ไม่มีใครรักผมสักคน
คุณกมลรัตน์ ทองสิน ปัจจุบันอายุ 26 ปี (พ.ศ. 2550) เป็นครูสอนอิเลคโทน ประจำอยู่ที่โรงเรียนดนตรีสยามกลการ อ. เมือง จ. ตรัง เป็นสมาชิกคริสตจักรตรัง และร่วมรับใช้พระเจ้าในพันธกิจต่างๆ ของคริสตจักร
ไม่มีใครรักผมสักคน
ใครๆ ชอบเรียกผมว่า “เสก” ผมเองก็ชอบชื่อนี้เพราะคิดว่าถ้าผม “เสก” อะไรต่อมิอะไรได้ดังใจ ผมจะ “เสก” ให้พ่อแม่มาหาผมสักครั้ง ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร อยู่ที่ใหน ชีวิตมีแต่ยายและน้าๆ ผมเกิดที่ภูเก็ตเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะมาเยือน แต่สำหรับผมมันเป็นนรกที่อยากจะหนีไปให้ไกล ผมรู้สึกว่าชีวิตไม่มีค่าไม่มีใครรัก ผมจำได้ตอนที่ผมเป็นเด็กผมอยากมีของเล่นเหมือนคนอื่นบ้าง แต่เชื่อไหมไม่เคยมีใครซื้อของเล่นให้ผมเลย ผมต้องไปขอเพื่อนๆ ข้างบ้านเล่น แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยให้ผมเล่นด้วย บางทีเมื่อเราทะเลาะกัน พวกเพื่อนๆ ก็จะด่าผมว่า “ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่” ทำให้ผมเสียใจมาก มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น มันเป็นความผิดของผมด้วยหรือ ผมจะตั้งคำถามกับตัวเอง “ทำไมพ่อแม่ต้องทิ้งเราไป” ผมรู้สึกอิจฉาเพื่อนๆ ที่มีพ่อแม่พาไปเที่ยวในวันหยุดขณะที่ไม่มีใครสนใจผม ผมต้องหางานทำตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นประถมต้น เพื่อที่จะมีเงินซื้อของเล่นแบบเพื่อนบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนของตนเอง
ปล่อยไปตามกรรม
ชีวิตที่อาศัยอยู่กับยายและน้าๆ ของผมกระท่อนกระแท่นเต็มที ผมสัมผัสได้กับความไม่สนใจใยดีของเขา ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ดูเหมือนจะผิดไปหมด จะถูกดุด่าว่ากล่าวเสมอ ไม่มีความรัก ความห่วงใยต่อกัน เมื่ออยู่บ้านแล้วหาความสุขไม่ได้ผมจะอยู่ต่อไปทำไม ดังนั้นเมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่หก ผมจึงหนีออกจากบ้านไปอาศัยอยู่ที่วัดที่ผมเรียนหนังสือ ขอข้าวก้นบาตรประทังชีวิต จะเสียใจอยู่นิดหนึ่งคือไม่มีคนที่บ้านออกตามหาและคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมหายไปจากบ้าน อยู่ที่วัดแม้จะขัดสนบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะมันก็เป็นชีวิตที่ผมคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่ชีวิตที่มีเพื่อนๆ มากมายนี่สิมันสนุกอย่างบอกไม่ถูก แม้จะสนุกอย่างไรการเรียนผมไม่เคยเสียหาย ผมตั้งใจเรียนมากในช่วงมัธยมหนึ่งและสอง พอขึ้นมัธยมสาม ชีวิตเข้าฝักเริ่มรู้จักสิ่งที่วัยรุ่นเรียกกันว่าวิธีเสริมบารมีลูกผู้ชายตัวจริง ไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ เที่ยวกลางคืน แรกๆ ผมทดลองเพียงนิดหน่อยเพื่อไม่ให้เสียเพื่อน แต่พอนานเข้ามันเหมือนกับมีแรงดึงดูดอย่างแรงที่ไม่สามารถสลัดทิ้งไปได้ ผมเริ่มหนีเรียน คบเพื่อนเกเร ชีวิตดำดิ่งสู่อบายมุข
เมื่อผมจบชั้นมัธยมสาม ตอนนั้นอายุประมาณ 15-16 ปี ผมไม่มีเงินเรียนต่อจึงต้องออกหางานทำ และงานที่หาง่ายที่สุดก็คืองานก่อสร้าง ผมทำงานที่ละ 3-4 เดือน ย้ายไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นผมได้ออกจากวัดมาพักที่เพิงก่อสร้างบ้าง หรืออยู่กับเพื่อนบ้าง ผมทำงานทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นงานทาสี งานทำฝ้าเพดาน เสิร์ฟอาหาร ช่วงนี้ผมเริ่มคบเพื่อนรุ่นพี่ และเริ่มเข้าไปพัวพันกับยาเสพติดโดยเริ่มจากการสูบกัญชาแล้วพัฒนาไปเล่นเฮโรอีน สุดท้ายผมก็ไปจบที่เรือนจำ เนื่องจากถูกตำรวจจับในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองทั้งที่ในวันนั้นผมไม่มีกัญชาอยู่กับตัวเลย เพื่อนๆ คนอื่นที่ถูกจับพร้อมกันมีผู้ปกครองมาประกันตัวไปหมด แต่ผมไม่มีญาติเลยถูกตัดสินจำคุก 1 เดือน เมื่อผมออกจากคุกมาก็ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะไปไหน ก็เลยกลับไปอยู่กับเพื่อนๆ กลุ่มเดิม ผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัว จึงตัดสินใจกลับบ้านไปหายายและน้าๆ แต่ต้องเจอกับสภาพเดิมก่อนที่จะหนีออกมา คือถูกดุด่าตลอดเวลา ทั้งที่ในใจของผมอยากจะได้รับคำพูดที่ให้กำลังใจบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้รับ ผมเลยออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับเพื่อนอีก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยาบ้ากำลังระบาดอย่างหนัก เพื่อนๆ ที่ผมไปพักอยู่ด้วยเขาเสพยาบ้ากันทุกคน แรกๆ ก็ถูกคะยั้นคะยอให้ลอง ผมก็ปฏิเสธ แต่พอนานๆ เข้า ความรู้สึกอยากลองดีบวกกับความเครียดที่คิดว่าชีวิตเราไม่มีอนาคตอะไรแล้ว ไหนๆ จะเลวก็เลวให้สุดๆ ไปเลย ผมจึงไม่ปฏิเสธต่อไป เมื่อทดลองเสพครั้งแรกผมรู้สึกสบายหายเครียด ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ไม่เหงา เรารวมกลุ่มกันไปเที่ยวทุกคืนและมีเรื่องต่อยตีกับผู้อื่นเป็นประจำ ผมติดยาอย่างหนักและหางานทำไม่ได้จึงตัดสินใจรับเอายาบ้ามาขายเสียเองเพื่อจะได้มีทั้งเงินและยาไว้เสพ สิ่งนี้ทำให้ผมมีลูกน้องติดตามมากมายราวกับผู้มีบารมี ซึ่งผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาติดตามไม่ใช่ผมแต่เป็นเงินและยาที่ผมมีต่างหาก หากวันใดที่ผมไม่มีทั้งสองสิ่ง ผมก็สิ้นบารมีไปโดยปริยาย ช่วงนี้ผมติดยาขนาดหนัก ขนาดไม่ได้หลับได้นอน สมองมันเบลอไปหมดและมีอาการหวาดระแวงว่าจะถูกทำร้าย ชื่อผมอยู่ในบัญชีดำที่ตำรวจต้องการตัว แต่ทุกครั้งที่ถูกล้อมจับผมก็หนีหลุดรอดไปได้
เมื่อผมได้สติคืนมา ผมบอกกับตัวเองว่าขืนทำอย่างนี้ต่อไปต้องถูกจับแน่ๆ จึงตัดสินใจหนีจากกลุ่มเพื่อนๆ ไปจังหวัดระนอง ที่นี่ผมได้งานเป็นตังเกออกทะเลไปกับเรือประมง ซึ่งเป็นงานหนักมาก แต่ก็เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นผจญภัย โดยจะต้องออกทะเลไปคราวละประมาณ 3 เดือน เวลาอยู่กลางทะเลจะเห็นเพียงน้ำกับฟ้าเท่านั้น อาทิตย์หนึ่งจะได้อาบน้ำเพียงสองสามครั้งเพราะน้ำจืดที่นำมากับเรือมีจำกัด เมื่อเรือกลับเข้าฝั่ง ลูกเรือจะมีเวลา 4-5 วัน ซึ่งผมจะใช้มันไปกับการกิน ดื่ม เที่ยว และเสพยา ผมทำงานตังเกอยู่ปีกว่า ช่วงหลังทางเจ้าของเรือเริ่มไม่จ่ายค่าจ้างหลายงวด ผมคิดว่าตนเองกำลังถูกโกง หากอยู่ต่อไปก็จะไม่ได้อะไรเลย จึงตัดสินใจออกจากงานและกลับมาหางานทำที่ภูเก็ต ผมไม่ยอมกลับไปหาเพื่อนกลุ่มเดิมอีกแต่เพื่อนกลุ่มใหม่ที่ผมคบก็ไม่พ้นจากเรื่องยาเสพติด และครั้งนี้ผมติดหนักมากกว่าเดิมคือจะเสพทั้งวันทั้งคืนไม่ออกไปไหน เสพจนรู้สึกเบื่อ วันที่ผมเบื่อสุดๆ ผมถามตัวเองว่า ชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ ถ้าหากเราเสพไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเราคงตายอย่างน่าสมเพช
ปฎิบัติการล่าฝัน
ในชีวิตผมใฝ่ฝันที่จะเล่นดนตรีมากโดยเฉพาะกีตาร์ ผมถามตัวเองว่าทำไมเราไม่หัดเรียนดนตรีอย่างที่เราฝันไว้ เราจะเสพยาอย่างนี้ไปชั่วชีวิตและอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไร้อนาคตอย่างนั้นหรือ ผมเคยได้ยินมาว่าที่เชียงใหม่มีครูทางด้านดนตรีอยู่หลายท่าน ตอนนั้นเป็นปี พ.ศ. 2543 ผมรวบรวมเงินที่มีอยู่ทั้งหมดได้ประมาณ 1,500 บาท เก็บเสื้อผ้า 2-3 ชุดขึ้นรถไปเชียงใหม่ ตั้งใจจะไปหาใครสักคนให้สอนเล่นดนตรี โดยยินดีทำงานรับใช้ทุกอย่างเพื่อแลกค่าวิชา แต่เงินที่มีพาผมมาได้แค่จังหวัดลำปางเท่านั้น ผมเดินออกจากท่ารถของานทำไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงให้งานคนแปลกหน้าอย่างผมทำ จนมาถึงอู่ซ่อมรถหลังหอพักนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนฯ ลำปาง ซึ่งเจ้าของเมตตารับไว้
เมื่อเข้าทำงานที่อู่ใหม่ๆ ผมเหงามากเพราะไม่มีเพื่อน ความเหงานี้อยู่ได้ไม่นานเพราะผมได้มีโอกาสรู้จักกับนักศึกษาเทคโนฯ ที่พักอยู่หอพักใกล้กับอู่ ทำให้มีเพื่อนมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าชีวิตผมจะหนีจากสิ่งเสพติดไม่พ้นเอาเสียเลย เพราะเพื่อนที่ผมรู้จักที่นี่ล้วนติดยาทั้งนั้นจึงทำให้ผมกลับไปเสพยาอีก เวลาเมายาผมจะเหมือนคนที่ขาดสติพูดไม่รู้เรื่อง ล่องลอย เมื่อหมดฤทธิ์ยาความคิดดีๆ ก็จะกลับมาเมื่อนั้น ผมตั้งคำถามกับตนเองว่า เราต้องการอะไรในชีวิต หากเราขืนเสพต่อไปเราต้องตายแน่นอน ผมเลยตัดสินใจหันหลังให้กับยาเสพติด ซึ่งทำให้ชีวิตผมดีขึ้นมากทีเดียว แต่ก็เข้มแข็งได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ก็กลับมาเสพยาอีก ช่วงนั้นเป็นช่วงแห่งการต่อสู้ เมื่อมีสติก็ตั้งใจที่จะเลิก เมื่ออ่อนแอก็กลับไปหามันอีก มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีคำถามมากมายกับตนเอง จนวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ ก็บังเอิญได้ยินลูกค้าที่เอารถมาซ่อมคุยกับเจ้าของอู่เกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้า ซึ่งสามีภรรยาเจ้าของอู่ไม่สนใจอะไรมากนักเช่นเดียวกับผมที่ฟังแบบเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวา
ไปไกลเกินฝัน
ลูกค้าท่านนี้เอารถมาให้ที่อู่ซ่อมอยู่หลายครั้งและทุกครั้งก็จะต้องพูดคุยเรื่องพระเจ้าซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ วันหนึ่งลูกค้าคนนี้ชวนผมไปเที่ยวที่โบสถ์คริสต์ที่เขาอยู่ เขาบอกว่าที่โบสถ์มีการร้องเพลงและเล่นดนตรีด้วย คำว่า “ดนตรี” เรียกความสนใจผมได้เป็นอย่างดี อยากรู้ว่าที่โบสถ์คริสต์มีดนตรีอะไรบ้างและหากโชคดีอาจจะมีคนสอนผมเล่นบ้างก็ได้ ผมจึงตัดสินใจไปที่โบสถ์ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เลย มีสิ่งเดียวที่ผมประทับใจในการไปโบสถ์ครั้งแรกคือคนที่นี่พูดจากับผมดีมากและให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่ผมก็ไม่ได้กลับไปที่โบสถ์อีกเลยเพราะคิดว่าไม่มีใครที่นั่นจะสนใจสอนดนตรีให้ผม
ลูกค้าคริสเตียนคนนี้ยังคงแวะมาที่อู่เสมอ และชอบเล่าเรื่องพระเจ้าให้ฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างโลกของพระเจ้า ความรักของพระเยซู การตายไถ่บาป แม้ผมจะไม่เข้าใจทั้งหมดแต่สิ่งที่เข้ามาในใจผมจากการพูดคุยของลูกค้าคนนี้คือ พระเจ้าสามารถช่วยเราได้ และพระองค์มีคำตอบสำหรับชีวิต ผมทราบภายหลังว่าลูกค้าคนนี้ชื่อ อาจารย์ถวาย ชัยสุข เนื่องจากอาจารย์มาคุยให้ฟังว่าท่านกำลังเปิดโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ และท้าทายให้ผมไปเรียนและพิสูจน์ความจริงในพระเจ้าและถ้าไม่จริงก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้ ผมกลับมานอนคิดอยู่ 2-3 วันจึงตัดสินใจลาออกจากงานมาเรียนที่โรงเรียนสอนพระคัมภีร์ไทย-ลาวมิชชั่นซึ่งอยู่ที่ลำปางนั่นเอง หลักสูตรการเรียนการสอนพระคัมภีร์ของเขามีเพียงปีเดียว ผมเองไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้ามาก่อน ที่สำคัญผมไม่มีความเชื่อในเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ที่นี้มีนักเรียนเข้ามาเรียนทั้งหมด 26 คน ในจำนวนนี้ 25 คนเป็นคริสเตียน มีผมคนเดียวที่เป็นเพียงผู้สนใจ ทางโรงเรียนจัดให้มีอาหาร 3 มื้อ ค่าเล่าเรียนก็ไม่ต้องเสีย ช่วงหกเดือนแรกผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจมากคือผมอยากรู้จักพระเจ้าที่ครูและนักเรียนที่นี่เชื่อถืออยู่ ดังนั้น ผมจึงใช้เวลาในการอ่านพระคัมภีร์และพูดคุยกับเพื่อนๆ และครูในเรื่องความเชื่อของเขา ผมพบว่าเมื่ออยู่ที่นี่ผมรู้สึกสงบ มีความสุข และไม่สับสนวุ่นวายใจ รู้สึกได้ว่าตนเองเป็นคนมีค่า คนที่นี่ให้เกียรติผมทั้งๆ ที่เขารู้ว่าผมไม่เชื่อในเรื่องที่เขาเชื่อ ช่วงนี้ผมห่างจากเพื่อนที่เกเร และห่างจากยาเสพติดไปได้บ้าง แต่หากเมื่อไหร่ที่ผมออกจากโรงเรียนไปก็จะแอบไปดื่มเหล้าและเสพยา การกระทำเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงลองอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ถ้าพระเจ้ามีจริงช่วยให้ผมสามารถเลิกเหล้าและยาเสพติดให้ได้ ผมอธิษฐานด้วยความตั้งใจและจริงใจ แล้วก็มีเรื่องที่น่าแปลกใจเกิดขึ้น คือเมื่อผมมีโอกาสกลับไปดื่มเหล้าและเสพยาอีกหลังจากที่ได้ทดลองอธิษฐานมันเกิดอาการเหม็นชนิดทนไม่ไหว จนไม่สามารถรับสิ่งเสพติดเข้าไปในร่างกายได้อีกเลย ที่จริงแล้วผมเคยพยายามที่จะเลิกมันด้วยตัวเองหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ยาวนานสักครั้งเดียว ในครั้งนี้ผมพบว่าอาการเหม็นสิ่งเสพติดมันรุนแรงมากและเป็นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมตัดขาดจากมันได้ในที่สุด สิ่งนี้ทำให้ผมเริ่มตระหนักว่าพระเจ้ามีจริงๆ และพระเจ้าองค์นี้รัก ห่วงใย และช่วยให้ผมเห็นค่าชีวิตของตัวเอง
เมื่อผมได้มีประสบการณ์กับพระเจ้าผมไม่สามารถที่จะเก็บไว้คนเดียวได้ ทั้งที่เหลือเวลาอีกเพียง 6 เดือนเท่านั้นก็จะจบหลักสูตรและผมก็จะได้ไปพบกับเพื่อนเก่าอยู่แล้ว แต่ผมกลับรีบชวนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนพระคัมภีร์ไปหาเพื่อนที่เคยกินเล่นเที่ยวที่อยู่โรงเรียนเทคโน ฯ ทันทีโดยไม่ต้องรอเวลา ผมคิดถึงและอยากให้เขาได้รู้จักพระเจ้า มีชีวิตที่มีความหวัง และมีกำลังที่จะถอยห่างจากยาเสพติดเหมือนผม และผมก็ดีใจมากที่มีเพื่อนหลายคนที่โรงเรียนเทคโนฯ ได้ตัดสินใจเชื่อพระเยซู ในตอนนั้นใจของผมอยากแต่จะเล่าเรื่องพระเจ้าที่ดีต่อชีวิตผม พระองค์ช่วยผมจากนรกขุมลึกที่สุด ผมปรารถนาที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเป็นพยานในความรักของพระเจ้า
ฝันที่เป็นจริง
เมื่อจบหลักสูตรอบรมพระคัมภีร์ผมก็ต้องฝันสลาย เพราะอาจารย์ที่เคยสัญญาว่าจะส่งผมไปทำงานประกาศเรื่องความรักพระเจ้าในจังหวัดต่างๆ มีความจำเป็นต้องเดินทางกลับไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อหาทุนและเยี่ยมเยียนครอบครัวภรรยาซึ่งเป็นอเมริกัน-ลาว โรงเรียนก็ไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้ต้องปิดลงชั่วคราว เพื่อนๆ ที่เรียนจบต่างกลับไปทำงานที่บ้านหรือที่คริสตจักรที่ตนเองประจำอยู่ บางคนก็ไปเรียนต่อ มีแต่ผมและเพื่อนอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี เราสองคนเริ่มต้นอธิษฐานด้วยกันอย่างจริงจังว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป พระเจ้าได้บอกกับเราทั้งสองคนเป็นเสียงในจิตใจ และเป็นความมั่นใจที่ไม่สงสัยเลยว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา พระองค์จะนำเราไปเสมอ พระเจ้าให้เราคิดถึงเพื่อนที่เทคโนฯ ที่เคยฟังเรื่องพระเจ้า และชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียน โดยเราออกไปเยี่ยมเยียนเขา ชวนเขามาคุยสนทนาธรรมะของพระเยซูคริสต์ด้วยกัน เพื่อนเล่นกีตาร์ได้ ผมร้องเพลงได้ เราสองคนจึงสอนพี่น้องที่มาร่วมประชุมร้องเพลง โดยใช้ลานกว้างของโรงเรียนพระคัมภีร์เป็นที่ประชุม ผมและเพื่อนๆ ทำเช่นนี้อยู่เป็นเวลา 1 ปีเต็ม ปรากฎว่ามีเพื่อนๆ และพี่น้องมาร่วมประชุมมากมาย ประมาณ 40-50 คน และพี่น้องเหล่านี้ได้เชื่อไว้วางใจพระเจ้า ในเวลานั้นผมกลับไปเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่อู่ซ่อมรถเพื่อหารายได้ในการเลี้ยงชีพ
เมื่ออาจารย์ถวาย ชัยสุข เดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกา และเห็นว่ามีผู้เชื่อจำนวนมากมาร่วมประชุมกัน จึงได้เปิดเป็นคริสตจักรขึ้นชื่อว่า “คริสตจักรพันธกิจมิชชั่น” ผมและเพื่อนร่วมกันทำงานรับใช้พี่น้องโดยการประกาศความดีของพระเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปอีกเกือบ 2 ปี เราทั้งสองคนอธิษฐานกันว่าพระเจ้าจะให้เราทำอะไร จะให้เราไปทางไหน เรายินดีที่จะติดตามพระองค์ไปเสมอ พระองค์ทรงรู้ว่าเรามีความสามารถพิเศษทางด้านไหน เราจึงต้องการใช้ความสามารถพิเศษนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อการงานของพระเจ้าและผู้อื่น
แล้วพระเจ้าก็เปิดทางให้เพื่อนผมได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสร้างสาวกของวายแวม (WYWAM) ที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนผมเอง ผมได้อธิษฐานต่อพระเจ้าว่าผมสนใจดนตรี ผมอยากเล่นดนตรีแต่จนบัดนี้ผมยังเล่นเครื่องดนตรีอะไรไม่ได้สักอย่าง กีตาร์ก็เล่นได้เพียง 2-3 คอร์ดเท่านั้น ต่อมา ผมก็ได้ทราบข่าวว่าทางโรงเรียนสยามกลการที่ลำปางเปิดให้ทุนการศึกษาด้านดนตรีแก่บุคคลทั่วไป 2 ปี โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่เมื่อเรียนจบแล้วทางโรงเรียนจะส่งให้ไปอยู่ประจำศูนย์ที่จังหวัดใดก็จะต้องไป ห้ามปฏิเสธ ผมจึงไปสมัครทั้งที่ผมเล่นดนตรีไม่ได้เลย เพียงแต่มีใจรักเท่านั้น มีคนจำนวนมากที่สมัครเข้าขอทุนในครั้งนี้ แต่ละคนล้วนแต่มีประสบการณ์หรือเล่นดนตรีเป็นก่อนแล้วทั้งนั้น น่าอัศจรรย์ที่ผมสามารถเข้าเป็น 1 ใน 10 คน ที่โรงเรียนรับเข้าเรียนอิเลคโทนโดยให้ทุนเรียนจนจบ ผมจึงต้องลาออกจากคริสตจักรพันธกิจมิชชั่นเพื่อไปเรียนต่อ ในช่วงนี้ผมต้องทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารในภัตตาคารช่วงกลางคืน ส่วนช่วงกลางวันก็จะเรียนดนตรี เป็นเช่นนี้อยู่ 2 ปีเต็มจนเรียนจบหลักสูตร เมื่อจบ เพื่อนๆ ที่เรียนดนตรีด้วยกันก็อยากจะให้ทางโรงเรียนส่งไปประจำในเมืองใหญ่ๆ แต่สำหรับผม ผมอธิษฐานให้พระเจ้าส่งผมไปในที่ที่พระองค์ต้องการ ปรากฎว่าทางโรงเรียนส่งผมมาประจำที่โรงเรียนดนตรีสยามกลการจังหวัดตรัง แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ผมมั่นใจว่านี่คือที่ที่พระเจ้าส่งผมมา ผมได้เข้าร่วมนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรตรัง เมื่อว่างจากการสอนดนตรีผมก็จะเข้าร่วมทีมเยียมเยียนของคริสตจักรตรังไปที่เกาะลันตาใหญ่ จังหวัดกระบี่ การต้อนรับและความอบอุ่นจากพี่น้องที่คริสตจักรทำให้ผมไม่รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้า
ผมรู้ว่าพระเจ้าได้ช่วยกู้ผมจากความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ผมขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ทำให้คนที่สิ้นหวังอย่างผมมีความหวังในชีวิต คนทีไร้ค่าไร้อนาคตกลับมาเป็นคนที่มีค่าและมีอนาคต พระเจ้าไม่เคยผิดสัญญากับผม ตั้งแต่ผมตัดสินใจเชื่อในพระเจ้า พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งผม พระเจ้าได้พูดกับผมในพระคัมภีร์สดุดี 27 : 10 ว่า “แม้บิดาและมารดาของข้าพระองค์ทอดทิ้งข้าพระองค์ แต่พระเจ้าจะทรงยกข้าพระองค์ขึ้น” มาวันนี้แม้ผมจะไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่พ่อและแม่ต้องทิ้งผมไว้กับยาย แต่ความคับแค้น ความโกรธนั้นจางไปจากใจ เพราะชีวิตผมถูกความรักของพระเจ้าเติมให้เต็มแล้ว เมื่อผมอยู่ที่ลำปาง น้าได้ส่งข่าวให้ผมทราบว่าแม่มาใช้ชีวิตอยู่ในภาคเหนือเช่นกัน ผมได้ออกตามหาและในที่สุดผมได้พบกับท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะมีครอบครัวใหม่แล้ว แต่อย่างน้อยผมก็มีโอกาสเห็นหน้าและพูดคุยกับผู้ให้กำเนิดที่ผมรอคอยมาตลอดชีวิต
พระธรรมฟีลิปปี 4:11-13 กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” พระคัมภีร์ตอนนี้หนุนน้ำใจผมมาก และยืนยันว่าพระเจ้าอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ ผมมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมาพรากผมออกจากความรักของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้
ผมอยากจะหนุนใจหลายๆ คนที่กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกับผม หรืออาจจะหนักกว่าก็ได้ ผมอยากจะบอกกับท่านว่า พระเจ้ารักเรา พระองค์เห็นใจเรา เอาความทุกข์มาหาพระองค์ เอาความชอกช้ำมามอบให้พระองค์ แล้วพระองค์จะเปลี่ยนความเศร้าโศกนั้นให้กลายเป็นความชื่นชมยินดี พระองค์จะทำให้ภาระหนักในใจกลายเป็นการหายเหนื่อยและได้พักสงบ เมื่อใดที่เราเอาพระเยซูไว้ตรงหน้า เราก็จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ หากมีอะไรที่จะเข้ามาโจมตีเราก็จะต้องผ่านพระองค์ก่อน เพราะพระองค์ทรงเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่งที่เข้ามา และที่สำคัญพระองค์รักเรามาก จนยอมสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
- คุณกมลรัตน์ ทองสิน
- ภาพ www.freepik.com