ดีนั้น แม่ต้องมีความเชื่อและไว้วางใจในพระคุณของพระเจ้า เพราะความช่วยเหลือของพระเจ้านั้นจะพอเพียงสำหรับเราเสมอ
สมาคมพระคริสตธรรมไทยได้รับเกียรติสัมภาษณ์ คุณสุนีย์ วงศ์กำชัย ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต จบการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทด้านการบัญชีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมรสกับอาจารย์ทองหล่อ วงศ์กำชัย หัวหน้าฝ่ายแปลพระคัมภีร์ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย มีบุตรชายชื่อนายวิสุทธิ์ วงศ์กำชัย อายุ 18 ปี นิสิตปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บุตรสาวชื่อ ด.ญ. เมตตา วงศ์กำชัย อายุ 11 ปี นักเรียน Grade 6 (ประถมปีที่ 6) โรงเรียน Bangkok Adventist Church School
ในวัยเด็ก คุณสุนีย์เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนเยนเฮส์เมโมเรียลซึ่งเป็นโรงเรียนคริสเตียน และได้ยินเรื่องพระเจ้าที่นั่น เธอบอกว่าตอนนั้น “ไม่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก คนเราเกิดมาโลกก็มีอยู่แล้ว รู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าสร้าง”
จนกระทั่งมาเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มีเพื่อนเป็นคริสเตียนและได้เข้ากลุ่ม “นักศึกษาคริสเตียนไทย” ในกลุ่มมีการประกาศ “ข่าวประเสริฐ” คือเรื่องของพระเยซู และด้วยชีวิตที่เริ่มโตขึ้น วุฒิภาวะสูงขึ้น เธอจึงได้เริ่มอ่านพระคัมภีร์เพื่อศึกษาค้นคว้า ทำให้เข้าใจเรื่องของพระเจ้ามากขึ้น เธอได้ท้าทายกับพระเจ้าว่า “ถ้าพระเจ้ามีจริงขอทำให้เราเชื่อในพระเจ้าให้ได้” และวันหนึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้สำแดงให้เห็นว่าตนเป็นคนบาป ซึ่งแต่เดิมเธอจะคิดเสมอว่าไม่ได้เป็นคนบาป เพราะทำแต่สิ่งที่ดี ไม่เคยทำร้ายใคร แต่แล้ว ตอนนั้นก็ได้ยอมรับว่าคนเรานั้นบาปโดยธรรมชาติ จึงได้กลับใจใหม่มาเชื่อพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก และยอมที่จะดำเนินชีวิตตามทางของพระองค์ เนื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ไม่อบอุ่น แม่มีแต่ความทุกข์ ร้องไห้เสมอ และขมขื่นกับชีวิตคู่
คุณสุนีย์ฝังใจว่าการมีครอบครัวคือการตกนรก และรู้สึกว่านรกมีจริง จึงคิดว่าจะเป็นโสดตลอดไป และจะถวายชีวิตรับใช้พระเจ้าเพราะความศรัทธา แต่แล้ว วันหนึ่งได้อ่านหนังสือเรื่อง “การแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า” ซึ่งกล่าวถึงการมีชีวิตที่ยอมจำนนกับพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เมื่อได้สำรวจดูตัวเองแล้วพบว่ามีบางเรื่องในชีวิตที่ไม่ได้ยอมให้พระเจ้านำ คือ การแต่งงานและความกลัวที่จะต้องรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา เพราะเห็นชีวิตผู้รับใช้บางคนลำบากมาก แต่ในเวลานั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตอกย้ำเข้าไปในจิตใจให้ยอมจำนนกับพระเจ้า เป็นความรู้สึกที่ต้องต่อสู้กับตนเองมากถึงกับร้องไห้ แต่เมื่อยอมจำนนกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็ช่วยให้มีท่าทีและบุคลิกที่เปลี่ยนไป ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในเวลานั้น พระเจ้าก็ได้ทรงสำแดงอย่างชัดเจนให้รู้ว่าคู่ครองคืออาจารย์ทองหล่อ วงศ์กำชัย ซึ่งจบวิศวกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ตัดสินใจรับใช้พระเจ้าด้วยการเรียนต่อด้านศาสนศาสตร์ที่ Discipleship Training Center ประเทศสิงคโปร์
ต่อมาทั้งคู่ก็ได้เข้าสู่พิธีสมรส ด้วยการทรงนำของพระเจ้า เมื่อคุณสุนีย์ตั้งครรภ์ลูกคนแรก เธอได้อธิษฐานกับพระเจ้าคือขอให้ลูกมีสุขภาพดี มีสติปัญญาดี มีชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า ลูกชายคนแรกชื่อ “วิสุทธิ์” เมื่ออายุได้ 2 ขวบพบว่าป่วยบ่อยมาก คือเป็นภูมิแพ้ขั้นรุนแรงถึงขนาดมีอาการหอบ ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษามากและรักษากับแพทย์หลายคน หลายโรงพยาบาล พ่อแม่ต้องอ่านหนังสือหลายเล่มเพื่อหาวิธีรักษาลูกโดยใช้ความสามารถของตัวเอง จนวันหนึ่งหมอบอกว่าไม่สามารถจะรักษาได้ สุดความสามารถของมนุษย์ ทั้งสามีภรรยาได้คุกเข่าลงอธิษฐานกับพระเจ้า ยอมจำนนกับพระองค์ มอบปัญหาเรื่องชีวิตของลูกชายไว้กับพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง วันหนึ่ง ก็มีคนแนะนำให้ไปหาหมอเสาวนีย์ ซึ่งเป็นหมอรักษาโรคภูมิแพ้ของเด็ก หมอท่านนี้ช่วยรักษาอาการหอบของวิสุทธิ์ให้หายได้ อาการลูกดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตระหนักว่าพระเจ้าทรงรักษาวิสุทธิ์ได้จริงๆ โดยผ่านทางคุณหมอเสาวนีย์
ต่อมา เธอได้ตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่งและรู้สึกมั่นใจในตนเองที่ต้องการมีลูกอีกก็มีได้เลย แต่หลังจากนั้น 3 เดือนก็เกิดแท้งลูก เหตุการณ์นี้ได้ลดความมั่นใจของเธอลงมากทีเดียว เธอมาคิดได้ว่า แท้จริงแล้ว การมีลูกและทุกสิ่งในชีวิตย่อมอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น เป็นบทเรียนที่มีค่ามากและไม่หวังที่จะมีลูกอีก แต่แล้ว ก็ตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่งและรู้สึกหวั่นเกรงว่าอาจจะแท้งอีก การตั้งครรภ์ครั้งนี้ คุณสุนีย์ได้ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกเอง และด้วยพระเมตตาของพระเจ้า เธอได้คลอดลูกสาวและได้ตั้งชื่อว่า “น้องเมตตา” อย่างไรก็ดี ลูกคนที่สองนี้มีปัญหาเรื่องหัวใจ และหมอไม่ให้ลูกออกจากโรงพยาบาล การตัดสินใจลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกจึงเป็นก้าวใหญ่ของชีวิตที่สวนกระแสกับสังคม เพราะขณะนั้นเธอมีหน้าที่การงานในระดับสูง มีรายได้สูง มีเกียรติ มีรถประจำตำแหน่ง และอื่นๆ อีกมากมาย หากไม่ลาออกจากงาน ก็คงร่ำรวยไม่มีที่สิ้นสุด แต่…ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นอย่างไร โรคหัวใจอาจทำให้ลูกไม่รอดชีวิต ตอนนั้นรู้ดีว่าสภาพชีวิตจะเปลี่ยนไป ดูไม่มีศักดิ์ศรี วันหนึ่งๆ มีหลายคนมาเยี่ยม บางคนถึงกับทักว่าโง่หรือบ้าเพราะผู้หญิงที่จะก้าวมาถึงตำแหน่งนี้มีไม่มากนัก แต่เธอกลับลาออกจากงานเพื่อจะมาเลี้ยงลูก ต่างก็แนะนำว่าให้ทำงานต่อไปและให้จ้างคนมาบริการดูแลลูก ก็จะยังมีเงินเหลือให้ใช้อีกมาก ความรู้สึกตอนนั้นต่อสู้กันมาก แต่ท้ายสุด เธอรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้ทำงาน แต่ให้เลี้ยงลูก เพราะการปั้นชีวิตหนึ่งขึ้นมานั้นสำคัญมาก เมื่อน้องเมตตาอายุ 10 เดือน หมอบอกว่าน้องเมตตาต้องได้รับการผ่าตัดลิ้นหัวใจ และได้แนะนำว่าให้ไปผ่าตัดที่ออสเตรเลียเพราะจะปลอดภัยกว่าเมืองไทยเรื่องการติดเชื้อหลังการผ่าตัด และด้วยพระเมตตาของพระเจ้า อาจารย์ทองหล่อได้พบกับนักเทศน์ชาวออสเตรเลียท่านหนึ่งที่แนะนำให้ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาล Royal Children’s Hospital ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีความชำนาญทางด้านการใช้บอลลูนไปขยายลิ้นหัวใจหรือเส้นเลือดหัวใจที่ตีบตันด้วย นอกจากนั้น ค่าเครื่องบินไปออสเตรเลียก็มีราคาพิเศษในช่วงนั้นซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายได้ระดับหนึ่ง แต่ก็รู้ว่าค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดต้องแพงมาก คุณสุนีย์เองได้ลาออกจากงานแล้ว ไม่มีรายได้ และทุกข์ใจมากกับศักดิ์ศรีของตนเองถ้าต้องรับความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่พระเจ้าก็ตรัสในจิตใจว่า ถ้าพระเจ้าจะให้น้องเมตตาหายเจ็บปวย ก็จะหายเมื่อไรก็ได้ นี่เป็นบทเรียนที่ยากที่สุดในตอนนั้นคือต้องเรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้า
ตอนนั้นครอบครัวมีเงินที่รวบรวมไว้ประมาณหนึ่งแสนบาทเศษ และการผ่าตัดลิ้นหัวใจที่ประเทศออสเตรเลียจะมีค่าใช้จ่ายประมาณสี่แสนบาท และแล้วพระเจ้าก็สำแดงการอัศจรรย์ เมื่อไปถึงประเทศออสเตรเลีย ได้พบว่าน้องเมตตาไม่จำเป็นต้องผ่าตัดลิ้นหัวใจ หมอใช้วิธีการทำบอลลูน คือการใช้เข็มที่มีลูกโป่งอยู่ตอนปลาย แทงเข้าไปในเส้นเลือดใหญ่ที่ขาของเด็ก ให้เข้าไปที่หัวใจเพื่อเป่าลูกบอลลูนให้ขยายลิ้นหัวใจ วิธีการรักษานี้เป็นภาพที่พ่อแม่ต้องอธิษฐานวาง “น้องเมตตา” ซึ่งอายุแค่ 10 เดือนไว้ในพระหัตถ์พระเจ้า และเหลือเชื่อจริงๆ วิธีรักษานี้ทำวันนี้พรุ่งนี้ก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ค่าใช้จ่ายก็อยู่ในวงเงินประมาณแสนบาทเศษตามที่มีอยู่ เพียงพอกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อสามีภรรยากลับถึงเมืองไทย ก็ได้นำเงินไปคืนให้กับคริสเตียนหลายท่านที่ช่วยเหลือในการไปรักษาครั้งนี้ เป็นการทรงนำของพระเจ้าจริงๆ เธอบอกว่าเมื่อก่อนเธอไม่เข้าใจเรื่อง “พระเจ้าทรงเปลี่ยนความเศร้าโศกเป็นความชื่นชมยินดี”
แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ววันเวลาผ่านไป เมื่อเลี้ยงลูกเอง คุณสุนีย์ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไรดี พระเจ้าทรงเปลี่ยนทัศนคตินี้และให้สติปัญญาในการวางแผนว่าวันนี้จะสอนอะไรลูก แต่ละวันจะฝึกลูกให้ทำอะไร เมื่อเขายังเล็กอยู่ คุณสุนีย์จะฝึกลูกให้รู้จักนั่งกินข้าว ไม่เดินตามลูกเพื่อจะป้อนข้าว ให้ลูกรู้จักใส่เสื้อผ้าเอง ให้นอนตามเวลา ให้รู้จักเก็บของ ให้ลูกมีโภชนาการ สอนทำอาหาร ทำขนมเค็ก ทำคุกกี้ จะควบคุมว่าลูกอ่านหนังสืออะไร เล่นเกมอะไร ดูหนังอะไร แนะนำสิ่งที่ดีและถูกต้องให้กับเขา การเรียนที่โรงเรียนบางครั้งลูกไม่เข้าใจทั้งหมด ก็จะให้เวลากับลูกในการอธิบาย หาหนังสือมาประกอบการเรียน พาไปเรียนดนตรี ว่ายน้ำ คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ ที่เขาสนใจ พาไปออกกำลังกายอย่างถูกต้อง เป้าหมายทั้งหมดคืออยากให้ลูกอยู่ในทางของพระเจ้า เป็นทรัพยากรที่ดีของประเทศชาติ ไม่ใช่เพราะต้องการมีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย เมื่อมีลูกที่ป่วยทั้งสองคน เธอและสามีไม่เคยต่อว่าพระเจ้า แต่สำรวจดูตัวเองว่าพระเจ้าให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร
ที่ผ่านมาเธอประสบความสำเร็จทั้งเรื่องการเรียนและการงาน ทำให้หยิ่งผยองโดยไม่รู้ตัว พระเจ้าทรงเป็นช่างปั้น เห็นว่าสิ่งที่พระองค์กำลังปั้นนั้นผิวยังไม่เรียบ พระเจ้าต้องใช้กระดาษทรายขัดเกลาให้เรียบและสมบูรณ์ เหตุการณ์ทุกอย่างนำเธอมาสู่ความถ่อมใจ มีความเห็นใจและเข้าใจผู้ที่กำลังมีความทุกข์ ถ้าพระเจ้าไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเธอแล้ว ก็จะไม่รู้จักเห็นใจคนอื่น นอกจากนั้น พระเจ้าได้สอนให้เธอเรียนรู้ที่จะมีความหวัง เมื่อลูกของเธอป่วยอยู่นั้น ญาติพี่น้องจะรู้สึกหมดหวัง แต่เธอเต็มไปด้วยความหวังว่าพระเจ้าจะช่วยลูกทั้งสองคน “เราจะร่วมมือกับพระเจ้าที่จะรักษาเขาให้หาย ปัจจุบันใครที่รู้จักลูกทั้งสองคน ก็จะเห็นความสามารถของเขา และจะไม่เชื่อว่าวิสุทธิ์เคยเป็นโรคหอบมาก่อน และน้องเมตตาเป็นโรคหัวใจมาก่อน เพราะเขาสมบูรณ์แข็งแรงดีทั้งสองคน” “ครอบครัวของเราจะมีการอธิษฐานด้วยกันทุกวัน อธิษฐานเผื่อคนในบ้าน คนนอกบ้าน และคนเจ็บป่วย เมื่อพ่อแม่ได้อ่านหนังสือดีๆ ฟังเทปคำเทศนาดีๆ จะเอามาหนุนใจลูกให้อ่านหนังสือเล่มนั้น ให้เอาเทปไปฟัง หนุนใจลูกให้เข้าเฝ้าพระเจ้าทุกวัน
ตอนที่วิสุทธิ์สอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาตั้งใจจะเข้าคณะวิศวฯ จุฬาฯ ให้ได้ และเลือกคณะวิศวฯ เกษตรฯ เป็นอันดับรองลงมา แต่เขาก็วางใจในพระเจ้า โดยยอมให้พระเจ้านำพาที่จะให้เรียนที่จุฬาฯ หรือที่เกษตรฯ และพระเจ้าก็ตอบคำอธิษฐานของเขา โดยให้เรียนที่เกษตรฯ เขาก็ยอมรับน้ำพระทัยพระเจ้าตรงนั้น” พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ข้อพระคัมภีร์ที่หนุนใจคุณสุนีย์มากคือสดุดีบทที่139 ข้อ 4 “ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว” และ สดุดี 119:168 “ข้าพระองค์ปฏิบัติตามข้อบังคับและบรรดาพระโอวาทของพระองค์ เพราะทางทั้งสิ้นของข้าพระองค์อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์”
คุณสุนีย์ย้ำว่าเราทุกคนต้องตระหนักว่าเรามีชีวิตอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เราต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อถวายแด่พระเจ้า รวมทั้งการเลี้ยงลูกด้วย การมีลูกคือการสร้างประชากรของพระเจ้า แม่คือผู้ที่เลี้ยงลูกแกะให้กับพระเจ้า ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าแม่แต่ละคนจะเลี้ยงลูกเองหรือไม่ก็ตาม ภาระหน้าที่ความเป็นแม่ไม่มีวันหมดไป แม่จะปัดความรับผิดชอบไปให้คนอื่นไม่ได้ แม่ต้องให้เวลากับลูกและดูแลเขาอย่างดีทุกด้าน อนาคตของชาติขึ้นอยู่กับแม่ เมื่อเรามอบชีวิตให้กับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเราในการเลี้ยงดูลูกของเรา เพราะพระองค์ย่อมหวงและห่วงลูกแกะของพระองค์ตลอดเวลา
สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอขอบพระคุณคุณสุนีย์ วงศ์กำชัยสำหรับคำพยานข้างต้น และขอพระเจ้าอวยพรทั้งครอบครัวที่เป็นแบบอย่างอันดีในการดำเนินชีวิตรับใช้พระเจ้าด้วยความสัตย์ซื่อและไม่เคยย่อท้อ
- อ.สุนีย์ วงศ์กำชัย
- ภาพ User8999456 – Freepik.com