โปรดฟังเฉพาะ… คนฉลาด
ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็กๆ เวทีรับฟังความเห็นของคนทั่วไปจะอยู่ที่ร้านกาแฟที่มีบรรยากาศแบบจีนโบราณ ผมยังจำได้ว่าทุกครั้งที่คุณปู่ให้เงินไปซื้อกาแฟร้อนที่ใส่กระป๋องนมข้นหวานผูกเชือก ผมจะแอบฟังผู้ใหญ่เขาพูดกันเรื่องข่าวการเมืองบ้าง ข่าวสังคมบ้าง หลายครั้งฟังเพลินจนกาแฟร้อนของคุณปู่กลายเป็นกาแฟเย็นไปเลยก็มี แต่ในปัจจุบันเราไม่ต้องไปยืนรอหรือแอบฟัง วิวาทะทางความรู้ในร้านกาแฟอีกแล้ว แค่ คลิ๊กเข้าไปใน Social network ก็มีข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาจนแทบอ่านกันไม่ทัน แม้ช่วงเวลาและช่องทางในการรับข้อมูลแตกต่างกันมาก แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ข้อมูลปลอม ข้อมูลขยะ ข้อมูลมโนที่จินตนาการ นั่งเทียนเขียนข่าวกันเองยังมีอยู่มากมาย จนถ้าเราไม่กรองข้อมูล หรือกรองไม่เป็น ข้อมูลเหล่านั้นอาจสร้างความกลัว ความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา และย้อมเราให้กลายเป็นคนโง่ที่ถูกชักจูงได้อย่างง่ายๆ
เวลาที่รับข่าวสารมากๆ จนทำให้ผมสับสนว่าข้อมูลอะไรจริง ข้อมูลอะไรปลอม ผมแทบอยากจะตะโกนออกมาว่า “มีใครฉลาดๆ แถวนี้ให้ถามบ้างไหม?” ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่ามีคำถามคล้ายๆ กันนี้ปรากฏในพระคัมภีร์ด้วย จากพระธรรมยากอบ 3:13 บันทึกข้อความตอนต้นไว้ว่า “มีใครบ้างในท่านทั้งหลายที่มีปัญญาและมีความเข้าใจ?…” ฉบับภาษาอังกฤษ (ESV 2011) เขียนว่า “Who is wise and understanding among you?” ประโยคเริ่มต้นนี้เองที่เชิญชวนผมให้อ่านพระธรรมตอนนี้เพื่อผมจะได้เข้าใจเสียทีว่าเราควรเลือกฟังข้อมูลจากใคร ซึ่งพระธรรมยากอบ 3:13-18 ได้ให้ข้อคิดที่สำคัญอย่างมากกับพวกเราทุกคน
ประการแรก
“คนฉลาดใช้ความสุภาพในการสื่อสาร” พระธรรมยากอบ 3:13 กล่าวไว้ว่า “มีใครบ้างในท่านทั้งหลายที่มีปัญญาและมีความเข้าใจ? ให้เขาแสดงออกมาด้วยความประพฤติที่ดีงาม คือด้วยการกระทำที่สุภาพอ่อนโยนพร้อมด้วยปัญญาของเขา” แปลความว่าคนที่ฉลาดไม่ใช่แค่เพียงมีปัญญา หรือข้อมูลที่แท้จริง แต่เขายังมีวิธีการที่ฉลาดในการสื่อสารอีกด้วย และสิ่งนั้นคือความสุภาพอ่อนโยน ถ้าทุกท่านเคยมีโอกาสเข้าไปนั่งฟังวงเสวนา หรือกลุ่มที่แสดงความเห็นที่แตกต่าง จะมีบางช่วงเวลาที่มีการโต้คารมอันดุเดือด และน่าแปลกใจมากที่หลายครั้งเราให้ความสนใจกับคนที่พูดแดกดัน ประชดประชัน ใส่ความ หรือว่าร้าย เราทำราวกับว่าสิ่งนี้คือพริกน้ำปลาที่ไม่ใส่ก็ไม่อร่อย แต่ท่านผู้อ่านที่รักสิ่งที่เราต้องการจะรับประทานจริงๆ คืออาหารจานหลักไม่ใช่พริกน้ำปลา พระคัมภีร์ให้เราสังเกตเห็นว่าคนที่ฉลาดและมีปัญญา จะแสดงปัญญาของเขาโดยไม่จำเป็นต้องถากถางหรือทำร้ายใคร หรือพยายามดิสเครดิตใครให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพบว่าในระหว่างการเสนอข้อมูล ผู้พูดพยายามโจมตี ว่าร้ายใครก็ตาม นั่นอาจสะท้อนว่าเขาไม่ใช่เป็นคนที่ฉลาดจริงๆ และเขาไม่มีค่าพอที่เราจะเสียเวลาไปฟังเพื่อนำความเกลียดชัง หรือข้อมูลที่ผิดพลาดมาเก็บไว้ในความคิด ของเรา
ประการต่อมา
“คนฉลาดพูดด้วยแรงจูงใจที่บริสุทธิ์” พระธรรมยากอบ 3:14-16 กล่าวว่า “แต่ถ้าหากในใจของพวกท่านมีความขมขื่นเพราะริษยาและมีความมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าต่อต้านความจริงด้วยการโกหก ปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่ปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาฝ่ายโลก ฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายผีปีศาจ เพราะว่าที่ไหนมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็มีความวุ่นวายและการทำชั่วทุกอย่าง” พระคัมภีร์ใช้ถึง 3 ข้อเพื่ออธิบายถึงความสำคัญของแรงจูงใจ หรือเจตนาภายในว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า “ริษยา” และคำว่า “มักใหญ่ใฝ่สูง” เป็นภาพสะท้อนถึงเจตนาที่ไม่ถูกต้อง ความริษยาคือความไม่พอใจในสถานะหรือสิ่งที่ผู้อื่นมีเหนือเรา และความมักใหญ่ใฝ่สูง ใช้สะท้อนถึงแรงจูงใจให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์เกินจริงตามตัณหาและความอยากได้อยากมีของตัวเอง กล่าวคือ คนที่ไร้ปัญญา จะพยายามแสดงความเห็นหรือข้อมูลเพื่อโจมตีผู้อื่น โดยตัวเองได้รับผลประโยชน์ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ดังนั้นในขณะที่เรากำลังอ่านความเห็นใน Social network ก็ดี หรือกำลังนั่งฟังข้อมูลจากใครก็ดี เราต้องตั้งคำถามกับตัว เองดังๆ ว่า “อะไรคือเจตนาที่แท้จริงของเขา?” ถ้าเราค้นดูและเห็นเจตนาที่ส่อพิรุธ พระเจ้าได้บอกผ่านพระธรรมตอนนี้ว่า เจตนาที่แอบแฝงเหล่านี้จะทำให้เกิด “ความวุ่นวายและการทำชั่วทุกอย่าง” ดังนั้นจงสืบค้นเจตนาของผู้ที่สื่อสารกับท่าน หรือดูว่าการพูดหรือเขียนของเขาทำให้เกิดความวุ่นวายและความชั่วร้ายเลวทรามหรือไม่ จงไปให้ไกลจากคนเหล่านั้น เพื่อท่านจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของความวุ่นวายและชั่วร้ายที่เกิดขึ้น
ประการสุดท้าย
“คนฉลาดพยายามสร้างสันติภาพด้วยวิธีการที่ถูกต้อง” พระธรรมยากอบ 3:17-18 กล่าวไว้ว่า “แต่ ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข การผ่อนหนักผ่อนเบา การยอมรับฟัง การเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาและผลดีต่างๆ ไม่มีการลำเอียง ไม่มีการหน้าซื่อใจคด และพวกที่สร้างสันติ ซึ่งหว่านด้วยสันติ ก็จะได้รับผลคือความชอบธรรม” เคยมีคำกล่าวไว้ว่า “เป้าหมายสำคัญพอๆ กับวิธีการไปถึงเป้าหมาย” มีอยู่หลายครั้งที่ผมเคยได้ยินคนพยายามสร้างวาทกรรมว่า “ถ้าบทสรุปดีต่อให้ใช้วิธีเลวๆ ก็ไม่เป็นไร” นั่นเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับพระคำของพระเจ้าในตอนนี้อย่างมาก เพราะสันติภาพและความสงบที่แท้จริงย่อมมาด้วยวิธีการที่ถูกต้องเท่านั้น คนในสังคมจำนวนไม่น้อยพยายามสร้างบรรทัดฐานที่ผิดๆ ว่า ถ้าคุณรู้จักโกงเสียบ้าง คุณจะได้สิ่งที่คุณต้องการเร็วขึ้น เพราะความเชื่อแบบนี้เอง จึงมีคนขับรถย้อนศร มีคนโกงภาษี และมีคนพยายามแซงคิวทั้งการต่อแถวซื้อของ ไปจนถึงการแซงคิวในระบบการสอบเข้าในสถานศึกษาและราชการ พระคัมภีร์สอนเราว่า “ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก” ท่าทีภายในตลอดจนวิธีการที่ดี งามเท่านั้นที่จะพาเราไปถึงจุดหมายแห่งสันติภาพอันแท้จริง ดังนั้นถ้ามีใครพยายามสอนคุณ หรือปั่นหัวคุณด้วยความคิดที่ว่า คุณสามารถใช้วิธีการของโจรเพื่อจับโจร หรือตอบสนองคนที่เลวร้ายด้วยวิธีการที่เลวร้ายพอๆ กัน คนๆ นั้นย่อมไม่ใช่คนฉลาดจริงในมุมมองของพระคัมภีร์ จงอยู่ห่างไกลจากเขา แต่จงมองหาคนที่มีความอุตสาหะ พยายามด้วยความวิริยะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อไปถึงเป้าหมายและความฝันของตนเอง จงอยู่ใกล้คนเหล่านั้นให้มาก เพื่อท่านจะได้รับปัญญาที่แท้จริง
เราเพิ่งผ่านการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสำคัญ และน่าจะเป็นครั้งที่ข้อมูลที่แตกต่างกันมาจากทุกทิศทุกทาง พระเจ้าปรารถนาให้เรานำพระธรรมของพระองค์เป็นแผ่นกรองที่เราจะใช้คัดเลือกข้อมูลจากคนที่ฉลาดจริงๆ เท่านั้น โปรดเข้าใจว่ามันอาจไม่ตรงกับใจของเรา มันอาจไม่ใช่สื่อที่เราเคยชื่นชมมาก่อน แต่โปรดพิจารณาทุกแหล่งข้อมูลว่า เขาใช้ความสุภาพอ่อนโยนในการสื่อสารหรือไม่ เขามีเจตนาที่บริสุทธิ์ในการแสดงความเห็นหรือไม่ และเขาตั้งใจไปถึงจุดหมายด้วยวิธีการที่ถูกต้องมากน้อยเพียงไร ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราทุกคนจะสามารถเลือกฟังเฉพาะคนที่ฉลาดจริงๆ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
- อาจารย์วิทยา วุฒิไกรเกรียง
- ภาพ Kaboompics – Freepik.com