เพื่อทุกคนจะรู้จักกับพระเจ้า 2/16

เพื่อทุกคนจะรู้จักกับพระเจ้า

คุณอุดม ศรีกุเรชา
“They shall all be taught of God” “เพื่อทุกคนจะรู้จักพระเจ้า” คือคำขวัญของโรงเรียนนานาชาติแอ๊ดเวนต์รามคำแหง  Ramkhamhaeng Advent International School) RAIS ก่อนจะมีคำขวัญนี้ และก่อนที่โรงเรียนแห่งนี้ถือกำเนิดเกิดขึ้น  มีเรื่องราวมากมาย คุณอุดม ศรีกุเรชา ผู้ก่อตั้งโรงเรียนเคยผ่านประสบการณ์การทรงนำของพระเจ้าอย่างมากมาย คุณอุดม เกิดในครอบครัวนับถือศาสนาซิกข์ นิกายนามธารี เป็นมังสวิรัติ ที่เคร่งครัด ต่อมาได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้มารู้จักพระองค์ และโรงเรียนแห่งนี้สร้างขึ้นมาโดยการที่ท่านยอมเชื่อฟัง พระสุรเสียงของพระเจ้า นับจากวันแรก มาจนถึงปัจจุบัน ท่านได้ยืนหยัดในการเป็นคริสตชนผู้ดำเนินชีวิตตามวิถีของพระเจ้า ชีวิตของท่านได้รับการอวยพรจากพระเจ้าอย่างเหลือล้นและมีโอกาสแบ่งปันพระพรที่ได้รับนั้นแก่ผู้คนมากมายคุณอุดม ศรีกุเรชา อายุ 67 ปี ประธานผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติแอ๊ดเวนต์รามคำแหง สมรสกับคุณศศิธร มีบุตรชาย และบุตรสาว 4 คนคือนายแพทย์วิจิตร คุณกัลยาณี คุณราชทีป และคุณ

ปรมิตร ทั้งภรรยา และบุตรชาย บุตรสาว เชื่อพระเจ้า และเป็นสมาชิกคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส

เข้ามาเชื่อพระเจ้า
ผมเกิดในครอบครัวศาสนาซิกข์ นิกายนาม-ธารี ปฏิบัติตนเป็นมังสวิรัติที่เคร่งครัด ระหว่างที่เรียนหนังสือ สมัยก่อนเมื่อเปิดวิทยุจะพบคลื่นสั้นภาษาอังกฤษที่ออกอากาศจากกรุงมะนิลาทำให้ผมอยากเรียนภาษาอังกฤษ มีคณะมอร์มอน 2 คนสอนภาษาอังกฤษอยู่สี่พระยา วันอาทิตย์เขามาสอนบทเรียนของมอร์มอนที่บ้าน ด้วยหนังสือ“Paradise Lost and Paradise Regained (สวรรค์ที่สูญเสียไปและสวรรค์ที่กลับคืน) ผมเรียนเพราะเจตนาอยากเรียนภาษาอังกฤษ ขณะนั้นผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติภารตะซึ่งใช้ภาษาอังกฤษในการสอน เป็นหลักสูตรของอินเดีย ขณะที่เรียนไปนั้น โรงเรียนนี้ถูกปิด เพราะมีนักเรียนน้อย ไม่สามารถดำเนินการสอนต่อไปได้ ผมจึงเรียนจบเพียงชั้นมัธยมต้น การหาที่เรียนในโรงเรียน นานาชาติสมัยนั้นลำบากมาก เพราะมีโรงเรียนแบบนี้ในประเทศไทยเพียงไม่กี่แห่งต่อ มาผมได้ข่าวว่าโรงเรียนศูนย์ศึกษาคริสเตียน (ChristianTraining Center) หรือปัจจุบันคือโรงเรียนนานาชาติเอกมัย เปิดรับนักเรียน จึงไปสมัครและ

เรียนอยู่ที่นี่3 ปี เพื่อให้จบมัธยมปลาย ขณะที่เรียนปีที่ 2 มีช่วงสัปดาห์การฟื้นฟูจิตวิญญาณ (Week of the prayer) นักเทศน์ขณะนั้น ศจ.สันติ โสรัจจกุล ได้เชิญชวนให้นักเรียนรับเชื่อพระเจ้า ผมยืนขึ้นและศึกษาเรื่องราวของพระเจ้ากับศิษยาภิบาลจนในที่สุดได้ตัดสินใจมอบชีวิตให้พระเจ้า สิ่งที่จูงใจให้เชื่อพระเจ้าคือ ผมเชื่อในการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระองค์ เป็นความหวังอันประเสริฐ เพราะชีวิตนี้เมื่อเราตายไปแล้วไม่รู้ไปไหน เมื่อเชื่อพระเจ้า ผมรู้ดีว่าพระองค์จะมารับเรา เมื่อคุณพ่อของผมทราบข่าวผมตัดสินใจจะเป็นคริสเตียน จากการที่มีคนไปบอกท่านว่าลูกชายจะรับบัพติศมาแล้วให้ห้ามไว้ก่อน คุณพ่อไม่อยากให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในครอบครัว ท่านจึงไม่ว่ากล่าวอะไรบอกแต่เพียงว่า สังคม (ชาวซิกข์) ของเราไม่อยากให้เป็นคริสเตียน มีเพียงคุณแม่ที่เป็นห่วงและคัดค้านเพราะท่านคิดว่าหากนับถือศาสนาคริสต์แล้วท่านจะเสียลูกชาย โดยคิดว่าลูกจะได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก ท่านคิดว่าลูกจะต้องตัดผม (ซึ่งชาวซิกข์ที่เคร่งครัดจะไม่ตัดผมสั้น)ไปกินเหล้า มีภรรยาเป็นฝรั่ง ท่านจึงไม่อาจรับสภาพได้ ผมจึงอธิษฐานขอให้พระเจ้าประทานความเข้าใจให้คุณแม่มองเห็นว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ให้ท่านเข้าใจใหม่ว่าวัฒนธรรมของพระคัมภีร์ ไม่ใช่เหมือนกับวัฒนธรรมตะวันตก และเมื่อเห็นว่าการประพฤติของผมไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคาดการณ์ไว้ในที่สุดก็ยอมรับการรับเชื่อพระเจ้าของผม

ทรงเรียกกลับ
หลังจากเรียนจบมัธยมปลาย ผมตั้งใจจะไปเรียนต่อแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา ส่งใบสมัคร และได้ใบตอบรับจากต่างประเทศแล้ว ขอวีซ่า(I-20) และซื้อตั๋วเครื่องบิน เตรียมเสื้อผ้ากันหนาวไว้หมดแล้ว

และกำลังจะเดินทาง ก่อนเดินทางเพียง3 วัน คุณแม่ได้เรียกมาสอบถาม และบอกตามตรงว่าในสังคมของชาวซิกข์ มีความเชื่อว่าคนที่ไปเรียนต่ออเมริกามักรับเอาวัฒนธรรมและเปลี่ยนไป มีแฟนและแต่งงานกับฝรั่ง อยู่ในประเทศนั้น ไม่กลับมาประเทศไทย ซึ่งแม่ไม่อยากเสียลูกชาย จึงขอร้องไม่ให้ลูกไปได้ไหม ให้ทำงานช่วยคุณพ่อ ทำให้ผมคิดถึงคำสอนของพระคัมภีร์ พระบัญญัติข้อ 5 สอนเราให้เกียรติบิดามารดา เชื่อฟังท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำผมให้เกียรติมารดา หากนี่เป็นความปรารถนาของคุณแม่ผมยอมเชื่อฟัง จึงไม่ได้ไปเรียนต่อแพทย์ตามที่ตั้งใจไว้ ผมจึงไปช่วยคุณพ่อค้าขาย  ผลที่ตามมาทำให้ผมห่างจากพระเจ้าทีละเล็กละน้อย วันเสาร์ (วันสะบาโต) แทนที่จะไปโบสถ์ผมไปช่วยคุณพ่อทำงาน

วันหนึ่งพี่ชายผมมาปรึกษากับคุณพ่อว่า งานในครอบครัว มีไม่มากและกิจการไม่ขยายไปกว่าที่เป็นอยู่ แต่คนทำงานมีมากเกินไป พี่ชายจึงเสนอให้เปิดโรงงานทำลำโพง ซึ่งพี่ชายบอกว่าการผลิตลำโพงไม่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงไม่ต้องมีระบบที่ยุ่งยากมากนัก คุณพ่อตกลง จึงมอบหมายให้ผมไปเรียนเรื่องลำโพง ผมจึงเดินทางไปไต้หวันติดต่อโรงงานลำโพงต่างๆ พระเจ้าทรงโปรดนำผมให้พบท่านผู้หนึ่ง เขาเป็นคนดี ปัจจุบันเรายังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันถึงแม้เราเลิกโรงงานทำลำโพงแล้ว ผมแจ้งเขาว่าเราจะไปเปิดโรงงานทำลำโพงกรุณาช่วยเหลือผม เพราะผมไม่ได้เรียนจบด้านอีเลคโทรนิค ไม่มีความรู้วิศวกรรมด้านนี้ เขาก็บอกว่าจะช่วยเหลือตามประสบการณ์ที่เขามี เขาพาผมไปเยี่ยม ชมโรงงานผลิตลำโพงและชิ้นส่วนต่างๆของลำโพงหลายแห่ง เราสามารถสั่งชิ้นส่วนมาประกอบกันเป็นลำโพง เมื่อกลับมาเราสามารถเปิดโรงงานทำลำโพงได้โดยคุณพ่อมอบตึกแถวที่คลองตันตั้งเป็นโรงงาน เมื่อของที่สั่งมาถึง ก็ลองทำดูและโดยพระเมตตาของพระเจ้าเราทำได้สำเร็จพระเจ้าทรงเทพระพรมากมายกว่าที่ทูลขอ สินค้าลำโพงภายใต้ยี่ห้อNeeco เป็นที่ยอมรับของตลาดผมดำเนินงานด้านลำโพงมาเรื่อยๆ ในช่วงเวลานั้นมโนธรรมย้ำเตือนให้ผมกลับไปหาพระเจ้าได้แล้วจึงปรึกษากับคนงานทั้งหมดว่าจะขอปิดโรงงานวันเสาร์เพื่อผมจะได้ไปโบสถ์ และเปิดทำงานวันอาทิตย์แทน เพื่อคนงานจะมีรายได้ ซึ่งพนักงานต่างเห็นดีด้วยตอบตกลง ทุกคนมีความสุข ผมก็เป็นสุขใจที่ได้ไปโบสถ์ เป็นการกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง พระเจ้าทรงเมตตาให้กิจการนี้เจริญก้าวหน้ามาตลอด กิจการผลิตลำโพงยาวนานถึง25 ปี และย้ายโรงงานไปไว้ที่ซอยรามคำแหง 119 ผมก็คิดว่าทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว กิจการคงจะดำเนินไปด้วยพระพรตลอดไป

พระสุรเสียงจากพระเจ้า
ขณะที่ธุรกิจผลิตลำโพงดำเนินไปด้วยดีปลายปี1998 ประมาณ 16 ปีที่แล้ว พระเจ้าทรงประทานนิมิตแก่ผม ตอนเช้าผมเฝ้าเดี่ยว อ่านพระคัมภีร์ และอธิษฐาน ได้ยินพระสุรเสียงจากพระองค์ให้เปลี่ยนกิจการจากโรงงานลำโพงมาเป็นโรงเรียนพระเจ้าตรัสกับผมติดต่อกัน 18 วัน ผมปฏิเสธมาโดยตลอด และโต้แย้งกับพระเจ้าทุกวัน ด้วยเหตุผลข้อแรกคือผมทำธุรกิจนี้มา 25 ปี ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว หากเลิกกิจการต้องเลิกจ้างคนงานที่ช่วยเหลือกิจการมาตลอด ต้องละทิ้งลูกค้าที่เคยทำธุรกิจมาด้วยดีและที่สำคัญที่สุดผมไม่มีความรู้หรือความสามารถด้านการศึกษาเลยแม้แต่น้อยจนมาถึงครั้งที่ 18 ผมคุกเข่ายอมจำนนต่อพระองค์เมื่อพระเจ้าตรัสผมก็ยังคงสงสัยในใจว่าผมเองไม่ใช่นักวิชาการ เรียนจบเพียงชั้นมัธยมจะเอาความรู้อะไรมาทำโรงเรียน อย่างไรก็ตามเมื่อนึกย้อนกลับไปประมาณ 2 ปีก่อนที่จะเปิดกิจการโรงเรียนฯ ผมเริ่มรู้สึกว่าในการขายลำโพง คนขายจะต้องใช้วิธีในการขายที่ไม่ซื่อสัตย์ เช่น โกหกบ้าง พูดเกินจริงเพื่อจะขายสินค้าได้ ซึ่งผมรู้สึกขัดแย้งกับมโนธรรมของตนเอง และไม่ชอบวิธีการแบบนี้ทั้งที่ผมทำแบบนี้มายี่สิบกว่าปี ไม่เคยรู้สึกอะไรเลย ผมจึงทูลขอให้พระเจ้าทรงเปิดหนทางแก้ไข ในที่สุดพระองค์ก็ทรงให้เปลี่ยนกิจการมาเป็นโรงเรียน สถาบันการศึกษาเป็นกิจการที่ตรงไปตรงมามากที่สุด เป็นบ่อเกิดของการให้ วางรากฐานชีวิตให้แก่เด็ก ในเมื่อพระเจ้าจะให้เปิดโรงเรียน ผมก็ทูลขอให้พระองค์ทรงเปิดประตูทุกบานให้ด้วย และพระเจ้าทรงค่อยๆ เปิดหนทางให้แก่ผมด้วยความเชื่อ

พระผู้ทรงนำ
สิ่งแรกที่ผมทำคือ ไปพบและปรึกษากับผู้บริหารสำนักงานคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสเกี่ยวกับการทรงเรียกของพระเจ้า และเรียนให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการด้านการศึกษา ไม่ประสงค์ให้ทางโรงเรียนนานาชาติเอกมัย(ซึ่ง ดำเนินงานโดยคริสตจักรที่ผมเป็นสมาชิกอยู่) คิดว่าผมจะเปิดโรงเรียนเพื่อแข่งขันและผมต้องขอการสนับสนุนจากผู้บริหารของโรงเรียนด้วย คำตอบที่ได้รับก็คือ ทุกฝ่ายยินดีที่ผมจะเปิดโรงเรียนเพราะจะทำให้คนในพื้นที่รามคำแหงได้รู้จักกับพระเจ้ามากขึ้นและพร้อมให้การสนับสนุนให้คำแนะนำในด้านการศึกษาอย่างเต็มที่ก่อนที่จะเปิดโรงเรียน 3 ปี ขณะนั้นครอบครัวของเราเริ่มขยาย คุณพ่อจึงยกที่ดินบนถนนรามคำแหง (คือโรงเรียนปัจจุบัน) ให้สร้างเป็นโรงงานลำโพงด้านหน้า และปลูกบ้านไว้ด้านหลังโรงงาน ซึ่งถ้าปลูก 2 ชั้นก็พอแล้ว แต่เราสร้าง 4ชั้น ใช้งานจริงสองชั้น เมื่อเปลี่ยนมาสร้างโรงเรียนชั้น 3-4 จึงใช้เก็บวัตถุดิบต่างๆ ของโรงงานลำโพงขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงให้เราสร้างบ้านที่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตในปีที่โรงเรียนเปิดทำการ เศรษฐกิจกำลังย้ำแย่ เงินสดที่เก็บไว้ในสถาบัน การเงินไม่สามารถเบิกออกมาใช้ได้ เมื่อต้องปรับปรุงโรงงานเป็นโรงเรียนจำเป็นต้องใช้เงิน พระเจ้าทรงประทานเงินให้ผมอย่างน่าอัศจรรย์ วันหนึ่งมีจดหมายจากสำนักการโยธา กรุงเทพฯ แจ้งให้ทราบว่าถนนรามคำแหงจะมีการขยายถนนจากสองเลนเป็นหกเลนถึงมีนบุรี คุณพ่อได้มอบที่ดินแถวมีนบุรีไว้ เป็น

พื้นที่ถูกเวนคืนด้านละ10 เมตรเพื่อทำถนน ราคาที่ดินที่สำนักการโยธาประเมินไว้ก่อนเศรษฐกิจตกต่ำราคาสูงมาก เมื่อให้เราไปรับเงินค่าทดแทน75% ขอบพระคุณพระเจ้า เงินที่รับมาพอดีกับจำนวนที่ต้องใช้ปรับปรุงอาคารโรงเรียน พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ทั้งหมด ผมรู้สึกตื้นตันใจจนน้ำตาไหลในพระเมตตาของพระองค์

โรงเรียนนานาชาติเอกมัย และหัวหน้าแผนกการศึกษาของคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์ฯ ได้ช่วยเหลือในการจัดทำโครงการปรับปรุงสถานที่จะใช้เป็นอาคารเรียน เพื่อยื่นขออนุญาตจัดตั้งโรงเรียนกับกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อเดือนมีนาคม1999 เมื่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ มาตรวจพื้นที่ที่จะสร้างเป็นโรงเรียนนานาชาติ หัวหน้าคณะบอกว่าเห็นด้วยกับสถานที่ ผังของโรงเรียนนี้ สถาปนิกทำแบบ

ห้องไว้กว้างห้าเมตร ทางเดินสองเมตร แต่เมื่อนำแบบไปยื่นขออนุมัติเจ้าหน้าที่แจ้งว่าห้องเรียนที่ผมทำแบบมาเล็กกว่าที่ระเบียบกำหนดไว้ คือต้องกว้างหกเมตรตามโครงสร้าง เขาจึงไม่สามารถอนุมัติแบบห้องเรียนได้ ผมจึงเดินกลับด้วยความรู้สึกสองด้าน หนึ่งคือ เสียใจที่ไม่ได้รับการอนุมัติความฝันที่จะสร้างโรงเรียนเป็นอันหมดสิ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจที่ไม่ต้องแบกภาระหนักอีกต่อไป ในช่วงเวลาที่ เดินออกมาจากห้องทำงานแห่งนั้นอีกเพียงสองก้าวลงบันไดอาคารที่ไปขออนุญาต ผมพบกับสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เธอถามผมว่ามาทำอะไร ผมก็ตอบไปว่ามาขออนุญาตและไม่ผ่าน เธอจึงพาผมเข้าไปที่ห้องของเจ้าหน้าที่ที่รับใบอนุญาตอีกครั้ง และแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าให้ดูในระเบียบใหม่ในกรณีที่เป็นโรงเรียนพิเศษให้ถือเนื้อที่เป็นเกณฑ์เท่านั้น เธอได้ประสานงานจนเรียบร้อย เจ้าหน้าที่แจ้งผมว่าให้กลับไปปรับปรุงตามที่ขอได้ และให้มาอีกสามวันเขาจะอนุมัติแบบแปลน ผมมาทราบในภายหลังว่า สตรีท่านนั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานแห่งนั้นผมมีเวลาปรับปรุงอาคารสามเดือนครึ่งพระเจ้าทรงนำ ผมขอร้องให้เพื่อนผู้รับเหมามาปรับปรุงให้เสร็จตามที่กำหนดไว้ และพระเจ้าก็ทรงส่งหัวหน้างานมาให้ผม แต่ละทีมที่เข้ามาทำทั้งงานสี งานไม้ งานปูน งานตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ มีการบริหารเวลาทำงานไม่ให้กระทบกัน เนื่องจากเวลาทำงานมีน้อย ขอบคุณพระเจ้างานแต่ละส่วนสามัคคีกันทำให้งานเสร็จตามเวลา เมื่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ มาตรวจโรงเรียนวัน ที่13 สิงหาคม1999 และวันที่ 16 สิงหาคม อนุญาตให้เปิดโรงเรียนฯ ได้ทันเวลา ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากมายที่ทรงทำให้แผนงานทุกอย่างสำเร็จตามที่วางไว้ทุกประการในระหว่างที่ก่อสร้างมีผู้ปกครองมาดูโรงเรียนฯ ประมาณ 500 ครอบครัว โดยที่ไม่ได้โฆษณา ทำเพียงป้ายโฆษณาติดไว้เท่านั้น ในวันเปิดจริงมี 69 ครอบครัวจองที่เรียนให้ลูก พระเจ้าทรงนำเพื่อนของลูกมาเป็นครูสอนที่โรงเรียนฯ สำนักงานมิชชั่นเซเว่นเดย์ อำนวยความสะดวกสั่งหนังสือเรียนให้เมื่อถึงเทอม 2 ผู้ปกครองจองที่เรียนเพิ่มขึ้นเป็น 125 คน เราจึงคิดต่อไปว่าจะสร้าง อพาตเม้นต์เพื่อให้ครูพัก ผู้รับเหมาก่อสร้างที่มาดำเนินการหลายรายต่างทิ้งงานหมด เราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าทรงมีพระประสงค์ใดกับอาคารนี้ พระองค์ทรงให้เราเปลี่ยนความคิดใหม่ผมตัดสินใจสร้างเป็นห้องเรียนเพื่อรองรับเด็กที่อาจจะเพิ่มขึ้น เมื่อเปลี่ยนมาเป็นอาคารเรียนโครงการ สร้างเสร็จลงอย่างรวดเร็ว และรองรับนักเรียนที่เพิ่มขึ้นตามที่คาดไว้ 250 คน ปัจจุบันรองรับนักเรียนได้ 750 คน โดยการทรงนำของพระเจ้า เราจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนพระคัมภีร์ทุกห้องเรียนวันละ 45 นาที เพื่อหว่านความรัก ความจริงของพระเจ้าแก่นักเรียนทุกคน ทุกเช้าก่อนออกไปทำหน้าที่ คณะครูอธิษฐานร่วมกัน โรงเรียนนี้จึงได้รับการขนานนามว่า“Miracle School” (โรงเรียนแห่งการอัศจรรย์)

พระพรจากพระเจ้ามีมากมายนับไม่ถ้วน อีกพระพรหนึ่งก็คือ การมีที่ดินเพิ่มขึ้น เดิมนั้นทางเข้าด้านหน้าของโรงเรียน มีพื้นที่กว้าง8 เมตร มีร้านขายหินอ่อนตั้งขวางอยู่ด้านหน้า ทำให้การเข้าออกลำบาก เมื่อสามปีที่แล้ว เจ้าของที่ดินประกาศว่าจะเลิกกิจการ ผมอธิษฐานขอพระเจ้าทรงช่วยให้เขาขายที่ดินให้โรงเรียนเพื่อจะสร้างตึกเพิ่มเติม ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงตอบคำอธิษฐานขอบคุณพระองค์ที่ทรงอวยพรให้โรงเรียนเจริญขึ้นเรื่อยๆ ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานกับเด็กได้เสริมสร้างชีวิตให้พวกเขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ และพวกเขาได้ยินเรื่องราวของพระเยซูเจ้าเมื่อมีอุปสรรคพระเจ้าทรงเป็นผู้จัดการให้ทุกอย่าง

โรงเรียนนานาชาติแอ๊ดเวนต์รามคำแหง
โรงเรียนนานาชาติแอ๊ดเวนต์รามคำแหง(Ramkhamheng Advent International School)RAIS ก่อตั้งเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1999 ปีการศึกษาแรก มีนักเรียนเข้ามาสมัครเพียง 69 คน และจำนวนเพิ่มขึ้นตามลำดับ จำนวนนักเรียนล่าสุดกว่า700 คน เปิดสอนชั้นอนุบาล 1 ถึง เกรด 12 และห้องเรียนชั้น EFL (English as a Foreign Language)เราได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาจากองค์กรต่างๆ เช่น WASC (Western Accreditation for Schools and Colleges) สำนักงานการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เป็นสมาชิกของ ISAT ( International Schools Association of Thailand)

โมทนาพระคุณพระเจ้าผู้สร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผมทุกอย่าง รวมทั้งความรู้ในการดำเนินงานวัตถุประสงค์สำคัญที่พระองค์ทรงประสงค์ก็คือ ให้RAIS เป็นศูนย์กลางสื่อเรื่องราวความจริงของคริสตชน ตามคำขวัญของโรงเรียน “They shall all be taught of God” (เพื่อทุกคนจะรู้จักพระเจ้า)โรงเรียนของเราใช้หลักการศึกษาตามระบบของคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส โดยเน้นการเสริมสร้างด้านอารมณ์ ร่างกาย สังคม จิตวิญญาณและการพัฒนาด้านต่างๆ นักเรียน RAIS ได้รับรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างเด็กให้มีความแตกต่างกัน และมีเอกลักษณ์ของแต่ละคน ครู และพนักงานมีส่วนส่งเสริมให้เด็กสามารถไปถึงจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้พระเจ้าทรงประทานความสามารถพิเศษให้แก่ชีวิตของทุกคน

พันธกิจการรับใช้พระเจ้าด้านอื่นวิทยุชุมชน
พระเจ้าทรงประทานนิมิตให้ผมสร้างสถานีวิทยุชุมชนที่ชั้นบนของตึกโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ด้วย ออกอากาศตั้งแต่หกโมงเช้าถึงสี่ทุ่มเพื่อให้ผู้ฟ้งในชุมชนพื้นที่โดยรอบโรงเรียนได้รู้จักพระคริสต์มากขึ้น นอกจากนี้ได้ให้การสนับสนุนคริสตจักรในภาคเหนือ ภาคกลางและอีสานสร้างสถานีวิทยุชุมชนอีก6 แห่ง

พันธกิจเรือนจำ
โดยพระพรที่ได้รับมากมายทำให้ผมร่วมกับพี่น้องสมาชิกโบสถ์และมิตรสหายที่ไม่ได้เป็นคริสตชนจัดตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อออกไปรักษาโรคให้ผู้ต้องขังในเรือนจำ แต่ละปีจะเข้าไปรักษาประมาณห้าถึงหกครั้งเรือนจำแต่ละแห่งจะส่งหนังสือเชิญกลุ่มของเราเข้าไป เราก็ออกไปบริการ เช่น การถอนฟันให้แก่นักโทษเพราะหากให้นักโทษออกมาถอนฟันที่โรงพยาบาลเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก เราเข้าไปถอนฟันให้นักโทษวันละประมาณ200 ราย แจกแว่นตา แจกสิ่งของเครื่องใช้ประจำวันที่จำเป็น จัดให้มีนักร้อง ร้องเพลงคริสเตียนให้พวกเขาฟัง มีการหนุนใจให้ทุกคนรู้จักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและรู้จักพระเยซูผู้ทรงอภัยความผิดทุกอย่าง การเข้าไปแต่ละครั้งต้องติดต่อหมอไปร่วมงาน เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากหลายครั้งก่อนถึงกำหนดนัดหมาย พระองค์ส่งคุณหมอไปช่วยงานเสมอ ครั้งหนึ่งเราได้รับเชิญเข้าไปทำงานในเรือนจำ สามวันก่อนถึงวันที่ต้องเข้าไปทำงาน เราขอบคุณพระเจ้าที่ทรงประทานหมอสมัครเข้ามาร่วมรับใช้ 10 คน ทุกท่านอาสาทำงานโดยไม่รับค่าตอบแทน ครั้งนั้นผมขอบคุณพระเจ้ามากจริงๆ

แจกพระคัมภีร์
พระเจ้าทรงเมตตาประทานพรให้ผมมีปัจจัยเพื่อทำหน้าที่หว่านพืช ผมประกาศพระวจนะของพระเจ้ากับคนทั่วไป และรับใช้พระเจ้าโดยการแจกพระคัมภีร์ให้แก่คริสตจักรที่ต้องการพระคัมภีร์ เมื่อคริสตจักรแห่งใดขอมาผมจัดส่งให้เพื่อผู้ที่ต้องการ

ทรงรักษาอย่างอัศจรรย์
เมื่อประมาณ5-6 ปีที่ผ่านมา ผมป่วยเป็นโรคหัวใจ ผมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามคำแหงคุณหมอตรวจอย่างละเอียดได้รับการแจ้งว่าหลอดเลือดใหญ่ที่หัวใจ มีก้อนเลือดบล็อกประมาณ 70%บริเวณโค้งของเส้นเลือด คุณหมอจะให้ใส่สแตนท์หรือขดลวดเล็กๆ ครอบครัวจึงโทรไปปรึกษา ลูกชายคนโตซึ่งเป็นหมออยู่ที่อเมริกา เขาบอกว่าไม่ให้ใส่ เพราะอยู่ตรงจุดโค้ง การผ่าตัดจะเป็นอันตราย หากพลาดจะทำให้เส้นเลือดแตกได้ ให้ทำบายพาสจะดีกว่า คุณหมอนัดทำบายพาสวันอาทิตย์ที่จะถึงวันนั้นผมได้เชิญศาสนาจารย์และผู้รับใช้ 7 ท่านมาอธิษฐานเผื่อ พี่น้องตามคริสตจักรต่างๆ ทั่วประเทศ และมิตรสหายประเทศอื่นๆ เมื่อทราบข่าวต่างร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อผม

เมื่อลูกชายคนโตบินมาจากอเมริกาถึงประเทศไทยเช้าวันเสาร์ ได้ปรึกษากับคุณหมอขอเช็คดูความคิดเห็นที่สอง(Second opinion) อีกครั้ง เพราะในการผ่าตัดทำบายพาส มีความเสี่ยงสูง คุณหมอนำฟิล์มมาให้ลูกชายดู และให้ไปหาหมออีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นคุณหมอที่เก่งอันดับต้นๆของประเทศ เมื่อไปพบคุณหมอ ท่านบอกว่าไม่ว่างติดงานหลายอย่าง ไม่มีเวลาให้ วันจันทร์ให้ไปพบใหม่ ลูกชายจึงกลับมาและส่งฟิล์มภาพไปที่อเมริกาให้เพื่อนที่เป็นหมอหัวใจดูทางอินเตอร์เน็ตแต่เนื่องจากฟิล์มมืดดูไม่ออก ผมจึงพักอยู่ภายในห้องพักฟื้นผู้ป่วยหนักด้านหัวใจและหลอดเลือด(CCU) ต่อไป ในห้องมีแต่คนไข้หนักจำนวนมาก

ช่วงนั้นมีพี่น้องคริสตชนจำนวนมากไปอธิษฐานเผื่อผม200-300 คนในห้อง ในวันนั้นผมเกรงว่าจะวุ่นวายรบกวนคนอื่น แต่ทั้งเจ้าหน้าที่และคนไข้ทุกคนในห้องดูมีความสุขมาก เย็นวันเสาร์คุณหมอกับลูกชายปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี ยังไม่มีความคิดเห็นที่สอง (Second opinion) คุณหมอจึงบอกกับลูกชายว่าจะส่องกล้องดูหลอดเลือด (angiogram)อีกครั้ง ครั้งนี้จะใส่เครื่องเอคโค่ซาวน์เพื่อจะดูในเส้นเลือดเป็นเครื่องที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ทำสองครั้งไม่มีอันตรายต่อร่างกาย ลูกชายจึงให้ทำตามที่คุณหมอบอก หลังจากเอ็กซเรย์หลอดเลือด ดูตรงจุดที่มีการบล็อก ครั้งนี้กลับหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ คุณหมอจึงไปเปิดวีดีโอเก่าดูอีกครั้ง และเชิญทีมหมอหัวใจมาดูว่าจู่ๆ สิ่งที่บล็อกอยู่หายไปได้อย่างไร คุณหมอบอกว่าวันนี้เขาเห็นว่า ฝ่ายผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในพระเจ้ามาก มีคนมาอธิษฐานทูลขอมากมาย และพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานเหล่านั้น เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า เราได้เห็นการอัศจรรย์ จึงตกลงยกเลิกการผ่าตัด ผมกลับไปบ้านวันจันทร์และวันพุธกลับไปเดินสายพานเดินได้ 10 นาที ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์มาก ทำให้รู้ว่าพระเจ้ารักษาและดูแลผมเพื่อให้รับใช้พระองค์ต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นพรอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

พระธรรมนำชีวิต
เยเรมีย์29:11 “พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้ สำหรับพวกเจ้าเป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า” พระเจ้าทรงวางแผนชีวิตผมไว้ ให้ผมเดินตามทางที่พระองค์ทรงนำมัทธิว5:14-16 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลกนครซึ่งอยู่บนภูเขาจะถูกปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงจะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านนั้นทำนองเดียวกัน พวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวงเพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”  การทำดีของเราจะทำให้คนสรรเสริญพระเจ้าที่เรานมัสการ

ฝากถึงพี่น้องคริสตชน
ผมรู้สึกยินดีให้สัมภาษณ์และยินดีจะทำทุกอย่างเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า สรรเสริญพระองค์และเพื่อให้คนอื่นๆ ได้รู้จักพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามพระเมตตาคุณของพระองค์แม้ว่าเมื่อเข้ามาเชื่อพระเจ้าเราต้องละทิ้งหลายอย่างก็ตามมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีจุดอ่อน บางครั้งเราก็ถูกซาตานชักนำให้หลงผิดได้ เพราะมันพยายามเอาชนะเราให้ได้ เราอาจล้มลง พ่ายแพ้แต่พระเจ้าจะทรงยื่นพระหัตถ์มาช่วยให้เราลุกขึ้นมาใหม่ จงรีบกลับมาหาพระเจ้า เหมือนเด็กที่วิ่งและหกล้ม แต่ต้องลุกขึ้น และรีบวิ่งไปหาพ่อพระเจ้าของเราก็เหมือนกัน ทรงให้อภัยและรอรับการกลับมาของเราอยู่เสมอ และยังทรงพยายามทำทุกอย่างให้เรากลับมาหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเรา

  • คุณอุดม ศรีกุเรชา