เสียดายถ้าตายก่อนได้อ่าน
องค์การอนามัยโลก(WHO) เปิดเผยว่า ทั่วโลกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 2,000 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของประชากรโลก เฉลี่ยแล้วดื่มคนละ 6.13 ลิตรต่อปี ทั้งที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นอันตราย และเป็นสาเหตุก่อโรค มากกว่า60 โรค ประเทศไทยเองสำรวจพบว่าเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15-25 ปี มีอัตราการดื่มสุราสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่น คือประมาณ 23.7%(สำนักงานสถิติแห่งชาติ ตั้งแต่ 2549-2554 ) เราอาจพอสรุปได้ว่าเมื่อคนเราอายุยังน้อย ยังเป็นวัยรุ่นอยู่นั้น เรามักใช้ชีวิตอย่างประมาท เพราะต่างก็คิดว่าเรายังมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้อีกมาก
จากสถิติพบว่าโลกของเรา มีคนตาย3 คน/วินาที แสดงว่าในทุกหนึ่งนาทีมีคนตาย 180 คน และทุกๆ ชั่วโมงจะมีคนตาย 11,000 คน ความตายเป็นความยุติธรรมที่มีมาถึงมนุษย์เราทุกๆคน ผมมักจะได้ยินคำเทศนา ในพิธีไว้อาลัยว่า “โลงศพไม่ได้มีไว้สำหรับคนชราแต่มีไว้สำหรับคนตาย” เราทุกคนหากมีเวลาคิดใคร่ครวญ ต่างก็สามารถตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้ไม่ยาก แต่เราต่างมีการตอบสนองต่อเรื่องนี้แตกต่างกันไป นอร์มา จีน มอร์เทนสัน(เบเกอร์) หรือชื่อในวงการแสดงว่า มาริลิน มอนโรกลัวความแก่และมีรูปร่างไม่สมส่วน เธอตายเมื่ออายุได้ 36 ปี โดยสาเหตุการตายระบุว่าร่างกายเธอได้รับยาแอนนีมา ซึ่งเธอใช้เป็นยาลดความอ้วนเกินขนาดจนเกิดอาการช็อกและเสียชีวิต จิ๋นซี ฮ่องเต้ ปฐมกษัตริย์ของจีน พยายามปฏิเสธความตายด้วยการเสาะหายาอายุวัฒนะ ยามใกล้สวรรคตพระองค์ทรงสร้างกองทัพหุ่นจากดินและหิน เพื่อไปต่อสู้กับมัจจุราชในนรกคนหลายคนพยายามกอบโกยความสขุในแบบที่ตัวเองพอใจ ในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ มีแล้วก็อยากมีอีก มีมากแล้วก็อยากมีมากขึ้นอีกมหาตมะคานธี อดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในอินเดีย กล่าวว่า “ทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งโลกเพียงพอสำหรับที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลกแต่ไม่เพียงพอ ที่จะหล่อเลี้ยงความโลภของคนเพียงคนเดียว” หากเราตอบสนองต่อความจริง เรื่องความตายนี้อย่างไม่ถูกต้องเราอาจเข้าข่ายพวกใดพวกหนึ่งต่อไปนี้ คนประเภทแรก“ไม่รู้ว่าวันเวลามีจำกัด จึงใช้แต่ละวันอย่างไร้ค่า” หรือคนประเภทต่อมา “รู้ว่าวันเวลามีจำกัด แต่กลับเลือกใช้เวลากับสิ่งที่ไร้ค่า” ไม่ว่าจะเป็นคนจำพวกไหนหนึ่งในสองแบบนี้ก็นับว่าน่าเสียดายจริงๆ วันนี้ผมอยากแบ่งปันข้อคิดความจริงจากความตายในพระธรรมปัญญาจารย์บทที่ 7 เพื่อเตือนใจให้เราสามารถใช้เวลาทุกวันของเราอย่างมีค่าบนโลกใบนี้
ข้อคิดประการแรก
“จงสะสมสิ่งที่นำติดตัวไปได้หลังจากความตาย” ปัญญาจารย์ 7:1 กล่าวว่า “ชื่อ เสียงดีก็ดีกว่าน้ำมันหอมอย่างดี และวันตายก็ดีกว่าวันเกิด” น้ำมันหอมนั้นมีความหมายถึงความสนุกสนาน และความมั่งคั่ง เป็นสิ่งที่คนจำนวนมากในโลกปรารถนาและเลือกสะสมไว้จนมากมายจนลืมความเป็นความจริงที่ว่าเราต้องตายสักวันหนึ่ง และสิ่งของเหล่านั้นความสนกุสนานเหล่านั้นเป็นเหมือนกับน้ำหอมที่มีกลิ่นเพียงชั่วคราว และไม่สามารถนำติดตัวไปหลังจากความตายได้มี เพียงชื่อเสียงที่หมายถึงชีวิตของเรานั้นได้สร้างคุณประโยชน์และสร้างมรดกที่ดีงามไว้อย่างไรเท่านั้นที่จะดำรงอยู่และสืบทอดต่อไป ในพระธรรมวิวรณ์ 14:13กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์ กล่าวว่า “จงเขียนไว้เถิดว่าตั้งแต่นี้ไปคนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสุข” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้นพวกเขาจะได้หยุดพักจากการตรากตรำของเขาเพราะการงานที่พวกเขาได้ทำนั้นจะติดตามเขาไป” ชื่อเสียงดี ก็คือการงานที่เราทั้งหลายได้กระทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านั้นพระคัมภีร์บอกว่าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะติดตามเราไป ไม่ว่าเราต้องการให้เป็นอย่างนั้นหรือไม่ก็ตามสิ่งที่เราทำทั้งหมดจะติดตามเราไปอย่างแน่นอน วันตายก็ดีกว่าวันเกิด เพราะวันตายเป็นประตูที่เรารู้ว่าเราสามารถหยุดจากการงานตรากตรำบนโลกนี้ไปพักสงบอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้แต่ถ้าเราสิ้นคิดและใช้ชีวิตไปอย่างไร้สาระวันตายของเราก็น่ากลัวยิ่งนัก
ข้อคิดประการที่สอง
“ใส่ใจความจริงของชีวิต ในขณะที่ยังมีโอกาส” ปัญญาจารย์ 7:2 กล่าวว่า “ไปยังเรือนที่มีการคร่ำครวญก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกันเพราะนั่นเป็นวาระสุดท้ายของมนุษย์ทุกคนและผ็ที่ยังมีชีวิตอยู่จะเอาเหตุการณ์ใส่ไว้ในใจ ” แน่นอนว่าการไปร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสต่างๆ เป็นสิ่งที่สมควร แต่ก็มักเป็นความจริงด้วยว่าเมื่อมีโอกาสไปร่วมงานเลี้ยงฉลองต่างๆ เรามักสนุกสนานกับการกินและดื่ม บางครั้งก็วิจารณ์รสชาติ ของอาหารว่างงานนั้นอร่อย แต่งานนี้ไม่ได้เรื่อง ถ้าหนักเข้าเราก็อาจรู้สึกอิจฉาคนจัดงานใหญ่ๆหรืออาจดูถูกคนที่จัดงานเล็กๆ และสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ให้ประโยชน์กับชีวิตของเรามากมายนักผมต้องขอบพระคุณพระเจ้า อย่างมากที่นำผมมารับใช้ พระเจ้าที่คริสตจักรสาธร โดยเฉพาะมีหน้าที่ที่มักเกี่ยวข้องกับพิธีไว้อาลัย ผมจึงได้อยู่ในงานศพบ่อยกว่าคนทั่วๆไป ทุกครั้งที่ฟังคำเทศนา ทุกครั้งที่สัมผัสการสูญเสียทำให้ผมและแขกผู้มาร่วมงานเห็นถึงความอนิจจังของชีวิต ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมตระหนักว่าต้องพยายามไขว่คว้าหาสิ่งที่มีความหมายกับชีวิต และนี่เป็นเหตุผลประการหนึ่งที่สนับสนุนให้ผมตัดสินใจมารับใช้พระเจ้า
ข้อคิดประการที่สาม
“เลือกปรึกษากับคนที่มีปัญญา” ปัญญาจารย์ 7:5 กล่าวว่า “ฟัง คำตำหนิของคนที่มีปัญญายังดีกว่าฟังเพลงของ คน เขลา” เรื่องนี้ฟังดูธรรมดาจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่มักทำตรงกันข้ามเสมอเรามักแสวงหาคำปรึกษาที่ถูกใจเรา มากกว่าคำปรึกษาที่ให้ปัญญากับเรา ในพระธรรม1พงศ์กษัตริย์บทที่ 12 กษัตริย์เรโหโบอัมลูกชายของซาโลมอนเลือกที่จะเชื่อเพื่อนที่โตมาด้วยกันมากกว่าเชื่อที่ปรึกษาของพระบิดา เป็นเหตุให้ราชอาณาจักรของพระองค์แตกเป็นเสี่ยงๆ และเป็นที่มาของความบาดหมางระหว่างอาณาจักรเหนือและใต้ คืออิสราเอลและยูดาห์ ผมเองเป็นนักจิตวิทยา และให้คำปรึกษาคนมีปัญหาหลายคน ผมพบความจริงว่า แม้ผมจะสามารถทำให้ทุกคนที่มาขอคำปรึกษา มองเห็นทางเลือกที่ดีที่สุดได้ แตไม่ใช่ทุกคน ที่เลือกทางดีนั้น คนที่สูบบุหรี่ส่วนใหญ่รู้ถึงผลที่ตามมาของมัน คนที่เลือกคบแฟนที่ไม่เป้นคริสเตียน เคยเห็นตัวอย่าง ของครอบครัวที่ล่มสลายมาหลายคุ่ แต่ความต้องการของเขาก็บดบังความจริงนี้จนมีคนบอกว่า “ความรักทำให้ตาบอด” พ่อแม่คริสเตียนหลายคนทุ่มพาลูกไปเรียนพิเศษวันอาทิตย์ เพราะกลัวว่าลูก จะเรียนสู้คนอื่นไม่ได้ แต่กลับไม่สนใจว่าลูกจะมีชีวิตนมัสการอย่างไร จะสามารถเติบโตฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร การละเลยคำแนะนำของผู้ที่มีปัญญาจึงเป็นเรื่องที่โง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า อย่าปล่อยให้ทุกอย่างสายเกินแก้ จงมองหาคนที่ติดสนิทกับพระเจ้า คนที่มีพระวจนะในชีวิต เพราะพวกเขาจะให้คำแนะนำที่ทำให้ท่านมีปัญญาจากพระเจ้า
ข้อคิดประการที่สี่
“ใช้ชีวิตผิดๆคนฉลาดก็กลายเป็นคนโง่ได้” ปัญญาจารย์ 7:7 กล่าวว่า “แท้จริงการกดขี่ข่มเหงทำให้ผู้มีปัญญาโง่ ไปและสินบนก็ทำลายสามัญสำนึกเสีย”เมื่อใดที่คนมีปัญญาใช้ปัญญาของตนในการเอาเปรียบผู้อื่นหรือเรียกให้เข้าสมัยก็คือการคอรัปชั่นพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อนั้นเขาก็กลายเป็นคนโง่ไป เมื่อใดคนฉลาดรับอามิสสินจ้าง เงินใต้โต๊ะหรือสินบน ช่วยจัดแจงอะไรบางอย่างให้คนอื่นได้ประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม พระคัมภีร์กล่าวว่าเมื่อนั้นคนฉลาดก็กลับกลายเป็นคนโง่ได้ ดังนั้นเมื่อท่านทราบความจริงข้อนี้แล้ว จงอย่าเอาเปรียบผู้อื่นอย่าแซงคิวอย่าลำเอียง เพราะการกระทำเช่นนั้น ท่านกำลังทำให้ตัวท่านเองกลายเป็นคนโง่ และเป็นการใช้ชีวิตที่โง่เขลาในสายพระเนตรพระเจ้า
ข้อคิดประการสุดท้าย
“อดีตคือบันไดสำหรับปัจจุบัน” ปัญญาจารย์ 7:10 กล่าวว่า “อย่า ว่า “ทำไมอดีต ดี กว่า ปัจ จุ บัน?” เพราะ ที่ เจ้า ถาม เช่น นั้น ไม่ ได้ ถาม ด้วย ใช้ ปัญ ญา” เรามักได้ยินคำพูดประชดประชันว่า คนที่ชอบพูดถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตบ่อยๆ คือคนแก่แท้ที่จริงแล้วการเล่าและระลึกถึงอดีตไม่ใช่เรื่องผิด แต่การนำเอาอดีตมาเปรียบเทียบกับปัจจุบันและนึกท้อแท้ว่า เราแก่มากแล้ว หย่อนไปเสียทุกอย่าง เว้นแต่หูที่ตึงคนที่มัวแต่มกมุ่นอยู่กับ เรื่องในอดีต มากจนเกินไปต่างหาก ที่เหมือนคนที่กำลังขุดหลุมฝังศพให้ตัวเอง เพราะเขาจะรู้สึกเพียงว่าชีวิตในปัจจุบันช่างไร้ความหมายยิ่งนัก แต่เราควรให้อดีตเป็นเหมือนขั้นบันไดที่นำพาชีวิต ในปัจจุบันให้มีคุณค่าต่อผู้อื่นมากขึ้นเรื่อยๆ หากเรานึกถึงแต่สิ่งที่เราเคยมีแต่เดี๋ยวนี้ไม่มี เราก็ขาดพระพรของพระเจ้า เพราะแม้จะไม่มีความหนุ่มสาว ท่านก็มีประสบการณ์ ท่านมีใจที่เยือกเย็นขึ้นผ่านทุกข์ร้อนผ่านการอ่านพระวจนะมามาก ว่าคนอื่นๆมากเพียงพอที่จะสอนและแบ่งปัน และสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีได้ อายุที่มากขึ้นอย่างมีคุณภาพ และเติบโตโดยมีพระวจนะเป็นฐานในชีวิตจะทำให้ท่านเป็นผู้นำที่ดีทั้งในการบริหารและดีทั้งฝ่ายจิตวิญญาณ อย่าลืมว่าอดีตนั้นเป็นเหมือนขั้นบันไดนำเรามาสู่ปัจจุบัน ในฐานะคริสเตียนเราก้าวเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นทุกวัน วันเวลาของเราที่ลดลงเรื่อยๆ จึงควรเป็นเหมือนบันไดที่พาเราไปใกล้พระองค์ เป็นบันไดที่นำพาชีวิตของเราให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราเดินขึ้นบันได คงไม่มีใครนึกอยากจะใช้ชีวิตและนอนลงระหว่างบันไดทางขึ้น อดีตเป็นเรื่องที่น่าขอบคุณ และปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่น่าท้าทาย
พระเจ้าปรารถนาให้เราทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีปัญญา พระเจ้าใช้บทเรียนชีวิต ความตาย การจากลา เพื่อกระตุ้น เตือนให้เรามองหาสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเพื่อให้เราเรียนรู้ ทั้งจากสิ่งที่ดีและร้าย อย่ารอจนเราต้องไปนอนบนเตียงผู้ป่วย เราถึงจะตระหนักถึงความจริงของชีวิต ไม่ว่าวันนี้ต้นทุนชีวิตของเรา จะเหลืออยุ่มากน้อยสักเท่าไหร่ ผมหวังใจว่าพระวจนะของพระเจ้า จะหนุนใจทุกท่าน ให้ตระหนักถึงความจริงของชีวิต และทำให้เราไม่ต้องเสียดายกับทุกช่วงในชีวิตของเรา ขอพระเจ้าอวยพรครับ
- อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Wirestock – Freepik.com