เมื่อพระเจ้าทรงตีสอน
ข้าพเจ้าชื่อ นางรัชนี รัตตศิริ อายุ 67 ปี ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ เป็นสมาชิกคริสตจักรที่หนึ่งเชียงใหม่ ข้าพเจ้าเขียนคำพยานนี้เพื่อขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงดูแลข้าพเจ้าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระองค์ทรงตีสอนเมื่อข้าพเจ้าหลงจากทางของพระองค์ในอดีต
และเมื่อข้าพเจ้าสำนึกผิดและขอรับการอภัยโทษ พระองค์ก็มีพระเมตตาต่อข้าพเจ้าซึ่งมากล้นจนสุดที่จะกล่าวถึง ข้าพเจ้าจึงโมทนาขอบพระคุณพระองค์และตั้งใจถวายช่วงชีวิตที่เหลืออยู่นี้เป็นพยานถึงความรักอันไม่มีขอบเขตของพระองค์อย่างแท้จริง
เป็นพระพรของพระเจ้าที่ให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้อ่านวารสาร “คริสตสายสัมพันธ์” ด้วยความเอื้อเฟื้อให้ยืมอ่านจากพี่ศรีวิไล พูนทาจักร ซึ่งร่วมทำพันธกิจอาสาเยี่ยมผู้เจ็บป่วยด้วยกันทุกวันพุธที่คริสตจักรที่หนึ่งเชียงใหม่ ต่อมาข้าพเจ้าอยากให้น้องชายและญาติๆ หลายคนได้อ่านด้วย จึงเขียนมาถึงสมาคมพระคริสตธรรมไทย และทางสมาคมก็ได้กรุณาจัดส่งมาให้ 4 เล่ม ข้าพเจ้าจึงนำไปถ่ายเอกสารแล้วแจกจ่ายต่อไปยังผู้ที่สนใจ ส่วนหนังสือก็นำไปให้ผู้ที่มารับการรักษาแบบ “สัมผัสรัก” ซึ่งมีราว 10-30 คน ในวันอังคารที่ห้องพันธกิจได้อ่านขณะที่เขารอคอยคิวเพื่อจะเข้ารับการรักษา ซึ่งก็ขอขอบคุณทางสมาคมพระคริสตธรรมไทยด้วย ข้าพเจ้าคิดว่านี่ก็เป็นการนำพระพรไปสู่พวกเขาอีกทางหนึ่ง
ต้นตระกูลแห่งความเชื่อ
ขอเล่าถึงพื้นฐานของครอบครัวให้ฟังว่า ตระกูลของเราเป็นคริสเตียนมาตั้งแต่ต้น มีหลักฐานจากหนังสือ “ประวัติที่มาแห่งนามสกุล ชัยนิลพันธุ์-ไชยทิพย์” ของมูลนิธิตระกูล “ชัยนิลพันธ์” โดยคุณชัยยศ ชัยนิลพันธุ์ เป็นผู้รับมอบหมายให้พิมพ์แจกญาติพี่น้อง เล่ากันว่า ต้นตระกูลนี้ชื่อ “หมื่นพันทอง” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ครอบครองเขลางค์นคร(ลำปาง) ท่านได้ช่วยเจ้ากาวิละแห่งเมืองเชียงใหม่รบกับพม่าจนออกไปจากลานนาไทย ท่านมีความเก่งกล้าในด้านไสยศาสตร์ ยิงไม่ออกและฟันไม่เข้า เมื่อเป็นแม่ทัพคุมกำลังไปทำสงคราม ณ ที่ใด ก็จะมีหมอกคลุมเต็มไปหมด เป็นที่เกรงกลัวต่อศัตรูมาก ท่านจึงได้รับอีกสมญานามว่า “เจ้าพ่อหมอกมุงเมือง” ท่านแต่งงานกับหญิงชาวลำปางมีบุตรชายคนเดียวชื่อ นายคำแสน ต่อมาเมื่อสึกออกจากบวชก็ได้รับแต่งตั้งเป็น “แสนอินทยศ” ท่านแต่งงานและมีบุตรทั้งชายและหญิง 6 คน จะขอเอ่ยถึงเฉพาะคนแรกคือ พ่อหมานศรีวิชัย ซึ่งได้รับเอาคริสตศาสนามาเป็นศาสนาประจำตระกูล “ชัยนิลพันธ์” ท่านมีบุตรชายและหญิง 6 คน เช่นกัน ที่อยากเอ่ยถึงคือ นายอินตา นางขันแก้ว นายตาคำ และนายเมืองใจ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษแห่งความเชื่อของลูกหลานทุกคนในตระกูลนี้
บทบาทในวัยเยาว์และการเลี้ยงดู
ข้าพเจ้าเป็นลูกคนโตของพ่อซึ่งรับราชการเป็นอนามัยอำเภอ และแม่ซึ่งขายอาหารกลางวันที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย มีน้องๆ อีก 6 คน ซึ่งเรียนที่โรงเรียนปริ้นสรอยแยลส์วิทยาลัย และโรงเรียนดาราวิทยาลัยเช่นเดียวกับข้าพเจ้า ตอนเป็นเด็กเรายากจนเพราะพ่อเงินเดือนน้อย ต้องไปรับราชการที่ต่างอำเภอ ปลายเดือนจึงจะกลับบ้านมาเยี่ยมแม่และพวกเราครั้งหนึ่ง พวกเราต้องช่วยแม่ทำงานหารายได้จากเพื่อนบ้านทุกอย่างตามแต่เขาจะจ้าง เช่นหน้าลำใยก็รับจ้างคัดลำใยมัดลงใส่เข่ง ตัดจุกกระเทียม ทำขนมและก๋วยเตี๋ยวผัดไทยไปขายให้นักเรียนประจำที่โรงเรียนดาราฯ ในตอนเย็นและวันเสาร์ ทางโรงเรียนก็ให้ข้าพเจ้าและน้องๆ ช่วยงานโรงเรียน และได้รับการยกเว้นเสียค่าเล่าเรียน ข้าพเจ้าเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 8 แผนกอักษรศาสตร์ จากโรงเรียนสหเตรียมปริ้นสรอยส์-ดาราฯ โดยได้คะแนนเยี่ยมจากแผนกนี้ จำได้ว่าเพื่อนที่ชื่อเทพิน สมบัตินันท์ ได้รับคะแนนเยี่ยมแผนกวิทยาศาสตร์ ข้าพเจ้าไม่มีทางที่จะได้เรียนต่อแน่ๆ ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ไฝคำ พันธุพงศ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนดาราวิทยาลัยสมัยนั้น พระคุณของท่านนั้นมีล้นฟ้าต่อชีวิตของข้าพเจ้า เป็นพระพรของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าได้เรียนที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และพักตลอด 4 ปี ที่สำนักกลางนักเรียนคริสเตียนตรงสะพานหัวช้าง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทยด้วย ข้าพเจ้าเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกและสังคมศึกษาเป็นวิชาโท เมื่อจบการศึกษามาแล้วก็กลับมาสอนที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย ข้าพเจ้าแต่งงานกับสามีซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจปีที่ 2 (ปีพ.ศ.2503) เราแต่งงานกันเมื่อปี พ.ศ.2510 แต่พระเจ้าประทานลูกชายให้เราเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2511 เขาเป็นของขวัญล้ำค่าจากพระองค์จริงๆ เพราะเรารอเขามาถึง 6 ปีเต็มๆ
เมื่อแต่งงานแล้ว ข้าพเจ้าก็ย้ายตามสามีไปรับราชการในหลายจังหวัดของภาคอีสาน เช่น ขอนแก่น อุดรธานี เลย กาฬสินธ์ สกลนครและมหาสารคาม รวมเวลาทั้งหมดที่เราอยู่หลายจังหวัดในภาคนี้ 28 ปี ตัวข้าพเจ้าเกษียณก่อนกำหนด (early retire) เป็นรุ่นแรกเมื่อปี พ.ศ.2543 ที่โรงเรียนมหาชัยพิทยาคาร มหาสารคาม ส่วนสามีเกษียณในตำแน่งผู้บังคับการตำรวจจังหวัดมหาสารคามเมื่อปี พ.ศ.2545 เราก็เลยมาปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านสันทราย เชียงใหม่ เพราะข้าพเจ้าเป็นคนรักถิ่นกำเนิดและรู้สึกอบอุ่นที่สุดเมื่อได้อยู่ท่ามกลางพี่น้องในพระคริสต์ที่นี่ และได้กลับมาร่วมนมัสการที่คริสตจักรที่หนึ่งเชียงใหม่อีกครั้ง หลังจากที่จากไปอยู่ภาคอีสานเสียนานทีเดียว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางแผนชีวิตไว้ให้เราทุกคน เพียงแต่ขอให้ราเชื่อและไว้วางใจในพระองค์เท่านั้น
การตีสอนของพระเจ้า
เยเรมีย์ 17:9-10 จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า “เราคือพระเจ้าตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา”
ข้าพเจ้าขอรับสารภาพว่าตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่หลายจังหวัดในภาคอีสาน ข้าพเจ้าเพียงแต่อ่านพระคัมภีร์ ร้องเพลงและอธิษฐานอยู่กับบ้าน แต่ไม่ค่อยได้ไปร่วมนมัสการที่คริสตจักร เพราะบางที่ก็ไกลจากบ้าน บางที่เคยไปร่วมแต่วิธีนมัสการก็ไม่คุ้นเคยและไม่ชอบ บางอาทิตย์ก็ไม่ว่าง มี 2 คริสตจักรที่ไปร่วมบ่อยคือคริสตจักรขอนแก่นและคริสตจักรอุดรธานี จังหวัดสุดท้ายที่อยู่ 5 ปี คือ มหาสารคามก็ไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรนาซารีนซึ่งก่อตั้งใหม่ จึงได้ร่วมถวายของใช้ประจำคริสตจักรหลายอย่างเช่น ตู้เย็น แจกัน ภาพติดผนัง และเครื่องใช้อื่นๆ
จากการห่างเหินจากพระเจ้า พระองค์จึงทรงตรวจค้นดูจิตและทดลองดูใจข้าพเจ้าตามพฤติการที่ข้าพเจ้าได้กระทำ คือราวปลายปี พ.ศ.2539 ข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคตับอักเสบแบบแพ้ภูมิตัวเอง (Auotin…… Hepatitis) คล้ายๆ โรค SLE หรือคนมักเรียกง่ายๆ ว่า “โรคพุ่มพวง” ข้าพเจ้าต้องจากอุดรฯ มาเพื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ขอนแก่น ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคนี้ประจำอยู่ ขออนุญาตเอ่ยชื่อท่านคือ น.พ.พิศาล ไม้เรียง ท่านตรวจดูอาการและค้นหาอยู่หลายวันจึงรู้ว่าข้าพเจ้าป่วยเป็นโรคนี้ ซึ่งน้อยคนจะป่วยเพราะ “แพ้ภูมิตัวเอง” เพราะคนอื่นที่ป่วยมีแต่เป็นโรค “ภูมิแพ้” (เช่น แพ้อากาศ, แพ้อาหารทะเล, แพ้ขนสัตว์, แพ้ฝุ่น ฯลฯ) ข้าพเจ้านอนป่วยอยู่ราว 3 เดือน ตอนนั้นสามียังทำงานอยู่ที่อุดรฯ แต่จะมาเฝ้าทุกวันโดยขับรถจากขอนแก่นไปอุดรฯ วันละ 200 เท่ากิโลเมตรทุกวัน เย็นวันหนึ่งเมื่อเขาไปพบหมอพิศาลตามที่พยาบาลมาตามตัว หมอบอกว่าให้ทำใจนะเพราะภรรยาคุณเป็น 1 ใน 5 ของ 100 คนที่ 95 คนหาย 4 คนเป็นแบบเรื้อรังและ 1 คนที่เสียชีวิต สามีเข่าอ่อนทันที และร้องขอให้หมอช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย เพราะลูกชายก็ยังเรียนปริญญาโทไม่จบ และการบริหารงานในบ้านเขาไม่รู้เรื่องเลย ลูกชายจึงรีบบินกลับมาจากแคนซัส และแม่ก็บินจากเชียงใหม่ไปดูแลข้าพเจ้าด้วย จากคำบอกเล่าถึงอาการป่วยหนักของข้าพเจ้าจึงมีพี่น้องคริสเตียนในขอนแก่น และพี่น้องคาธอลิกจากโรงเรียนมหาไถ่ศึกษาชาย ที่ลูกชายเคยเรียนอยู่ก็พากันมาอธิษฐานล้อมรอบเตียงข้าพเจ้าหลายกลุ่ม ตัวข้าพเจ้าเองไม่รู้เรื่องเลย ได้แต่หลับลูกเดียว ในการหลับนั้นมีนิมิตที่จำได้จนบัดนี้ว่า ข้าพเจ้าบินไปบนฟ้า ผ่านก้อนเมฆบางๆ เบาๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อจะไปยังแสงสว่างที่อยู่ตรงเบื้องหน้าโน้น มองไปข้างล่างก็เห็นเป็นทุ่งหญ้าสีเขียว มีดอกไม้หลายสี บางที่ก็เหมือนมีแม่น้ำลำธารไหลผ่าน บางที่ก็เป็นเหมือนโบสถ์ที่มีหลังคาปลายแหลมๆ บนภูเขา อากาศดูเย็นสบาย จิตใจตอนนั้นเรียบสงบและมีสันติสุขอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกปราศจากความเจ็บปวด ความทรมานและความทุรนทุรายใดๆ ทั้งสิ้น รู้แต่ว่ามี “พลังชีวิต” ที่อยากจะบินไปจนถึงแสงสว่างเบื้องหน้าโน้น ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าที่นั่นคงเป็นเมืองบรมสุขเกษม เป็นที่ที่พระเจ้าทรงรอเราอยู่ ความรู้สึกในตอนนั้นคล้ายกับที่ปรากฏในเพลง “เข้าใกล้พระเจ้าเข้าไป” ที่กล่าวว่า
“ด้วยปีกแห่งความยินดี บินสู่ฟ้าไกล
ลืมเดือนตะวันดวงดาว สู่เมืองวิไล
ข้ายังร้องเพลงถวาย เข้าใกล้พระเจ้าเข้าไป เข้าใกล้พระเจ้าเข้าไปอยู่ในพระองค์”
แต่ด้วยพระเมตตาของพระเจ้า นั่นเป็นเพียงแค่การตีสอนของพระองค์เท่านั้น วิญญาณข้าพเจ้าจึงยังบินไปไม่ถึงพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อตื่นขึ้นมาหมอบอกว่า ข้าพเจ้าอาการหนักมากในเย็นวันนั้นจนเป็นที่วิตกแก่ผู้คนรอบข้าง ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงตีสอนให้ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกผิดที่หลงจากทางของพระองค์
ขอบพระคุณพระเจ้า
ด้วยสำนึกในพระเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอถวายความสามารถ “ตะลันต์” ที่ข้าพเจ้ามีอยู่เพื่อรับใช้พระองค์เท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองคริสตจักรที่หนึ่งเชียงใหม่ ทำงานร่วมกับคณะธรรมกิจ ร่วมทีมอาสาทำพันธกิจเยี่ยมผู้ป่วยทุกวันพุธ ช่วยทำพันธกิจ “สัมผัสรัก” วันอังคาร ช่วยในทีมทำพันธกิจที่โรงพยาบาลแม็คคอร์มิค ช่วยต้อนรับผู้มาร่วมนมัสการที่คริสตจักรในเช้าวันอาทิตย์ ใจข้าพเจ้านั้นอยากตอบแทนพระเมตตาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพระองค์ได้ประทานพระพรให้ข้าพเจ้าอย่างล้นเหลือ สามียังไม่รับเชื่อแต่เขาก็ออมเงินในกระปุกออมสินฝากไปถวาย และเมื่อเรามีงาน “pot luck” ของสมาชิกกลุ่มบ้านธารแก้ว ณ บ้านใด เขาก็จะไปร่วมแทบทุกครั้ง โมทนาพระคุณพระเจ้าที่ลูกชายก็จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และตอนนี้ก็ไปทำงานในตำแหน่งวิศวกรอาวุโสของบริษัท Cummins Business Sewices ที่เมือง Clumbus รัฐ Mdiana สหรัฐอเมริกา ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้รับพระพรล้นเหลือคือ ผลจากการตรวจเลือด หมอบอกว่า ลองหยุดยาที่ทานมา 11 ปี ได้แล้ว เพราะดูจากผลเลือดที่แสดงอาการตับอักเสบค่อนข้างปกติ เพียงแต่ต้องระวังเรื่องอาหาร ความเครียด ไม่ถูกแสงแดด และไม่เข้าใกล้ชุมชนมากๆ เกรงว่าจะติดเชื้อง่ายเท่านั้น
ข้าพเจ้าขอจบคำพยานของข้าพเจ้าด้วยการตั้งใจทำพันธกิจซึ่งจะเป็น “ท่อพระพร” นำความรักและความเมตตาจากพระเจ้าไปสู่ผู้อื่น จึงขอฝากพระวจนะโรม 12:2 “อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”
ข้าพเจ้าขอเชิญชวนและท้าทายท่านผู้อ่านให้มารับการสัมผัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเมื่อท่านรู้จักกับพระองค์แล้ว พระองค์สัญญาว่า
“เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขาเราจะอยู่กับเขาในยามลำบากเราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขาเราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาวและสำแดงความรอดของเราแก่เขา”สดุดี 91:15-16
ขอให้พระนาม พระเกียรติ และพระสิริของพระเจ้าเป็นที่เทิดทูนของเหล่ามนุษย์ในโลกนี้ตลอดไป อาเมน
- คุณรัชนี รัตตศิริ