ในพระเจ้าไม่มีความบังเอิญ
เรื่องของอรุณและรูธ ซ๊อก เน๊พ (Arun & Ruth Sok Nhep) สามีชาวกัมพูชาโดยกำเนิด และ ภรรยาชาวฝรั่งเศส ผู้มาจากวิถีชีวิตที่แตกต่าง แต่ พระเจ้าทรงนำให้มาพบกันและทำงานรับใช้พระองค์ ร่วมกัน
ปัจจุบันอรุณเป็นเจ้าหน้าที่สหสมาคม พระคริสตธรรมแห่งภาคพื้นเอเซีย-แปซิฟิก ทำงานที่ ประเทศสิงคโปร์ มีบุตรชาย 2 คนอายุ 14 และ 16 ปี อรุณ ซ๊อก เน๊พ (Arun Sok Nhep) เกิดใน กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา บิดาเป็นข้าราชการ ทหาร ทั้งครอบครัวได้มารับเชื่อพระเจ้า โดย เริ่มจากน้องชายซึ่งไปวิ่งเล่นที่โบสถ์คริสเตียน ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จึงมีโอกาสเรียนรู้เรื่องพระเจ้า และได้นำพ่อและแม่มาเชื่อพระเจ้าด้วย แต่อรุณคิดว่า ตนเองเป็นหนุ่มแล้วไม่ควรจะให้ใครมาจูงจมูกได้ง่ายๆ
เมื่ออรุณอายุได้ประมาณ 17 ปี สงครามขยายลัทธิ คอมมิวนิสต์กระจายไปทั่วคาบสมุทรอินโดจีน รวม ทั้งกัมพูชา การฆ่าฟันและความเกลียดชังกันแพร่ กระจายไปทั่ว ความโหดร้ายของภัยสงครามกลาย เป็นเรื่องประจำวัน สิ่งเหล่านี้ทำให้อรุณมาครุ่นคิดถึง ความหมายที่แท้จริงของชีวิต จึงได้หยิบ พระคริสตธรรมคัมภีร์ที่มีอยู่ในบ้านมาอ่าน เขาพบว่า หนังสือเล่มนี้มีพลังอำนาจและตอบปัญหาที่เขา สงสัยได้ ในยามสงครามนั้นเองเขาได้ตัดสินใจ มอบชีวิตของเขาให้พระเยซูคริสต์ หลังจากรับเชื่อพระเจ้าเพียงไม่กี่วัน สงครามเข้ามาใกล้ตัวทำให้พ่อแม่พี่น้องต้องกระจัดกระจายไป คนละทิศคนละทาง ตัวเขาเองพยายามหนีไปยัง ประเทศเวียดนาม เพื่อลงเรือไปประเทศที่สาม พร้อม กับชาวเวียดนาม แต่ไม่สำเร็จและยังถูกจับไว้เป็น เวลาถึง 4 เดือน โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่าได้ทำความผิดประการใด เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าใจและเห็น คุณค่าของคำว่าอิสรภาพ เมื่อถูกปล่อยตัว อรุณไม่สามารถเดินทางกลับพนมเปญได้เพราะสงคราม ภายในประเทศรุนแรงมาก หากกลับไปก็อาจอันตรายแก่ชีวิต เขาจึงตั้งใจเดินทางไปยังประเทศลาวเพื่อข้ามมายังฝั่งไทย เส้นทางจากกัมพูชามาเวียดนามและลาว อรุณและคนอื่นๆ เดินทางด้วยเท้าในป่าทั้งสิ้น อรุณมองเหตุการณ์กลับไปเมื่อข้ามมายัง ชายแดนฝั่งลาว ยิ่งมองเห็นพระคุณของพระเจ้า ที่มีแก่ตัวเขาอย่างชัดเจนในท่ามกลางความทุกข์ยาก นานาประการ
ที่เมืองอัตตะปือ ประเทศลาว เขาถูก ทหารลาวจับเนื่องด้วยความเข้าใจผิดจากการวิพากษ์ วิจารณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์โดยเพื่อนร่วมทางบางคน และเขายังถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยสืบราชการลับ เพราะพูดภาษาฝรั่งเศสได้แต่อธิบายตัวเองเป็นภาษาลาวไม่ได้ เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายกักกันของ ตำรวจลาวถึง 3 เดือน ในระหว่างนี้ได้รับหนังสือ จากคริสเตียนลาว เป็นพระคัมภีร์คัดตอนชื่อ “ขอจง ฟัง” (เรื่องของบุตรน้อยหลงหายและเหรียญหล่นหาย จากพระธรรมลูกา 15:8-32) ซึ่งทำให้อรุณอยากจะอ่าน และพูดภาษาลาวให้ได้ จึงได้ขอให้ผู้คุมเป็นผู้สอน ภาษาลาวแก่เขา ตลอดเวลา 3 เดือนที่ถูกกักขังนั้น ผู้คุมกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขาและเพื่อนเขมรอีก 4 คนที่หนีออกจากประเทศมาด้วยกัน ผู้คุมได้เห็นว่า แท้จริงแล้ว เขาและเพื่อนไม่ใช่คนทำผิดคิดร้ายกับใคร และเลิกใช้ปืนกำกับคนกลุ่มนี้ ในที่สุดได้รับการ ปล่อยตัวจากที่คุมขังแห่งนี้ แต่ถูกส่งไปค่ายกักกัน อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องทำงานในทุ่งนาตอนกลางวัน และอบรม “ล้างสมอง” ตอนกลางคืน ทางการลาว ได้ส่งผู้ที่พูดภาษาเขมรมาเป็นผู้ “ล้างสมอง” อรุณ และเพื่อน แต่ผู้อบรมกลับเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ คนร้ายและยังเป็นเด็กหนุ่ม อายุแค่ 20 ปี จึงปลอบใจ ว่าหากอยากไปเมืองไทย ก็ให้อยู่ที่ค่ายนี้ไปก่อน สักระยะ ด้วยพระคุณของพระเจ้า บุคคลนี้ก็ได้กลาย เป็นเพื่อนที่ดีกับอรุณและเพื่อนตลอดเวลา 1 ปี ที่อยู่ในค่าย เขาสามารถไปไหนมาไหนในเมืองได้ โดยในตอนแรกต้องมีตำรวจไปด้วย แต่ต่อมาก็ไปไหน มาไหนได้เองอย่างมีอิสระภายในเขตจังหวัด เพียงแต่ต้องได้รับการอบรม “ล้างสมอง” และทำงานในทุ่งนาต่อไป
หนึ่งปีผ่านไป อรุณสามารถสื่อสารด้วย ภาษาลาวได้ และอ่านพบในหนังสือปกแดงคู่มือลัทธิ คอมมิวนิสต์ซึ่งกล่าวว่าหากใครเป็นคนต่างชาติ ก็มีอิสระที่จะไปไหนมาไหนได้ วันหนึ่งเขามีโอกาส อยู่ใกล้นายใหญ่ของค่ายกักกันนั้นตามลำพัง และได้ ถือโอกาสบอกนายผู้นี้ว่าอยากไปเวียงจันทน์ ซึ่งนายไม่เชื่อเพราะเวียงจันทน์นั้นอยู่ใกล้มาก เขารู้ว่าอรุณ ต้องการไปเมืองไทยมากกว่า แต่อย่างไรก็ดี เขาจะช่วย ให้ได้ออกไปจากเมืองอัตตะปือ เพราะอรุณยังเด็ก คอมมิวนิสต์ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเด็ก จากนั้นอรุณ ก็ได้รับเอกสารที่สามารถใช้เดินทางไปต่างเมืองได้ เขาจึงเดินทางด้วยเท้ามาถึงสุวรรณเขต แต่ก็ถูกจับอีก เพราะมีเหตุการณ์เกิดจากกลุ่มอื่นๆ ในที่สุด ก็มาถึงเวียงจันทน์ มีผู้เมตตาแนะนำให้ไปหาสถานทูต ฝรั่งเศสประจำประเทศลาวและสภากาชาดโลก
จากจุดนั้น อรุณจึงได้ไปถึงฝรั่งเศส ในฐานะผู้อพยพ ในปี 1977 ที่ประเทศฝรั่งเศส อรุณได้ทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ ขณะเดียวกันเขาก็ได้เข้าร่วมนมัสการในคริสตจักรและมีส่วนร่วมรับใช้ในพันธกิจเกี่ยวกับผู้อพยพ อรุณได้พยายามสืบหาพ่อแม่และน้อง และที่สุดได้พบแต่แม่และน้อง ซึ่งได้รับความช่วยเหลือ ให้ไปอยู่ที่ประเทศคานาดา ส่วนพ่อนั้นได้เสียชีวิต ที่กัมพูชาไปแล้ว เมื่ออยู่ในฝรั่งเศสได้ 1 ปี ศิษยาภิบาลของคริสตจักรได้เริ่มเชิญชวนอรุณมาสู่การรับใช้ คริสตจักรเต็มเวลา โดยจะส่งไปเรียนพระคัมภีร์ก่อน แต่เขาปฏิเสธว่าเขารับใช้คริสตจักรได้ แต่ไม่ใช่ในฐานะ ศิษยาภิบาล เขามีงานทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขา จะทิ้งงานนั้นมาทำงานคริสตจักร ศิษยาภิบาลท่านนี้ ได้เฝ้ากวนใจอรุณทุกครั้งที่พบหน้าเป็นเวลา 3 เดือน ในที่สุดเขาปฏิเสธต่อไปไม่ได้ จึงตอบรับเพียงเพื่อ ตามใจศิษยาภิบาล ซึ่งท่านก็รีบติดต่อโรงเรียน พระคริสตธรรมในปารีสให้ส่งใบสมัครมาให้ และ จัดการหาทุนการศึกษาให้เสร็จสรรพ เมื่อจัดการ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้น ศิษยาภิบาลและ ภรรยาก็ไปพักร้อน และวันนั้นเองได้เกิดอุบัติเหตุ ทางรถยนต์ เสียชีวิตทั้งคู่ เหตุการณ์นี้ทำให้อรุณ เพิ่งเข้าใจและแน่ใจว่าพระเจ้าทรงเรียกเขาให้ถวาย ตัวรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา เขาเรียนในวิทยาลัย พระคริสตธรรมที่กรุงปารีส 4 ปี และได้สำเร็จการ ศึกษาในปี 1982
ทุกครั้งที่อรุณคิดย้อนกลับไปถึงอดีต เขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์เหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา ทำไมชีวิตต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ความโหดร้าย ของสงคราม และการพลัดพราก แต่เขารู้ว่าทุกสิ่ง ที่เกิดขึ้นเป็นผลดีเสมอต่อผู้ที่เชื่อและรักพระเจ้า
รูธ (Ruth Craddock) เกิดในเมืองชนบท แห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส บิดาเป็นมิชชั่นนารี ชาวอังกฤษ ส่วนมารดาเป็นชาวฝรั่งเศส เสียชีวิตด้วย โรคมะเร็งตั้งแต่เธอมีอายุได้เพียง 8 ขวบ เมื่อจบการศึกษามัธยมปลาย พระเจ้าได้ทรงเรียกเธอให้เข้าเรียน วิทยาลัยพระคริสตธรรมที่กรุงปารีส และที่นี่เองที่ พระเจ้าทรงนำเธอให้พบกับอรุณ และทั้งสองได้แต่งงานกันหลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยพระคริสตธรรม
ในขณะนั้นประเทศฝรั่งเศสได้เปิดรับ ผู้อพยพจากหลายประเทศ ทั้งเขมร ลาวและเวียดนาม ซึ่งมีจำนวนนับพันคน ทั้งคู่จึงได้เริ่มงานรับใช้ใน พันธกิจผู้อพยพ และต่อมาได้ตั้งคริสตจักรเพื่อชาวเขมรอพยพขึ้น โดยอรุณเป็นศิษยาภิบาล ส่วนรูธช่วย สอนพระคัมภีร์ สอนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ให้กับสมาชิกชาวเขมร และยังเป็นครูสอนภาษา อังกฤษในโรงเรียนอีกด้วย ต่อมาในปี 1985 ขณะที่อรุณ รับใช้พระเจ้าในคริสตจักร ก็ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้เข้ามามีส่วนร่วมกับทีมงานแปลพระคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่เป็นภาษาเขมรให้กับสมาคมพระคริสตธรรมฝรั่งเศส และงานแปลสำเร็จในปี 1991 ก็พอดีกับเป็นเวลาที่กัมพูชาเปิดประเทศพอดี โดยกองทัพของสหประชาชาติสามารถเข้าควบคุม สถานการณ์ภายในกัมพูชาไว้ได้ ด้วยภาระใจที่มีต่อแผ่นดินเกิดของอรุณ และอยากเห็นชาวเขมรได้มีโอกาสอ่านพระคัมภีร์ทั้ง ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ และความรักต่อชาวเขมร ที่มีในหัวใจของรูธ ทั้งคู่จึงได้เดินทางจากประเทศ ฝรั่งเศสพร้อมลูกชาย 2 คน วัย 5 ขวบและ 3 ขวบ มายังประเทศกัมพูชา
ช่วงปีแรกที่อยู่ในกัมพูชานั้น ยังคงมีการสู้รบอยู่ประปราย ขาดความมั่นคงปลอดภัย ต่อชีวิตและทรัพย์สิน มีการลักพาตัวชาวต่างชาติ แต่พระหัตถ์ของพระเจ้าและการคุ้มครองป้องกันภัยของพระองค์ไม่เคยห่างไกลจากครอบครัวนี้เลย หลายครั้งที่พระองค์ทรงนำครอบครัวนี้ให้ผ่านพ้น เหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัว และความยากลำบากที่แทบจะหาทางออกไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงเป็นความช่วย เหลือที่พร้อมอยู่เสมอ ครอบครัวนี้ใช้เวลาอยู่ในประเทศกัมพูชา ถึง 4 ปี งานแปลพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เป็นภาษาเขมรก็สำเร็จเรียบร้อยพร้อมจัดพิมพ์ ต่อมาอรุณได้ตัดสินใจเข้าร่วมงานกับสหสมาคมพระคริสตธรรมในตำแหน่งที่ปรึกษา และได้เข้าเรียนต่อด้านศาสนศาสตร์ที่ประเทศคานาดาอีก 2 ปีครึ่ง แล้วจึงย้ายมาประจำที่สหสมาคมพระคริสตธรรมแห่งภาคพื้นเอเซียตะวันออก สำนักงานกรุงเทพฯ ในเดือนมกราคม 2000 (สำนักงาน นี้ได้ปิดตัวลงในเดือนเมษายน 2001 เขาจึงได้ย้าย ไปประจำสำนักงานโครงการพิเศษของสหสมาคมฯ ที่สิงคโปร์) การย้ายมากรุงเทพฯ ครั้งนั้น เป็นการย้าย ครอบครัวเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งแต่ละครั้ง เป็นสิ่งที่ ยุ่งยากเหน็ดเหนื่อย แต่ทุกคนในครอบครัวต่างสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ใหม่ได้เป็นอย่างดี แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้อีกครั้งหนึ่ง
ปลายปี 2000 นั้นเอง รูธต้องเข้ารับการรักษา ตัวในโรงพยาบาลอย่างกะทันหันด้วยอาการปวด รุนแรงที่แขนและขาทั้งสองข้าง อาการทวีความรุนแรง ขึ้นทุกวัน แต่ตัวเธอเองไม่รู้สึกวิตกจนเกินไป เธอเล่าว่า “ดิฉันสามารถรู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์ทรงอยู่ใกล้ๆ ดิฉัน อุ้มดิฉันไว้ ดิฉันสัมผัส ถึงสันติสุข ความรัก ความห่วงใยของพระองค์ ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันเป็นคนที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ดิฉันไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ไม่กลัวว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อชีวิตของดิฉัน เพราะดิฉันรู้ว่าชีวิต และอนาคตของดิฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์ได้สำแดงพระองค์เองแก่ดิฉันในวิถีทางที่ พิเศษจริง ๆ” วันรุ่งขึ้นเมื่อรูธตื่นขึ้นมา เธอพบว่าร่างกาย ของเธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ทั้งแขนและขา ไม่สามารถขยับได้ ใบหน้าซีกหนึ่งของเธอไม่มีความ รู้สึก พูดไม่ได้ ใช้สายตาไม่ได้ แพทย์ที่ดูแลอาการ ของเธอตกใจมาก รีบนำเธอเข้าห้องไอซียู และเฝ้าบอกเธอว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล รูธรู้ตัวเองดีว่า ไม่มีความกลัวหรือวิตกใด ๆ เลย เพราะเธอมั่นใจว่า พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ๆ พระองค์ทรงดูแล เธอนึกถึง ข้อพระคัมภีร์ใน 2 โครินธ์ 12:9 ซึ่งย้ำว่าพระคุณของ พระเจ้าเพียงพอเสมอในชีวิตของเธอ จากการตรวจรักษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แพทย์ได้ตรวจพบว่ามีเชื้อโรคตัวหนึ่งซึ่งไม่สามารถ บอกว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มาจากไหน เข้าไปทำลาย ระบบประสาทรับความรู้สึก เมื่อสูญเสียความ รู้สึกก็จะเคลื่อนไหวไม่ได้ เชื้อโรคตัวนี้ขยายตัว อย่างรวดเร็ว และหากกระจายเข้าไปยังระบบการ ทำงานของหัวใจ ก็จะทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ แพทย์บอกว่าโรคของเธอเรียกว่า Mononeuritis Multiplex และ Vasculitis รูธขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ประทานแพทย์ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์โรคได้อย่างถูกต้อง และสามารถหยุดการขยายตัวของเชื้อโรคก่อนที่มันจะไปถึงหัวใจ สมอง และไขสันหลัง
จากคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ว่องไว ปัจจุบัน รูธต้องใช้ไม้เท้าในการพยุงช่วยเดิน ต้องมีแผ่นผ้า หนาคอยรัดลำตัวไว้ตลอดเวลา แต่ใบหน้าของเธอนั้น ไม่เคยเศร้าหมอง เธอมีสง่าราศีขององค์พระผู้เป็นเจ้า เธอมีคำพูดและพระคำที่หนุนใจคนอื่นเสมอ ความ เจ็บป่วยไม่ได้ทำให้ความเชื่อเธอลดน้อยลง แต่กลับ เพิ่มพูนมากขึ้นอีก มีประสบการณ์กับพระเจ้ามากขึ้น อีก พระคำของพระเจ้าที่หนุนใจเธอตลอดเวลา คือ สดุดีบทที่ 23 “พระจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้า ดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน พระองค์ทรง กระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ ทรงฟื้น จิตวิญญาณของข้าพเจ้า…” และ พระธรรมอพยพ บทที่ 14 ข้อ 13-14 “โมเสสจึงเตือนประชากรว่า ‘อย่ากลัวเลย มั่นคงไว้ คอยดูความรอดที่จะมา จากพระเจ้า…ท่านทั้งหลายจงสงบอยู่เถิด” รูธได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจกับเราว่า ใน พระคัมภีร์มีคำว่า “อย่ากลัวเลย” ถึง 365 ครั้ง ครบตามจำนวนวันในหนึ่งปี หมายความว่าทุกวัน เราอาจเจอเหตุการณ์ที่ทำให้วิตกกังวล หวาดกลัว แต่ให้เราจำไว้เสมอว่า “อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้า ทรงอยู่กับเรา”
สมาคมพระคริสตธรรมไทยขอขอบคุณ คุณอรุณและรูธ ซ๊อก เน๊พ สำหรับคำพยานที่เปิดเผย สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่านทั้งสองให้ผู้อื่นได้รับทราบ ผ่านทางวารสารคริสตสายสัมพันธ์ฉบับนี้ เราคง เห็นชัดเจนว่าทั้งสองท่านสามารถฝ่าฟันสถานการณ์ ที่ยากลำบากได้ เพราะท่านมีพระเยซูคริสต์ในชีวิต บางครั้งเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ บางอย่างได้ แต่โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรง เป็นรากฐานที่มั่นคง เป็นพลังแห่งชีวิตทำให้เรา สามารถเผชิญสถานการณ์ต่างๆได้อย่าง กล้าหาญและมีสันติสุข ด้วยเรารู้ว่าพระเจ้าทรง สัตย์ซื่อในพระสัญญาของพระองค์ และพระองค์จะ อยู่กับเราเสมอ ไม่ทอดทิ้งเลย
- คุณรูธ และคุณอรุณ ซ๊อกเน๊พ
- ภาพ Wirestock – Freepik.com