ผมขอให้ผู้อ่านลองนึกภาพภาพหนึ่งไปพร้อมๆ กับผม แต่ไม่ต้องหลับตานะครับเพราะจะทำให้ท่านอ่านเรื่องนี้ต่อไปไม่ได้ ในภาพมีชายสองคนที่มีฐานะตำแหน่งเท่าเทียมกันทุกอย่าง และต่างก็เป็นเจ้านายของ “นางสาวแจ๋ว”ด้วยกันทั้งคู่ วันหนึ่งเจ้านายทั้งสองนี้เกิดต้องการเรียกใช้ “นางสาวแจ๋ว” พร้อม ๆ กัน “แจ๋ว” จึงวิ่งเข้าไปหาเจ้านายที่ดุกว่าก่อน แต่แล้วเสียงอีกฝ่ายหนึ่งก็ดังขึ้น แจ๋วก็รีบวิ่งขาขวิดมารับหน้าฝ่ายนี้ ทันทีนั้นนายคนแรกก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงที่ดังกว่า แจ๋ววิ่งไปวิ่งมาทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะรับใช้นายทั้งสองคนได้ในเวลาเดียวกัน
ในพระธรรมมัทธิว 6:24 กล่าวว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะว่าเขาจะชังนายข้างหนึ่งและรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้” พระเยซูทรงสอนสาวกของพระองค์ว่าเราไม่สามารถรับใช้เจ้านายสองคนในเวลาเดียวกันได้ แท้จริงแล้วเรื่อง “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” เป็นคำพูดที่เราคุ้นเคยและเข้าใจความหมายพอสมควรอยู่แล้ว แต่ผมขอยกตัวอย่างโดยประยุกต์ใช้กับเรื่องใกล้ตัวที่เข้าใจง่ายๆ เช่น หากเราเป็นแฟนทีมฟุตบอลลิเวอร์พูล เราก็จะเหนียวแน่นกับทีมนี้และไม่เชียร์ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หรือคนที่อยู่ฝ่ายธรรมะย่อมไม่รับใช้ฝ่ายอธรรม ถ้าเราตัดสินใจที่จะอยู่กับทั้งสองฝ่ายก็คงจะมีปัญหาแน่ๆ ลองคิดภาพแฟนทีมลิเวอร์พูลใส่เสื้อหงส์แดง แต่กลับไปนั่งเชียร์ทีมแมนยูฯ บนอัฒจันทร์ที่มีคนใส่เสื้อผีแดง หรือภาพของคนโฆษณา “เป๊ปซี่” แต่กลับกำลังดื่ม “โค้ก” อยู่ คงจะเป็นภาพที่แปลกมากทีเดียว ผู้ที่พบเห็นก็อาจจะรู้สึกงงว่า “เอ๊ะ…จะเลือกฝ่ายไหนกันแน่”
หลายคนคิดว่าพระธรรมมัทธิวตอนนี้ พระเยซูกำลังพูดกับคนจำนวนมากบนภูเขา แต่แท้จริงแล้วพระเยซูกำลังพูดกับสาวกสิบสองคนของพระองค์เท่านั้น นั่นหมายความว่าพระองค์กำลังพูดกับผู้เชื่อวางใจในพระองค์ หลายครั้งที่ชีวิตของผู้เชื่อในพระเยซูก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกับ “แจ๋ว” ซึ่งมีนายสองคน ในชีวิตของเรามีโลกเป็นนายคอยกำหนดเวลา ตารางชีวิต โดยที่จิตใต้สำนึกเรารู้ว่าจุดมุ่งหมายและเจ้านายที่แท้จริงของเราคือพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงวิ่งไปวิ่งมาระหว่างความต้องการของโลกและความต้องการของพระเจ้า ระหว่างความจำเป็นในการยังชีพและความต้องการในการรับใช้พระเจ้า แน่นอนที่การทำอย่างนั้นทำให้เราแต่ละคนคงจะเหนื่อยไม่น้อย
ในพระธรรมมัทธิว 11:28 หนุนใจเราว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” พระเยซูเป็นพระเจ้าที่เห็นใจและเข้าใจในความเหน็ดเหนื่อยและภาระหนักที่เรารับอยู่ พระองค์เป็นเจ้านายที่ไม่ดุไม่ว่าเรา แต่เชื้อเชิญให้เราเชื่อฟังพระองค์
คำถามมีอยู่ว่า เราจะอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้าได้อย่างไรในเมื่อเราต้องอยู่เพื่อโลกด้วย คนที่เป็นพ่อแม่ต้องอยู่เพื่อลูก ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และหาค่าเล่าเรียนให้ลูก ส่วนคนที่เป็นลูก ก็มีเรื่องที่อยากจะทำตามใจตนเองมากมาย
ผมมีคำตอบว่าเราจะต้องมีชีวิตอยู่ “เพื่อจะเข้าไป” และ “เพื่อจะออกไป” อ้าว! แล้วมันยังไงกัน อย่าเพิ่งงงนะครับ
“อยู่เพื่อจะเข้าไป”
ให้เรามาดูชีวิตพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของการ “อยู่เพื่อจะเข้าไป” พระองค์รู้แน่ชัดว่ามีวิธีเดียวที่พระองค์จะเข้าถึงมนุษย์ได้คือการที่พระองค์ต้องเข้าไปในโลก เข้าไปในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เข้าไปในปัญหา เข้าไปในเหตุการณ์จริงของสังคม ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Incarnation พระองค์ใช้เวลาและพลังกายทำงานเป็นช่างไม้อยู่ถึง 30 ปี ใช่แล้ว! 30 ปีแรกของพระเยซู พระองค์ทำงานหนักเหมือนกับเรา และอาจจะหนักกว่าเราอีกหลายๆ คนก็เป็นได้ แต่ที่สำคัญที่สุด พระองค์รู้จุดประสงค์ของการเข้ามาในโลก พระองค์ยึดจุดมุ่งหมายนั้นแน่วแน่ ถึงแม้พระองค์จะเป็นแค่ช่างไม้ แต่ผมก็มั่นใจว่าพระองค์เป็นช่างไม้ที่ขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้อย่างแน่นอน ตัวเราเองก็น่าจะมีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกันกับพระองค์คือ “อยู่เพื่อเข้าไป” เข้าไปในโลก เข้าไปในชีวิตของคนรอบข้าง เข้าไปในสถานการณ์และความยากลำบากของเพื่อน พูดอีกนัยหนึ่งคือการเอาตัวของเราเข้าไปอยู่ในสถานภาพเดียวกันกับอีกคนหนึ่ง
เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นผมมีตัวอย่างจะเล่าให้ฟัง เมื่อตอนผมเป็นเด็กผมชอบทานโจ๊กกับปาท่องโก๋มาก แต่ทุกครั้งที่เจ้าของร้านเอาโจ๊กมาให้ ผมต้องนั่งรออยู่อีกเกือบ 10 นาทีกว่าโจ๊กจะเย็น คุณพ่อผมเคยสอนว่าเวลาทานของร้อนๆ ให้ทานจากขอบชามก่อนเพราะชามมันจะช่วยให้โจ๊กเย็นลง แต่ทานไปได้ไม่กี่คำส่วนที่อยู่ติดกับชามโจ๊กก็หมดต้องนั่งรอต่อไป พ่อบอกว่าให้เอาน้ำแข็งใส่ลงไป ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาดเพราะโจ๊กเย็นลงโดยเฉพาะส่วนที่อยู่ใกล้น้ำแข็ง เมื่อน้ำแข็งละลายตัวเองจากของแข็งเป็นของเหลว โจ๊กที่เป็นของเหลวและร้อนก็เปลี่ยนเป็นของเหลวที่เย็นลง องค์พระเยซูคริสต์ของเราไม่ได้แปรสถานะจากของแข็ง (น้ำแข็ง) เป็นของเหลว (โจ๊ก) แต่จากพระเจ้ามาเป็นมนุษย์ ทรงเปลี่ยนอุณหภูมิโลกและเปลี่ยนทุกอย่างอย่างสิ้นเชิง ตัวเราเองน่าจะตัดสินใจเลียนแบบพระเยซูผู้เป็นเจ้านายที่แท้จริงของเรา มีจุดประสงค์ที่จะ “incarnate” คือเอาตัวเราเข้าไปมีส่วนในชีวิตของคนอื่นไม่ว่าจะคนในเป็นครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย เพื่อนที่โรงเรียน/มหาวิทยาลัย และคนอื่นๆ อีกมากมาย ในทุกนาทีของการดำเนินชีวิตตั้งแต่ตื่นนอน ออกจากบ้านไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ กลับบ้าน ดูทีวี และเข้านอน เป็นการ “อยู่เพื่อเข้าไป” อยู่เพื่อรับใช้พระเจ้าโดยการเข้าถึงเขาเหล่านั้น เพื่อจะเข้าใจเขา
“อยู่เพื่อจะออกไป”
คุณกำลังสงสัยใช่ไหมครับว่า ผมจะเอาอย่างไรแน่ ก่อนหน้านี้จะให้มีชีวิตอยู่ “เพื่อจะเข้าไป” แต่ตอนนี้มาบอกว่าให้มีชีวิตอยู่ “เพื่อจะออกไป” เสียแล้ว ฟังดูสับสน
การจะ “เข้าไป” ที่ไหนสักแห่ง จะต้องมีการ “ออกไป” จากอีกที่หนึ่งก่อน เช่น ถ้าเราตื่นขึ้นมาตอนเช้าเพื่อจะเข้าห้องน้ำ เราก็ต้องลุกออกจากที่นอนก่อน หากเราจะเข้าทำงานที่ใหม่ เราต้องออกจากที่ทำงานเก่าก่อน การออกไปจากที่หนึ่งจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่จะเข้าไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง พระเยซูคริสต์เองจำเป็นต้อง “ออกไป” จากสวรรค์ซึ่งก็คือการสละสถานภาพความเป็นพระเจ้าของพระองค์ก่อนจะเสด็จเข้ามาในโลกโดยการบังเกิดเป็นมนุษย์
ประเด็นสำคัญของคำว่า Incarnation อีกประการหนึ่ง คือการออกจากตัวตน ตำแหน่ง หรือมาตรฐานของโลกดังที่ได้กล่าวไว้ในพระธรรม ฟิลิปปี 2: 5-8 ว่า “จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน”
ก่อนที่มิชชันนารีจะเข้ามาในเมืองไทย เขาต้องออกจากประเทศของเขา การออกไปแบบนี้เป็นแบบเดียวกับที่พระเยซูคริสต์ตรัสสั่งไว้ในพระธรรมมัทธิว 28 :19 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา…” เป็นการย้ายตัวของเราจากสถานที่หนึ่งไปอีกสถานที่หนึ่งเพื่อการประกาศพระกิตติคุณ แต่การ “ออก” อีกแบบหนึ่งซึ่งสำคัญมาก และเป็นสูตรลับเฉพาะของ Incarnation คือการออกจากตัวตนและกลายสภาพเป็นคนใหม่ มิชชันนารีต้องเอาความเป็นชาวตะวันตกออกไป ต้องหัดพูดภาษาใหม่ รับประทานอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ เพื่อที่จะมาถึงจุดประสงค์เดียวกันกับพระเจ้าองค์เจ้านาย คือการเข้าไปและเข้าใจคนที่อยู่รอบข้าง
เรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมคือการต้องออกจากพื้นที่สุขสบายส่วนตัว (Comfort Zone) แต่ละคนจะมีพื้นที่ส่วนตัวแตกต่างกันไปและเราจะรักส่วนนี้มาก เราไม่ต้องการที่จะออกไปจากพื้นที่นี้และไม่ต้องการให้ใครรุกเข้ามา แต่ด้วยหลายๆ สาเหตุในหลายๆ ครั้ง เราก็จำเป็นต้องออกจากพื้นที่ส่วนตัวของเราเพื่อคนอื่น การออกเพื่อเข้าไปและเข้าใจผู้อื่นจึงเป็นการเสียสละอย่างที่เราได้เห็นพระเยซูทำ คือการยอมสละความเป็นพระเจ้าลงมารับสภาพมนุษย์ และบนไม้กางเขนนั้นพระองค์ยอมสละความเป็นมนุษย์มาเป็นคนบาป อันนี้เองที่ผมเรียกว่า “การออกไป” อย่างแท้จริง ตัวของเราเองต้องก้าวออกไปเพื่อพูดคุยกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย เพื่อนที่ทำงาน ต้องออกปากชวนเขามาเที่ยวคริสตจักร ออกเงินเลี้ยงขนมเลี้ยงอาหารเขาบ้าง ออกจากใจของเราไปนั่งอยู่ในใจของผู้อื่น แล้วเราเองจะได้รู้ว่าพระเยซูรู้สึกอย่างไร
ภาพที่จะช่วยอธิบายเรื่องของ Incarnation ได้ดีภาพหนึ่งคือ กาแฟ เราทุกคนคงรู้จักกาแฟดำนะครับ เมื่อเราเทนมข้นลงไปในกาแฟดำ นมนั้นก็จะไปกองรวมกันที่ก้นแก้ว หากแก้วนั้นเป็นแก้วใสเราจะเห็นว่านมข้นสีขาวอยู่ด้านล่าง และกาแฟดำอยู่ด้านบน สิ่งที่สวยงามเกิดขึ้นเมื่อเราหยิบช้อนมาคนให้ทั้งสองสิ่งผสมเข้ากันอย่างดี กาแฟและนมต่างแปรสภาพของตนเองให้กลมกลืนกัน จะไม่มีการแบ่งแยกสีดำสีขาวอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นสีใหม่คือสีน้ำตาล และนี่แหละคือ Incarnation การแปรสภาพของเราให้เข้าไปในชีวิต ในความทุกข์ ในปัญหาของเพื่อน รับเอาความขมขื่นในชีวิตของเขามาอยู่ในตัวเรา และใส่ความหวานของพระเยซูที่อยู่ในตัวเราลงไปในสถานการณ์ในชีวิตของเขา ผมแปลกใจที่มีนมข้นหวานยี่ห้อหนึ่งที่นิยมใช้กับกาแฟอย่างแพร่หลาย จนกล่าวได้ว่าคิดถึงนมข้นใส่กาแฟต้องคิดถึง Carnation (ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ) แต่ผมอยากจะเปลี่ยนใหม่ว่าทุกครั้งที่คุณดื่มกาแฟ ขอให้คิดถึงพระเยซูคริสต์นะครับ
อ.วาระ มีชูธน