A – แผ่นศิลา (Stone Tablet)
ดั้งเดิมแต่โบราณ เมื่อยังไม่มีระบบการเขียน มนุษย์มีวิธีการเก็บรักษาและถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ โดยการบอกเล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า ประเพณีการบอกเล่า (Oral Tradition) และเมื่อเรื่องราวใดเป็นที่นิยมหรือได้รับการยกย่องมากก็อาจมีการแต่งเป็นบทเพลงหรือลำนำ แม้วิธีการถ่ายทอดเหล่านี้จะเป็นวิธีที่ดูมีชีวิตชีวา แต่ก็ทำให้ผู้เล่าเรื่องหรือผู้ขับร้องแต่ละคนมีโอกาสดัดแปลงหรือแต่งแต้มเนื้อหาได้อย่างอิสระ
ต่อมา มนุษย์เริ่มประดิษฐ์คิดค้นระบบการเขียนขึ้น โดยแรกเริ่มเพื่อการจดบันทึกข้อมูลที่จำเป็นเร่งด่วน เช่น ปริมาณผลผลิตทางการเกษตร ฯลฯ แต่ภายหลังก็เริ่มมีการจดบันทึกอย่างอื่นด้วย เช่น พงศาวดาร บทเพลง นิทาน ตำนาน คำสอน ฯลฯ จนประเพณีการบอกเล่าเริ่มเปลี่ยนเป็นประเพณีการคัดลอก (Textual Tradition) ทำให้เรื่องราวเหล่านี้กลายเป็นลายลักษณ์อักษรที่มีความคงทนและมีเสถียรภาพมากกว่าการบอกเล่าแบบปากต่อปากที่ผู้เล่าเรื่องแต่ละคนอาจปรับแต่งเนื้อหาไปเรื่อยๆ โดยไม่มีต้นฉบับหรือแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน
ระบบการเขียนที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์เท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบันคือ จารึกอักษรลิ่ม (Cuneiform) ของชาวสุเมเรียนในดินแดนเมโสโปเตเมีย (บริเวณประเทศอิรักในปัจจุบัน) ซึ่งมีอายุถึงกว่า 5,500 ปีมาแล้ว โดยผู้จารึกนำก้านต้นกกที่ตัดปลายจนแหลมเหมือนลิ่มมาใช้จารึกตัวอักษรลงบนแผ่นดินเหนียว นอกจากนี้ อารยธรรมโบราณอื่นๆ ที่รุ่งเรืองในอดีตก็มีระบบการเขียนเป็นของตนเองเช่นกัน เช่น ชาวอียิปต์โบราณที่ใช้ตัวอักษรเฮียโรกลีฟ (Hieroglyph) หรืออักษรภาพ จารึกลงบนแผ่นจารึกที่มักจะทำจากศิลาหรืองาช้าง นักวิชาการสันนิษฐานว่า ชาวอิสราเอลโบราณรวมถึงโมเสสคงได้รับอิทธิพลเกี่ยวกับการจารึกเช่นนี้จากชาวอียิปต์ไม่มากก็น้อยเมื่อสมัยที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ (อพย.1:1-7; 12:40-41)
ส่วนจารึกของชาวอิสราเอลโบราณที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งพระคัมภีร์บันทึกถึงและเป็นที่รู้จักกันดีนั้นก็คือ แผ่นศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการ (อพย.34:1-4, 27-28) ทั้งนี้ ศิลาจารึกดั้งเดิมดังกล่าวได้หายสาบสูญไปแล้ว และแผ่นศิลาจารึกพระบัญญัติสิบประการที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบในปัจจุบันนั้นน่าจะทำขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 4-5 โดยจารึกด้วยอักษรฮีบรูแบบสะมาเรีย (Samaritan script) ซึ่งเป็นรูปแบบอักษรที่ใช้ในหมู่ชาวสะมาเรีย ทั้งนี้ แผ่นศิลาจารึกนี้ไม่มีพระบัญญัติข้อที่ 3 ความว่า “ห้ามใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปในทางที่ผิด” (อพย.20:7) แต่กลับมีบัญญัติอีกข้อหนึ่งแทนที่ซึ่งไม่มีปรากฏในพระคัมภีร์ฮีบรู สื่อความว่าพระวิหารของพระเจ้าจะต้องสร้างขึ้นบนภูเขาเกริซิม ซึ่งเป็นภูเขาที่ชาวสะมาเรียถือว่ามีความสำคัญทางศาสนาสำหรับพวกเขา (ฉธบ.11:29; ยน.4:20)
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า ระบบการเขียนช่วยให้มนุษย์สามารถเก็บรักษาและถ่ายทอดภูมิปัญญาหรือเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การอ่านและทำความเข้าใจสิ่งที่เขียนหรือจารึกนั้น โดยเฉพาะพระวจนะของพระเจ้าที่ได้จารึกไว้เพื่อให้ประชากรของพระองค์รุ่นต่อๆ มาได้อ่านและเข้าใจ แล้วดำเนินชีวิตในทางของพระองค์
- ภาพประกอบจาก www.edition.cnn.com, www.britishmuseum.org
“ “แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะทำกับเชื้อสายของอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ “เราจะบรรจุธรรมบัญญัติไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านและพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระยาห์เวห์’ เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเราตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ “เพราะเราจะให้อภัยความผิดบาปของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาอีกต่อไป” ” เยเรมีย์ 31:33-34 (ฉบับมาตรฐาน)